มีเกวียนวัวรอเข้าเมืองอยู่ทางเข้าหมู่บ้าน พวกหวังซื่อสามคนเร่งมาถึงตอนเตรียมออกเดินทางพอดี
“โอ๊ะ หูเสิ่น [1] พวกท่านเข้าเมือง?” เสียงผู้หญิงแหลมๆ ดังขึ้น ฟู่เหรินคนหนึ่งอายุสามสิบกว่าๆ บนเกวียนมองมายังพวกนางั์ตาแวววาว
“โอ้... กุ้ยจือหรือ เ้าก็เข้าเมือง?” หวังซื่อขึ้นเกวียนวัวไป แล้วดึงเจินจูขึ้นตาม หูฉางหลินก็นั่งชิดขอบเกวียน เอาตะกร้าที่แบกอยู่ด้านหลังวางไว้เบื้องหน้าประคองอย่างระมัดระวัง
“ใช่แล้ว นี่ไม่ใกล้จะฉลองปีใหม่แล้วหรือ เสื้อผ้าใหม่ของไฉ่สยากับไฉ่เฟิงยังมิได้รีบซื้อเลย เช่นนี้ จึงกำลังคิดจะเข้าเมืองตัดผ้าลายดอกเสียสองสามชิ้น” ฟู่เหรินท่าทางอิ่มเอมใจยิ่ง ลูกตาหมุนวนไปยังสมาชิกสกุลหูสามคน ยามมองไปยังเจินจูดวงตาสองข้างก็จับจ้อง เสียงสูงขึ้นในทันที “โอ๊ะ เจินจูสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ทั้งชุดแล้ว ผ้าไม่เลวเลยนี่ หูเสิ่น ปีนี้บ้านท่านหาเงินได้มากหรือ?”
เสียงแหลมแสบหูดังทะลุเยื่อแก้วหู
เจินจูขมวดคิ้วชำเลืองตามองไป กลับปะทะเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งของฟู่เหรินที่สำรวจหาความจริง ฟู่เหรินคิ้วบางใบหน้าขาวริมฝีปากสีแดงสด ในหมู่บ้านที่ประเพณีพื้นบ้านเรียบง่ายเช่นนี้ ช่างสะดุดตาเป็พิเศษนัก พอมองให้ละเอียด กลับเขียนคิ้วตบแป้งหอมและทาสีแดงชาดด้วย เจินจูเหลือบมองอยู่ไม่กี่ทีก็หมดความสนใจ ตนเองจึงเอนร่างพิงกับหวังซื่อปิดเปลือกตาและงีบหลับไป
“ไม่ว่าจะหาเงินได้หรือไม่ เสื้อหนาวของเด็กสาวในบ้านล้วนต้องทำขึ้น” หวังซื่อมองฟู่เหรินแวบหนึ่ง เห็นฟู่เหรินปากสีแดงจัด ก็ชิงกล่าวตัดหน้า “กุ้ยจือ ไฉ่สยาบ้านเ้าคุยเื่ครอบครัวที่เหมาะสมแล้วหรือ?”
อา... นี่เป็เถียนกุ้ยจือโผเหนียงสกุลจ้าวที่พูดมากผู้นั้นนี่เอง ลูกสาวสองคนของนางก็เป็จ้าวไฉ่สยากับจ้าวไฉ่เฟิง ชิ... เหตุใดต้องพบคนบ้านนี้อีกแล้ว เจินจูแอบมองบน
“โอ๊ะ หูเสิ่น ท่านอาจไม่ทราบ เถียนกุ้ยจือผู้นี้อยากให้ไฉ่สยาบ้านนางแต่งเข้าไปเสวยสุขในเมือง เพราะดูถูกชาวนาที่ยากจนของหมู่บ้านเรา” ฟู่เหรินใบหน้าคล้ำที่นั่งตรงข้ามกล่าวถากถางในเวลาเดียวกัน
ทันใดนั้น เถียนกุ้ยจือะเิเสียงสูงและดังแหลมเล็กออกมา “หลิวยู่เฟิ่ง ข้ามิได้กล่าวเช่นนั้น เ้าอย่าสาดน้ำสกปรกใส่หัวข้า ไฉ่สยาบ้านข้าเพิ่งจะสิบสี่ ยังเล็กนัก ไม่รีบหมั้นหมาย”
“สิบสี่? อีกเดือนกว่าก็จะข้ามปีแล้ว ผ่านปีไปก็มิใช่ว่าสิบห้าหรือ หมู่บ้านวั้งหลินเด็กสาวที่ผ่านสิบห้าสิบหกปีไปยังไม่แต่งงานมีไม่กี่สกุลแล้ว” หลิวยู่เฟิ่งฟู่เหรินใบหน้าคล้ำปิดปากหัวเราะเบาๆ วาจาช่างแสดงความในใจเสียจริง
ใบหน้าขาวเทาของเถียนกุ้ยจือจมลงทันที แม่นางเ่าั้ที่อายุเกินสิบหกไปแล้วและยังไม่ได้หมั้นหมาย ล้วนเป็ร่างกายพิการหรือมีชื่อเสียงไม่ดี จึงประสบกับคนเมินเฉยไม่มีคนมาสู่ขอ ดวงตาหนึ่งคู่ถลึงตาไปที่คนตรงข้ามอย่างโเี้ “เ้าหมายความเช่นไร? เ้าเป็เพียงโผเหนียงปากเหม็น เอาไฉ่สยาบ้านข้าไปเทียบกับคนเ่าั้ ระวังข้าจะฉีกปากเหม็นของเ้าให้ยุ่ย”
“ข้าจะหมายความเช่นไรได้ ความคิดตัวเ้าเองมิใช่ว่า อยากหาลู่ทางไต่เต้าฐานะให้สูงขึ้นแล้วยังห้ามผู้อื่นกล่าวเื่จริงหรือนี่” หลิวยู่เฟิ่งเอาแต่ยิ้มโดยไม่เอามาใส่ใจทั้งสิ้น “เ้าวิ่งเข้าเมืองหลายครั้งหลายครามิใช่เพื่อเื่นี้หรือ เ้าคิดว่าผู้อื่นมิรู้หรืออย่างไร”
เถียนกุ้ยจือตื่นใ เพื่อให้ไฉ่สยาสามารถแต่งเข้าในเมืองได้ ตนเองต้องจ่ายเงินฝากฝังให้หญิงชราหวังในเมืองจับตาดูบุคลที่คัดเลือกไว้ แต่คิดแต่งเข้าในเมืองจะง่ายเพียงนั้นได้เช่นไร ผู้ใดจะยินดีแต่งกับสาวครอบครัวเกษตรกรที่ไม่เป็ประโยชน์ต่อครอบครัวตนเองแถมด้วยทรัพย์สมบัติเพียงเล็กน้อยเล่า หญิงชราหวังสืบข่าวอยู่หลายเดือน จึงมีเพียงพ่อหม้ายที่ภรรยาตายแล้ว กับพ่อค้าขาเป๋ที่ค่อนข้างน่าสนใจ แต่เถียนกุ้ยจือยังไม่วางใจ เมื่อครั้งที่นางยังสาวก็ไม่สามารถแต่งเข้าเมืองได้ มาตอนนี้จึงอยากให้ลูกสาวของนางลองอีกสักครั้ง ดังนั้นมี่หนึ่งที่นางไปมาระหว่างเมืองอยู่บ่อยๆ แต่ทุกครั้งนางล้วนระมัดระวัง หลิวยู่เฟิ่งผู้นี้เหตุใดจึงทราบได้?
“เ้ามันคนน่ารังเกียจ กล่าวสุ่มสี่สุ่มห้าอันใดกัน ทำลายชื่อเสียงของไฉ่สยาบ้านข้ากับเ้าไม่จบเื่กันแน่” เถียนกุ้ยจือปกปิดความไม่สบายใจไว้ข้างใน จ้องไปที่หลิวยู่เฟิ่งแล้วกล่าวด้วยความโกรธแค้น
“โอ๊ะ หากไม่อยากให้คนรู้ว่าตนเองทำเื่อันใด ก็ยกเว้นแต่ตนเองจะไม่ไปทำ ฮิ ฮิ” หลิวยู่เฟิ่งเลิกคิ้วแล้วยิ้มบางๆ พี่สาวคนรองของนางเห็นว่าเถียนกุ้ยจือผู้นี้จูงหญิงชราหวังที่เป็แม่สื่อในเมืองมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่นางไม่ได้กล่าวต่อออกไป คนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เงยหน้าไม่เจอก้มหน้าก็เจอ อยู่ตรงไหนก็หลบกันไม่พ้น หากตัดสินใจผิดใจกันแล้วก็จะกลายเป็อริกัน ไม่คุ้มค่านัก
เถียนกุ้ยจือมองหลิวยู่เฟิ่งไม่กี่ทีด้วยความแปลกใจระคนไม่เชื่อถือ บีบมือทั้งสองข้างบังคับให้ตนเองสงบ ฝืนใจตอบไปหนึ่งประโยค “มิรู้ว่าเ้ากล่าวสิ่งใดอยู่”
สองฝ่ายดับไฟพักรบ สายตาผู้อื่นที่มองดูความคึกคักพากันมองไปทางอื่น เจินจูที่เอนร่างพิงกับหวังซื่ออย่างสุขุมแอบขบขันในใจ ท่านย่าของนางผู้นี้ร้ายกาจนัก เถียนกุ้ยจือนี่ช่างพูดมากคำพูดเยอะแยะ หัวข้อสนทนาพัวพันเกี่ยวกับเสื้อผ้าตัวใหม่ของเจินจูตลอดไม่รู้จักจบจักสิ้น เมื่อหัวข้อสนทนาหวังซื่อเปลี่ยนไป กลับเอาไฟก่อไปบนตัวของเถียนกุ้ยจือเอง
หิมะปกคลุมทั้งหนาและลึกอยู่สองข้างทาง ตรงกลางถนนมีร่องรอยเกวียนกระจัดกระจายไปทั่ว ยุ่งเหยิงไม่เป็ระเบียบ
เกวียนวัวโยกแกว่งมาตลอดจนถึงประตูเมือง ทุกคนถูกลมหนาวยามรุ่งอรุณพัดเสียจนตัวสั่น เมื่อลงจากเกวียนวัวจ่ายเงินแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไป
ถนนสองฝั่งทุกหนทุกแห่งหิมะปกคลุมกลายเป็กอง ถนนใหญ่ที่ปูด้วยอิฐสีฟ้ามีน้ำซึมทะลุแต่กลับสะอาด แตกต่างจากถนนที่เป็โคลนนอกเมืองอย่างชัดเจน
“เจินจู เ้าว่าพวกเรา…ไปที่ใด?” หวังซื่อประหม่าเล็กน้อย อดเข้าใกล้เจินจูแล้วถามเสียงเบาไม่ได้
“ไปสือหลี่เซียงก่อนเถิด พวกเราคุ้นเคยกับพวกเขาอยู่บ้าง ดูความคิดเห็นของพวกเขาก่อน” เจินจูก็เป็ครั้งแรกที่ทำเื่เช่นนี้ ในใจไม่สงบกังวลอยู่บ้าง “พวกเราไปขายเห็ดก่อน แล้วค่อยขายอย่างอื่นอีก”
หวังซื่อพยักหน้า “ครั้งก่อนเ้าของร้านจางผู้นั้นดูแล้วสบายๆ นัก พวกเราสามารถไปสำรวจน้ำเสียงก่อนได้”
หลังจากหิมะตกหนักท้องฟ้าจึงปลอดโปร่ง แต่อากาศที่ยังคงหนาวมาก คนเดินบนถนนจึงไม่นับว่าเยอะนัก พวกเจินจูสามคนเลี้ยวไปตามถนน มุ่งไปยังปากทางเข้าตรอก
ประตูหลังของสือหลี่เซียงปิดอยู่ หูฉางหลินลังเลใจไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า เจินจูเห็นสภาพการณ์จึงก้าวไปข้างหน้าเคาะประตูเบาๆ
“ใครหรือ?”
“สวัสดี พวกข้าหมู่บ้านวั้งหลินน่ะ มาหาเ้าของร้านจาง” เสียงตอบเด็กสาวไพเราะและอ่อนโยน ดังขึ้นอยู่ในลานที่เงียบสงบ
เสียงภายในลานหยุดไปพักหนึ่ง จึงมีเสียง “แอ๊ด” เปิดบานประตูออกครึ่งบาน
“โอ้... เป็พวกเ้าหรือ วันนี้มีกระต่ายมาขายหรือ?” หนุ่มน้อยที่เปิดประตูคุ้นหูคุ้นตานัก เป็ลูกจ้างครั้งก่อนที่หยิบเงินออกมาจากในร้าน
“ฮิ ฮิ ไม่ใช่หรอก กระต่ายยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก เห็ดตากแห้งของฤดูใบไม้ร่วงนี้ ไม่ทราบว่าเ้าของร้านจางพวกเ้าจะรับหรือไม่?” บนใบหน้าหูฉางหลินยกยิ้มขึ้น กล่าวถามเสียงเบาๆ
“รับสิ รับสิ ผักผลไม้หน้าหนาวขาดแคลน เ้าของร้านจางพวกข้าอยากหาก็หาไม่ได้ รีบเข้ามาก่อนเถิด” ลูกจ้างทักทายด้วยความกระตือรือร้น “พวกเ้ารอสักครู่ อีกเดี๋ยวเ้าของร้านจางก็มา”
กล่าวจบ วิ่งเข้าไป “ตึก ตึก”
“ดี ดี ขอบคุณพ่อหนุ่ม” หูฉางหลินตอบกลับทันที
เ้าของร้านจางยังมาไม่ถึง แต่เสียงหัวเราะเบิกบานกลับดังสะท้อนออกมาแต่ไกล “หลายชายผู้มีเกียรติแห่งสกุลหู ไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน เอาสิ่งของพื้นเมืองมาอีกแล้ว หมู่บ้านพวกเ้าเป็พื้นที่อัจฉริยะบุคคล [2] สินค้าอุดมสมบูรณ์นัก” ระหว่างกล่าวไม่กี่ประโยคคนก็มาถึงตรงหน้า
“เอ่อ... ฮ่า ฮ่า เ้าของร้านจางกล่าวตลกแล้ว พวกเราล้วนอาศัยเบื้องบนเป็ชาวนาอับจนที่ทานข้าว ตลอดทั้งปีก็หาเงินอย่างยากลำบากเท่านั้นเอง” หูฉางหลินหัวเราะแห้งๆ
“หลานชายผู้มีเกียรติแห่งสกุลหูถ่อมตัวแล้ว บ้านเ้ามิใช่เลี้ยงกระต่ายฝูงใหญ่หรือ? ขอเพียงเลี้ยงกระต่ายได้ดีก็มิต้องกลุ้มใจว่าจะขายได้ราคาไม่ดี” เนื้อกระต่ายยังได้รับความสนใจจากแขกนัก อากาศที่หนาวเหน็บ สั่งเนื้อกระต่ายเผ็ดหอมสักถาด ทั้งอาหารอร่อยทั้งบำรุงร่างกาย
“ท่านปู่เ้าของร้าน กระต่ายบ้านเรายังโตไม่พอ วันนี้พวกเราเตรียมสิ่งของอื่นให้ท่านดู” เจินจูหยีั์ตาแล้วกล่าวออกเสียง
“โอ้... กุยหนี่ว์ [3] สกุลหูก็มาด้วย เอาอะไรมาเล่า? เห็ดใช่หรือไม่?” น้ำเสียงเ้าของร้านจางหยอกล้อหลานสาวตัวน้อย ใบหน้าดุร้ายน่ากลัวนอกจากนี้ยังมีสามชั้นใต้คาง ท่าทางน่าขบขันอยู่ชั่วแวบหนึ่ง
เห็นว่าเ้าของร้านจางหัวเราะเสียจนใต้คางสั่นระริก ั์ตายิ้มหยีสว่างไสวจนเป็รอยตะเข็บ “เห็ดก็มี และยังมีของทานอร่อยๆ อย่างอื่นอีก ท่านปู่เ้าของร้าน ตอนนี้ท่านมีเวลาหรือไม่? อยากชิมลูกชิ้นที่ท่านย่าข้าทำขึ้นใหม่หรือเปล่า?”
“ลูกชิ้น?” เ้าของร้านจางดวงตายิ้มหยีทอประกายความสว่าง เงยหน้าขึ้นมองไปยังฟู่เหรินที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างระมัดระวังตัว
“ใช่แล้ว ท่านปู่เ้าของร้าน ลูกชิ้นที่ทำใหม่บ้านข้าอร่อยนัก ท่านจะชิมดูหรือไม่” เจินจูยกยิ้มแล้วค่อยกล่าว
“ได้สิ อยู่ที่ใดกัน?” เ้าของโรงเตี๊ยมย่อมต้องมีความสนใจต่ออาหารการกินเป็ธรรมดา
“ท่านปู่เ้าของร้าน สามารถยืมครัวพวกท่านให้ท่านย่าใช้สักหน่อยได้หรือไม่? ลูกชิ้นนี้ยังต้องต้มเสียหน่อย?” ลูกชิ้นปลาจะอร่อยที่สุดแน่นอนว่าต้องต้มหม้อไฟทาน แต่... ที่นี่ไม่มีการทำอาหารหม้อไฟ ใช้ผักสดต้มน้ำแกงรสชาติก็ไม่แย่ ตอนอยู่บ้าน เจินจูกับหวังซื่อปรึกษาหารือกันแล้ว ว่าสามารถใช้เห็ดต้มน้ำแกงได้ รสชาติจะยิ่งอร่อย
เ้าของร้านจางเบิกตากว้าง ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กวักมือเรียกลูกจ้าง “นำทางพี่สะใภ้ท่านนี้ไปครัว ให้แท่นเตานางหนึ่งแท่น แล้วดูว่านางยัง้าอะไรอีกก็หยิบให้นาง พี่สะใภ้ ท่านเดินตามลูกจ้างไปก็พอแล้ว”
หวังซื่อมองเจินจูหนึ่งทีอย่างไม่รู้ตัว เจินจูหันมาพยักหน้าและยิ้มให้นางน้อยๆ หวังซื่อจึงตามลูกจ้างไปด้วยความสบายใจนิดหนึ่ง
“มา หลายชายผู้มีเกียรติแห่งสกุลหู กุยหนี่ว์ตัวน้อยแห่งสกุลหู พวกเราเข้าไปรอด้านใน” ขณะกล่าว ก็พาสองคนเข้าไปในห้องพักแขกห้องหนึ่ง “นั่งลงกันก่อน ดื่มชาสักถ้วยเถิด”
เจินจูนั่งลงไปด้วยความไม่คิดอะไรมาก แต่หูฉางหลินกลับระมัดระวังตัวมากเกินไปหน่อย นั่งม้านั่งครึ่งหนึ่งเอวตั้งตรงดิ่ง
ลูกจ้างยกชากับของว่างเข้ามา “มา ดื่มชาร้อนๆ ขับไล่ความหนาวก่อน” เ้าของร้านจางร้องทักอย่างกระตือรือร้น
“ขอบคุณท่านปู่เ้าของร้าน ใช่สิ ข้านามว่าเจินจู ปีนี้อายุสิบปีแล้ว ท่านปู่ ท่านเรียกข้าว่าเจินจูก็ได้ เขาคือท่านลุงข้า นามว่าหูฉางหลิน” เจินจูกะพริบตาพยายามเผยความไร้เดียงสาของนาง
“อื้ม ดี เจินจู เป็แม่นางตัวน้อยกิริยาสง่าและเฉลียวฉลาดเสียจริง หน้าตาก็ดูงาม เติบโตขึ้นคงจะน่าตะลึง ฮ่า ฮ่า” เ้าของร้านจางถือถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมา ส่งให้เจินจูแล้วยิ้มพลางกล่าว “นี่เป็ชาพุทราจีน อุ่นๆ เลย”
“ขอบคุณท่านปู่เ้าของร้าน” เจินจูยิ้มหวานหนึ่งที ยื่นมือออกมารับ แล้วจิบอึกหนึ่งเบาๆ
“หลานชายผู้มีเกียรติสกุลหู ดื่มชาสักถ้วยอบอุ่นร่างกายเถิด”
“ขอบคุณเ้าของร้านจาง” หูฉางหลินมองเจินจูแวบหนึ่ง เห็นนางนั่งตัวตรงเรียบร้อย กำลังจิบชาอย่างพิถีพิถัน จึงยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม
เ้าของร้านจางพยักหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ “หมู่บ้านวั้งหลินไม่กี่ปีก่อนข้าก็เคยไป ูเาโอบล้อมสามด้าน สลับซ้อนกันเป็ชั้นๆ ประเภทสินค้าพื้นเมืองหลากหลายยิ่ง เป็สถานที่ที่ดีเลย” เขาถือถ้วยชาขึ้นดื่มหนึ่งอึกแล้วหัวเราะ ฮ่า ฮ่า
“ฮ่า ฮ่า พื้นที่ชนบทเล็กๆ มิคู่ควรให้เอ่ยถึง” หูฉางหลินค่อยๆ ผ่อนคลายความตื่นเต้น แล้วคุยเล่นเื่ทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวันกับเ้าของร้านจาง
สิบห้านาทีผ่านไป ลูกจ้างยกน้ำแกงลูกชิ้นเห็ดที่ต้มเสร็จแล้วเดินเข้ามา หวังซื่อตามอยู่ด้านหลังด้วยความตื่นเต้นน้อยๆ
ลูกชิ้นเกลี้ยงกลมสีขาวนวลลอยอยู่บนผิวน้ำแกงเห็ดสดอร่อย ซอยต้นหอมสีเขียวเข้มโรยประดับในชาม ลักษณะภายนอกไม่เลว เ้าของร้านจางพยักหน้าเล็กน้อย รับตะเกียบที่ลูกจ้างส่งมา คีบลูกชิ้นหนึ่งเม็ดขึ้นด้วยความระมัดระวัง สองตามองซ้ายขวาแล้วจึงใส่เข้าในปาก พร้อมกับเคี้ยวไม่หยุด ั์ตาสงบของเขาค่อยๆ มันวาว ทานลูกชิ้นต่ออีกสามสี่ลูก การเคลื่อนไหวของเขาจึงผ่อนคลายลง
เชิงอรรถ
[1] เสิ่น คือคำเรียกผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว อายุน้อยกว่าแม่ แต่มีศักดิ์เท่ากัน
[2] พื้นที่อัจฉริยะบุคคล หมายถึง สถานที่ที่คนเกิดหรือเคยไป แล้วสามารถกลายมาเป็พื้นที่ที่มีชื่อเสียงได้
[3] กุยหนี่ว์ เป็คำเรียกหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน