“พี่สะใภ้ นี่ทำจากเนื้อปลา?” เนื้อลื่นและสดนุ่ม ไม่กระจัดกระจายแหลกละเอียด ไม่มีกลิ่นคาวปลา เ้าของร้านจางมองไปทางหวังซื่อด้วยสายตาที่แรงกล้า
“เอ่อ ใช่ ทำจากเนื้อปลา” หวังซื่อรีบพยักหน้า
“ท่านปู่เ้าของร้าน อร่อยมากใช่หรือไม่?” เจินจูยิ้มแล้วเข้าไปยืนด้านข้างหวังซื่อ จงใจจูงมือของนาง แล้วคว้ามาจับไว้เบาๆ เล็กน้อย
หวังซื่อรับรู้ได้ จึงผ่อนคลายจิตใจค่อยๆ สงบลง
“อื้ม... รสชาติในปากเรียบเนียน ลักษณะเป็ที่ชื่นชอบมากนัก” เ้าของร้านจางพยักหน้ารับไม่หยุด หมุนกายไปสั่งกับลูกจ้างด้านข้าง “ไปเรียกเ้าของร้านใหญ่มา”
ลูกจ้างรับคำสั่งแล้วจากไป ไม่นานนัก เสียตึงๆ ก็ตามมา ชายหนึ่งคนที่สวมเสื้อจีนผ้าไหมลวดลายสีดำ บนริมฝีปากมีหนวดเคราเล็กน้อยรีบเร่งเข้ามา
“ลุงจาง เหตุใดร้องเรียกข้า?” ชายคิ้วหนาดวงตากระจ่างชัดสีหน้าสุขุม
“เสียงหลิน มารู้จักเสียหน่อย” เ้าของร้านจางยิ้ม “นี่เป็พี่สะใภ้สกุลหูที่มาจากหมู่บ้านวั้งหลิน บุตรชายเขาหูฉางหลินและหลานสาวหูเจินจู”
หลังแนะนำแต่ละคนแล้ว “นี่คือเ้าของร้านใหญ่สือหลี่เซียงของพวกเรา แซ่เหนียน”
ทุกคนต่างพากันทักทาย แม้เหนียนเสียงหลินหวาดระแวงอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับประดับด้วยรอยยิ้มการค้าตามความเคยชิน ทักทายขึ้นอย่างเป็มิตร
“เสียงหลิน เ้าชิมอันนี้” เ้าของร้านจางแนะนำเรียบร้อยแล้วจึงชี้ไปที่ชามน้ำแกงพร้อมส่งตะเกียบให้อย่างอดใจไม่ไหว
เหนียนเสียงหลินกวาดสายตาผ่านชามน้ำแกงเครื่องปั้นดินเผาสีขาว ลูกชิ้นขาวราวหิมะลอยอยู่บนผิวน้ำแกง ดึงดูดความสนใจเขาให้พุ่งไปที่จุดนั้น คีบขึ้นมาใส่ปากหนึ่งลูกลิ้มลองอย่างละเอียดด้วยความแปลกใหม่และคาดหวัง ลูกชิ้นปลาอุ่นๆ มีความนุ่มลื่นสดหวานของเนื้อปลาเป็เอกลักษณ์ และในความนุ่มลื่นยังมีความหยุ่นอีกด้วย รสชาติในปากทั้งโดดเด่นและอร่อย เขาอดไม่ได้ที่จะคีบขึ้นมาอีกหนึ่งเม็ด สายตาหรี่ลงครึ่งหนึ่งแล้วชิมรสอีกครั้ง
“เสียงหลิน เป็เช่นไร?” เ้าของร้านจางเข้าไปใกล้หนึ่งก้าว รีบถามขึ้น
“นี่เป็เนื้อปลา?” แววตาเหนียนเสียงหลินรุ่มร้อน เนื้อปลาทำเป็ลูกกลมๆ ไม่เพียงท่าทางอร่อยและน่ารัก รสชาติอาหารก็ไม่เลวด้วย
“มิผิด เป็ลูกชิ้นทำจากเนื้อปลา เ้าของร้านเหนียนทานแล้วไม่พอใจหรือ?” หวังซื่อข่มความกระวนกระวายในใจ กล่าวเสริมด้วยความสงบ
“อื้ม พี่สะใภ้หู ลูกชิ้นนี้รสชาติอร่อยสดและนุ่ม ทานแล้วไม่เลวจริงๆ รูปทรงประณีตอิ่มเอิบ รสชาติในปากดี มีความเหนียว เกรงว่าขั้นตอนไม่น้อยเลยกระมัง?” น้ำเสียงถามเจาะลึก สือหลี่เซียงถือเป็โรงเตี๊ยมใหญ่ที่ไม่เป็สองรองใครในเมืองไท่ผิง ย่อมมีป้ายอาหารจานเด่นของเขา เหนียนเสียงหลินรู้สึกได้อย่างว่องไวว่าลูกชิ้นเนื้อปลานี้มีโอกาสในทางการค้าแฝงอยู่ สามารถกลายเป็หนึ่งในป้ายอาหารของสือหลี่เซียงได้แน่นอน
“เอ่อ... ต้องเสียเวลาอยู่เล็กน้อยจริงๆ แต่ หลังจากทำจนชินแล้วก็จะเร็วมากนัก” หวังซื่อตอบ
“พี่สะใภ้หูคิดจะทำลูกชิ้นขายกับสือหลี่เซียงของพวกเราใช่หรือไม่?” เหนียนเสียงหลินลูบหนวดเคราบนริมฝีปาก ในตาทอประกายอย่างเปิดเผย
“นี่ นี่มิใช่” หวังซื่อไม่กล้าเอ่ยเล็กน้อย
“ท่านอาเหนียน ่นี้ฐานะทางบ้านไม่ดีนัก ต้องรีบใช้เงินเล็กน้อย เพราะอย่างนั้นความหมายของท่านย่าข้าคือ จะขายวิธีทำของลูกชิ้นให้โรงเตี๊ยมพวกท่าน เมื่อครู่พวกท่านก็ได้ชิมแล้ว หากคิดว่าดี พวกเราสามารถให้สิทธิพิเศษขายให้พวกท่านก่อนได้” เสียงสดใสไพเราะของเจินจูกล่าวจุดประสงค์ของพวกนางอย่างตรงไปตรงมา
“ให้สิทธิพิเศษ? ความหมายของแม่นางน้อยคือ หากพวกเราไม่ซื้อพวกเ้าก็จะขายให้แก่ร้านอื่นหรือ?” เหนียนเสียงหลินพินิจพิเคราะห์เด็กสาวที่ใบหน้ายิ้มแย้มตรงหน้า
“ใช่แล้ว” เจินจูจ้องมองตาโตอย่างไร้เดียงสา
“… แม่นางน้อยตรงไปตรงมามากนัก ฮ่า ฮ่า ได้ เช่นนั้นพวกเ้าคิดจะขายอย่างไรเล่า?” เ้าของร้านเหนียนกับเ้าของร้านจางแลกเปลี่ยนสายตากันหนึ่งที ไม่ลังเลที่จะ้าอย่างแน่นอน
เจินจูมองซ้ายขวาหนึ่งที แล้วกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มกว้าง “พวกข้าไม่เข้าใจราคาตลาดนัก ท่านอาเหนียนให้ราคาพวกเราเถิด”
เหนียนเสียงหลินค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย สกุลหูนี่ฉลาดเฉียบแหลมนัก เขาไตร่ตรองนิดหน่อย แล้วกล่าวช้าๆ “ราคานี่ล้วนยังคุยกันได้ แต่หากขายให้โรงเตี๊ยมพวกข้าแล้วจะขายให้ร้านที่สองอีกไม่ได้นะ”
“นี่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ลูกชิ้นนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะทำยาก หากผู้อื่นทำเลียนแบบออกมาก็โทษพวกข้ามิได้เล่า” เจินจูกล่าวแจ้งให้ชัดเจนก่อนทันที
เหนียนเสียงหลินขมวดคิ้วเล็กน้อย ทันทีหลังจากนั้นก็ผ่อนคลายออก ยิ้มแล้วกล่าว “นี่เป็เื่ที่หลีกเลี่ยงมิได้ แค่ไม่ใช่พวกเ้าตั้งใจขายให้ผู้อื่นก็ไม่เป็ไร”
“ไม่มีทางอย่างแน่นอน แม้พวกข้าเป็เพียงคนชนบท แต่สัจจะพื้นฐานยังมีอยู่” เจินจูเม้มปากยิ้ม “อีกอย่าง ลูกชิ้นที่ท่านย่าทำได้ก็มิใช่มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนะ” กล่าวจบยังกะพริบตาด้วยความซน
“จริงหรือ?” เหนียนเสียงหลินสองตาสว่าง รีบไต่ถามอย่างไม่รอช้า “ยังมีอันใด?”
“พี่สะใภ้ ท่านช่างน้ำนิ่งไหลลึกเสียจริง” ในความประหลาดใจเ้าของร้านจางยังมีความตื่นเต้นแฝงอยู่
“มิใช่…เอ่อ…ไม่ ก็แค่ทำไปเรื่อยเปื่อยน่ะ” หวังซื่อเหงื่อผุดกลางฝ่ามือ คำพูดตะกุกตะกัก เจินจูกุมฝ่ามือของหวังซื่อแน่นอย่างเงียบๆ ตบเบาๆ ปลอบใจนาง
“ ท่านย่าข้ายังทำลูกชิ้นได้หลายอย่าง หากพวกท่าน้าซื้อวิธีทำลูกชิ้นปลา พวกเราก็จะให้วิธีทำลูกชิ้นอีกอย่างหนึ่ง ซื้อหนึ่งแถมหนึ่งเลย” เจินจูรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงคึกคักมีชีวิตชีวาอย่างรวดเร็ว
หวังซื่อกับหูฉางหลินมองมาที่นางอย่างพร้อมเพรียง ทั้งสองคนล้วนทอความสงสัยในแววตา
“โอ้ ดีเช่นนี้?” เหนียนเสียงหลินมองเด็กสาวราวกับมีเื่น่าตื่นเต้น อดที่จะยิ้มและกล่าวออกมาไม่ได้ “ได้ เช่นนี้ ลูกชิ้นปลานี่พวกเราให้สี่สิบสองเงินเหลียง พวกเ้าเห็นว่าเหมาะสมหรือไม่?” เขาลองถามหยั่งเชิง
“สี่สิบสอง!” หวังซื่อกับหูฉางหลินสองคนสะดุ้งโหยง มองกันและกันทีหนึ่ง แววตาปรากฏความแปลกใจระคนดีใจ
“ท่านอาเหนียน พวกข้าขายหนึ่งแถมหนึ่งนะ อีกอย่าง ท่านย่าข้ายังสามารถทำลูกชิ้นอร่อยๆ ชนิดอื่นได้อีกด้วย หากเหมาะสมก็สามารถขายให้กับพวกท่านได้อีก ดังนั้น ราคานี้น่ะ ท่านดูอีกครั้ง?”
“ฮ่า ฮ่า เ้าเด็กสาวนี่ร้ายกาจนัก” เหนียนเสียงหลินหัวเราะฮ่าฮ่าอย่างชอบใจ เ้าของร้านจางที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะเสียจนใต้คางสั่นไหว
“ได้ ราคาล้วนหารือได้ ในเมื่อซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง เช่นนั้นข้าก็ไม่ให้พวกเ้าเสียเปรียบ หกสิบเหลียง นี่ไม่น้อยแล้ว แต่... คำพูดต้องเป็ไปตามก่อนหน้านี้ หากมีลูกชิ้นประเภทอื่นต้องให้สิทธิพิเศษกับพวกเราก่อนเล่า” เหนียนเสียงหลินทำสีหน้าจริงจังกล่าว
มือของหวังซื่อที่กุมเจินจูอยู่ควบคุมอาการสั่นไว้ไม่ได้ ใบหน้าเล็กขาวนวลของเจินจูเงยขึ้นเล็กน้อย กะพริบตาแสร้งถาม “ท่านย่า ท่านว่าราคานี้เหมาะสมหรือไม่?”
หวังซื่อรู้สึกลำคอแน่นตึง พูดไม่ออกเล็กน้อย จึงทำได้เพียงออกแรงไอแห้งๆ สองเสียง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “นี่ ราคานี่ ไม่ ไม่เลว”
เมื่อเห็นว่าหญิงชราประหม่าจนเอ่ยออกมาตะกุกตะกัก เจินจูก็ไม่อืดอาดอีก “เช่นนั้นได้ก็แล้วกัน ท่านอาเหนียน ท่านให้คนตามไปเรียนรู้การทำลูกชิ้นปลากับลูกชิ้นหัวไชเท้าเถิด ลูกชิ้นหัวไชเท้านี้แถมให้พวกท่าน ฮิ ฮิ อร่อยมากเลยล่ะ วิธีทำก็ง่ายกว่าด้วย”
“ดี ตรงไปตรงมานัก ท่านอาจาง รบกวนท่านไปเขียนหลักฐานตัวอักษรให้ที แล้วหยิบเงินมาด้วย ข้าจะนำพี่สะใภ้ไปห้องครัวก่อน” เหนียนเสียงหลินอดรนทนไม่ไหวเล็กน้อย มอบธุระเสร็จจึงร้องทักหวังซื่อแล้วรีบเดินออกไป
เ้าของร้านจางตอบรับแล้วเดินไป เหลือหูฉางหลินที่มึนตะลึงกับเจินจูที่ท่าทางสงบนิ่ง
เห็นว่าในห้องมีเพียงพวกเขาสองคน หูฉางหลินถามเสียงเบาๆ อย่างรอคอยไม่ไหว “เจินจู นี่มิใช่ว่ากำลังฝันอยู่หรือ ขายไปหกสิบเงินเหลียง?”
หนึ่งเสียง “พรืด” เจินจูหัวเราะขึ้นมา “มิได้ฝัน ขายไปหกสิบเหลียง”
“มารดาข้า... วิธีทำหนึ่งอย่างเช่นนี้ก็ขายไปหกสิบเหลียง! หกสิบเหลียงเลยนะ! …” ครึ่งชีวิตเขาไม่เคยเจอเงินมากมายเช่นนี้มาก่อนเลย
“ท่านลุง สงบหน่อยเถิด กลับไปพวกเราค่อยว่ากัน อีกอย่างเงินยังไม่ถึงมือเลย อีกเดี๋ยวตอนหยิบเงินห้ามตื่นเต้นมากเล่า” เจินจูหัวเราะแล้วกล่าวกำชับ
“อื้ม ลุงรู้แล้ว” กล่าวจบก็จัดการสีหน้าแล้วนั่งหยัดกายตรง ใบหน้ามองไปข้างหน้าด้วยความเคร่งขรึม แต่สองมือที่สั่นระริกกลับทรยศความรู้สึกตื่นเต้นของเขา
ไม่นานนัก เ้าของร้านจางก็ย่ำเสียงฝีเท้าหนักดันประตูเข้ามา ของในมือวางลงบนโต๊ะ กล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “มา เจินจูน้อย นี่เป็หลักฐานตัวอักษร หากไม่มีปัญหาอันใดก็กดรอยนิ้วมือได้เลย”
เจินจูไม่พะว้าพะวัง มองดูตรงหน้าอย่างละเอียด หูฉางหลินที่อยู่ด้านข้างคิดในใจว่า เจินจูนี่แสร้งเสียเหมือนจริงๆ ไม่รู้ตัวอักษรแท้ๆ ยังมองอย่างละเอียดเช่นนี้ได้
เอาหลักฐานตัวอักษรจีนตัวเต็มสองใบมาดูอย่างคาดเดาและไม่รู้หนังสือหนึ่งรอบ เจินจูจึงยิ้มแล้วกล่าวกับเ้าของร้าน “ท่านปู่เ้าของร้าน ตัวอักษรทั้งหมดนี้ข้ารู้ไม่ทุกตัว ท่านอ่านให้พวกเราเถิด”
เมื่อแรกเ้าของร้านจางรู้สึกแปลกใจกับเื่ที่เจินจูรู้ตัวอักษรเล็กน้อย แต่พอได้ฟังนางกล่าวเช่นนี้ก็รู้สึกว่าปกตินัก จึงยิ้มแล้วหยิบหลักฐานตัวอักษรขึ้นมาอ่าน
ฟังเ้าของร้านจางอ่านหลักฐานตัวอักษรทีละคำทีละประโยคออกมา ใจของเจินจูที่รู้สึกกังวลเล็กน้อยจึงสงบลงได้ ดูท่าแล้วสือหลี่เซียงนี้มีสัจจะและไม่รังแกคนจริงๆ สามารถพิจารณาร่วมมือกันระยะยาวในอนาคตได้
หูฉางหลินกดรอยนิ้วมือลงไปตามการบอกใบ้ของเจินจูอย่างประหม่า
เ้าของร้านจางยิ้มและส่งให้เจินจูหนึ่งฉบับ แล้วหยิบเอาอีกหนึ่งฉบับขึ้นมา ทันที หลังจากนั้นจึงนำถุงเงินถุงหนึ่งออกมาจากในอก เทเงินเปลือย [1] ที่มีมูลค่าหกสิบเหลียงด้านในออกมา เงินร่วง “ปึง ปึง” กระทบโต๊ะไม้ท้อ ใจของหูฉางหลินก็เต้นตามเสียง “ปึง ปึง” ไปด้วย
“ทั้งหมดหกสิบเหลียง หลานชายผู้มีเกียรติสกุลหูเก็บไว้ให้ดี” เ้าของร้านจางกล่าว
“ท่านปู่เ้าของร้าน ขอแลกเงินเล็กสิบเหลียงให้พวกข้าได้หรือไม่?” เจินจูหยิบเงินเปลือยขึ้นมาหนึ่งอัน มองอย่างอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย
“ย่อมได้” ควักถุงเงินอีกถุงหนึ่งออกมาจากในอก นับเงินสิบเหลียงเล็กแบ่งออกและส่งไป
“ขอบคุณท่านปู่เ้าของร้าน!” เจินจูส่งยิ้มไปทางเขาจางๆ แล้วบอกใบ้ให้หูฉางหลินเอาเงินเก็บไว้ให้ดี
หูฉางหลินสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งเฮือก ข่มความตื่นเต้นในใจ หยิบเงินขึ้นดูอย่างละเอียด ของจริง! เป็ของจริง!
“เจินจูน้อย หากพวกเ้ายัง้าขายสิ่งใด จำไว้ว่ามาที่นี่เท่านั้น พวกเราต่างเป็คนคุ้นเคยเก่ากันแล้ว สือหลี่เซียงของพวกข้ามีสัจจะต้อนรับแขกไม่หลอกลวงแม้แต่เด็กและคนชรา ไม่ให้พวกเ้าเสียเปรียบอย่างแน่นอน ต้องจำไว้ด้วยเล่า” เ้าของร้านจางกำชับโดยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบ
“ทราบแล้ว ท่านปู่เ้าของร้าน นี่มิใช่ว่าพวกเรามุ่งมาหาพวกท่านที่นี่เป็ที่แรกหรือ” เจินจูยิ้มแล้วกล่าวตอบ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม กลุ่มสามคนของหวังซื่อก็เดินเอื่อยๆ อยู่บนถนน หูฉางหลินรู้สึกว่าตนเองราวกับเดินอยู่บนเมฆก็มิปาน ทุกอย่างที่เห็นเหมือนไม่เป็ความจริงเช่นนั้น
“ท่านแม่ ท่านว่า ข้ากำลังฝันอยู่หรือไม่” หูฉางหลินกุมถุงเงินในอกแน่น น้ำเสียงคล้ายมีความตื่นเต้นอยู่สองสามส่วน
“แค่ก...ฉางหลิน เรากลับไปค่อยว่ากัน” หวังซื่อมองไปรอบๆ ด้วยความระมัดระวัง กล่าวเสียงต่ำ ในอกของนางก็มีเงินที่ได้จากการขายเห็ดแห้ง 280 เหวิน เห็ดแห้งหนึ่งชั่ง 28 เหวิน พวกเขาเอามาเพียงสิบชั่ง
“อื้ม ได้ ได้” หูฉางหลินรีบตอบทันที
เจินจูเห็นสองคนตื่นเต้นไม่หยุด ถอนหายใจเบาหนึ่งเสียง “ท่านลุง ท่านผ่อนคลายหน่อย ท่านประหม่าเช่นนี้กลับง่ายต่อการดึงดูดความสนใจผู้อื่นนะ มา ผ่อนคลายหน่อย ผ่อนคลาย”
แม้หูฉางหลินจะพยักหน้าตอบรับ แต่ร่างกายที่แข็งยังมีความไม่เป็ธรรมชาติอยู่เล็กน้อย
เจินจูยิ้ม หันกลับไปมองหวังซื่อ “ท่านย่า ข้าอยากซื้อของนิดหน่อย ได้หรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1] เงินเปลือย เป็เงินที่มีลักษณะเม็ดเล็กๆ คล้ายเมล็ดพันธุ์พืชแตงโมง มีสีทอง (1 อัน = 10 เหลียง)