“ได้สิ เจินจู ้าซื้อสิ่งใด? ย่าล้วนซื้อให้เ้า” หวังซื่อรับปากทันที เงินที่หาได้ครั้งนี้ล้วนอาศัยเจินจู นางร้องขอสิ่งใดมาจึงแทบจะรับปากนางในทันทีเลย
“อื้ม แค่ซื้อพวกกระดาษ หมึก แท่งฝนหมึก ยู่เซิงผู้นั้นเขารู้ตัวอักษร หน้าหนาวยาวนานนัก ข้าอยากให้เขาสอนผิงอันให้เรียนหนังสือหน่อย รอปีหน้าเข้าฤดูใบไม้ผลิ ก็ให้ผิงอันไปเรียนโรงเรียนที่เปิดส่วนตัว” เจินจูคิด แล้วกล่าวออกไปตามตรง “ให้พี่รองกับผิงซุ่นมาเรียนหนังสือที่บ้านด้วยกันได้นะ ข้าเคยพูดคุยกับเขาไว้แล้ว เขายินดีที่จะสอนหนังสือพวกเรา”
หวังซื่อฟังจบก็ตกตะลึง พอได้สติจึงรีบพยักหน้า น้ำเสียงมีความตื่นเต้นเล็กน้อย “ดี ดี นี่เป็เื่ดี เดิมทีหากที่บ้านมีเงินเหลือ ก็จะส่งพวกเขาไปโรงเรียนส่วนตัวเล่าเรียนรู้ตัวอักษรนานแล้ว ล้วนโทษคนแก่เช่นพวกข้า ใช้การไม่ได้เลย ทำให้พวกเขาเสียเวลามามาก”
ในตาหวังซื่อปรากฏน้ำตาคลอแวบหนึ่ง การใช้ชีวิตหลายปีมานี้อัตคัดนัก จะกล้าส่งเด็กๆ ไปโรงเรียนส่วนตัวได้ที่ไหนกัน ความคิดเช่นนี้หวังซื่อล้วนไม่กล้าคิดมาก่อน ขณะนี้ได้รับเงินมาพอประมาณ ย่อมสามารถไตร่ตรองที่จะส่งเด็กชายไปโรงเรียนส่วนตัวได้ คนชนบทมักจะเต็มไปด้วยความรู้สึกเกรงใจต่อปัญญาชน การที่ไปโรงเรียนส่วนตัวเรียนหนังสือในหมู่บ้านวั้งหลินได้ จึงเป็เื่ที่คุ้มค่าน่าภูมิใจนัก
“ท่านย่า พวกเราน่ะ ล้วนไม่โทษผู้ใด เริ่มตอนนี้ก็ยังไม่สาย หน้าหนาวนี้ให้ยู่เซิงสอนทุกคนรู้ตัวอักษรนิดหน่อยก่อน รอตอนไปโรงเรียนส่วนตัวอย่างเป็ทางการแล้ว อาจารย์ถามขึ้นมาจะได้ตอบได้” เจินจูกล่าวยิ้มๆ
“เจินจูกล่าวได้มีเหตุผล พวกเราไปร้านหนังสือซื้อเครื่องเขียนก่อน” หูฉางหลินอดทนเก็บความเบิกบานใจไว้ไม่อยู่ เดิมทีร่างกายที่ค่อนข้างแข็งทื่อก็ผ่อนคลายลง
เมืองไท่ผิงมีร้านหนังสือมากนัก ในขณะนั้นร้านหนังสือจื้อหย่วนที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดตั้งอยู่บนถนนทิศใต้ เป็ร้านหนังสือที่ใกล้พวกเขาที่สุด เลี้ยวโค้งหนึ่งที ก็เห็นตัวอักษรใหญ่สีทองสี่ตัวที่ดูมีพลังมาแต่ไกลว่า ร้านหนังสือจื้อหย่วน
เจินจูก้าวเข้าไปข้างหน้าด้วยกิริยาท่าทางสงบนิ่ง หวังซื่อกับหูฉางหลินที่ตามอยู่ข้างหลังมองหน้ากันแล้วจึงเดินตามเข้าไปช้าๆ
เมื่อเข้ามาในร้านหนังสือ กลิ่นหมึกพิมพ์จางๆ ตีเข้ามาเป็พักๆ เจินจูสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ดมกลิ่นหอมหมึกด้วยความคุ้นเคย ราวกับพบเพื่อนเก่าที่สนิทสนมก็มิปาน
“แม่นางน้อย เ้า้าซื้ออะไรหรือ? พู่กัน หมึก กระดาษ แท่นฝนหมึก? หรือเป็กระดาษตำรา?” ลูกจ้างร้านหนังสือเข้ามาใกล้ สายตามองมาที่นางด้วยความไม่แน่ใจเล็กน้อย
เจินจูมองไปรอบๆ บนชั้นวางหนังสือฝั่งซ้ายสูงใหญ่จัดเรียงตำราหนาบางต่างกันอย่างเป็ระเบียบ ตัวอักษรจีนแบบตัวเต็มที่มัดรวมกันเก็บไว้อย่างยุ่งเหยิงในนั้น เจินจูฝืนมองออกได้ไม่กี่ตัว ในใจน้ำตาไหลออกมาสองสายทันที แค่นี้ก็ดีมากแล้ว หนนี้กลายเป็บุคคลที่ไม่รู้หนังสือเสียนี่
“พวกท่านมีตำราเกี่ยวกับเพาะปลูกที่นาหรือไม่?” เจินจูถามออกมาทันที
“เอ่อ... มีเล่ม ‘ตำราเกษตรสี่ฤดู’ แม่นาง เ้า ้าหรือ?” ลูกจ้างมองขึ้นลงสังเกตนางอย่างละเอียดหนึ่งที แม่นางน้อยที่สวมเสื้อผ้าใหม่สีแดงอ่อน ใบหน้าเล็กผิวขาวนวลั์ตาดำขลับ รูปร่างผอมบางแต่สุขุมสงบนิ่ง
“โอ้ ยืมมาดูสักนิดได้หรือไม่?” เจินจูได้ฟังแล้วก็สนใจ
“ได้ แม่นางรอสักครู่” ลูกจ้างหันไปในกองชั้นวางหนังสือ ยื่นมือไปหยิบหนังสือที่ค่อนข้างเก่าหนึ่งเล่มออกมาจากซอกบนที่สูง
ลูกจ้างตบฝุ่นสีเทาบนหนังสือเบาๆ กล่าวอธิบายด้วยความเขินอายนิดหน่อย “หนังสือเล่มนี้วางไว้ที่นี่นานมากแล้ว เปื้อนฝุ่นละอองอยู่บ้าง เอ้า... เ้าดูสิ ตอนนี้หนังสือเล่มนี้กำลังถูกนัก 200 เหวิน ก็พอ” ความเป็จริง หนังสือเล่มนี้วางไว้บนชั้นมานานมากแล้ว หนังสือประเภทการเกษตรนี้ปัญญาชนทั่วไปซื้อกันน้อยนัก ส่วนชาวไร่ชาวนาที่้าหนังสือการเกษตรจริงๆ ก็รู้จักตัวอักษรไม่กี่ตัว ดังนั้นจึงวางทิ้งไว้บนที่สูงของชั้นหนังสือมาตลอด ขณะนี้ไม่ง่ายเลยที่จะมีคนสนใจ เป็ธรรมดาที่หวังอยากให้ขายออกไปได้
200 เหวิน? ราคาถูก? หวังซื่อกับหูฉางหลินที่ยืนอยู่ข้างประตูล้วนใ ต่างรู้อยู่ว่าตำราหมึกกระดาษราคาสูงลิ่ว แต่ไม่เคยคิดว่าหนังสือการเกษตรที่ค่อนข้างเก่าเล่มหนึ่งจะแพงได้เช่นนี้ เกือบเท่าค่าแรงทำงานของหนึ่งเดือนเลยนะ
เจินจูรับมาพลิกเปิด ตัวอักษรบรรจงเล็กที่อัดแน่นเรียงลำดับในนั้น ฝืนอ่านไปสองแถว พบว่าตัวอักษรมากกว่าครึ่งล้วนอ่านไม่ออก “…”
ดูเหมือนว่าทำได้เพียงต้องเรียนใหม่ั้แ่ต้นแล้ว
“ถูกกว่านี้ได้อีกหรือไม่? หนังสือเล่มนี้เก่ามากแล้ว ลดลงหน่อยเถิด” บนใบหน้าเจินจูประดับรอยยิ้ม เตรียมต่อราคา
“ต่ำกว่านี้อีกมิได้แล้ว แม่นาง นี่ล้วนขายขาดทุนแล้ว” ลูกจ้างสีหน้าลำบากใจ
เจินจูยิ้มโดยไม่กล่าวอะไร เพียงเอาหนังสือส่งกลับไปให้เขา แล้วหมุนกายไปเตรียมเลือกเครื่องเขียนธรรมดาชุดหนึ่ง ต่างก็เป็ผู้เริ่มเรียน ซื้อที่พอใช้ได้ก่อนหนึ่งชุด
ลูกจ้างเห็นว่านางหมุนกายไปไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย จิตใจก็กระวนกระวาย ไม่ง่ายเลยที่จะมีคนสนใจหนังสือการเกษตรเล่มนี้ จึงรีบเร่งเอ่ยปาก “แม่นางน้อย เอาเช่นนี้ หนังสือเล่มนี้ 180 เหวิน เ้าเห็นว่าเหมาะสมหรือไม่?”
มองสีหน้าร้อนใจของลูกจ้าง เจินจูจึงเลิกคิ้วขึ้น แล้วยิ้ม “อืม... 150 เหวิน เถิด พวกข้ายังซื้อเครื่องเขียนอีก คิดรวมกันแล้วถูกลงหน่อยนะ”
ลูกจ้างตะลึงงัน คิดด้วยใบหน้ากลัดกลุ้มใจ “แม่นาง สิ่งนี้ข้าจัดการมิได้ เ้ารอสักเดี๋ยว ข้าไปถามเ้าของร้านสักครู่” กล่าวจบ เดินถือหนังสือการเกษตรเข้าไปข้างโต๊ะคิดเงินที่ไกลออกไปเล็กน้อย เ้าของร้านขายหนังสือกำลังก้มหน้าดีดลูกคิด ลูกจ้างเข้าไปกระซิบข้างหูพักหนึ่ง หลังจากนั้นชั่วขณะ เขาก็ก้าวเร็วกลับมา ฉีกยิ้มบนใบหน้าขึ้น “ได้แล้ว แม่นางน้อย เ้าของร้านข้าบอกว่า หนังสือเล่มนี้มีวาสนาต่อเ้า ก็คิดเสียว่าขายครึ่งแถมครึ่งให้เ้าแล้วกัน เ้าดูว่ายัง้าสิ่งใดอีกหรือไม่?”
“ยังคิดจะซื้อเครื่องเขียนหนึ่งชุด ไม่ต้องดีมาก ธรรมดาหน่อยก็พอแล้ว” เจินจูยิ้มบางๆ
ด้วยเหตุนี้ จึงได้สี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือธรรมดาที่สุดหนึ่งชุด พร้อมกระดาษขาวฝึกเขียนขั้นพื้นฐานหนึ่งปึก เพิ่มขึ้นนอกจากนี้คือหนังสือการเกษตรที่ค่อนข้างเก่าหนึ่งเล่ม จ่ายเงินไปเกือบหนึ่งเหลียง หวังซื่อเอาสิ่งของวางลงในตะกร้าที่แบกหลังมาด้วยความระมัดระวัง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็สิ่งของล้ำค่า หากไม่ใช่ว่าการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ค่อนข้างได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ นางคงตัดใจใช้จ่ายเงินหนึ่งเหลียงซื้อสิ่งเหล่านี้ไม่ลง
ออกจากร้านหนังสือมา ทั้งสามคนก้าวอยู่บนถนนช้าๆ แต่เดิมที่คนเดินบนถนนเงียบเหงาเล็กน้อยก็ค่อยๆ มีนักเดินทางเพิ่มมากขึ้น รถม้าหนึ่งคันรอดผ่านไป “กับ กับ กับ” เจินจูค่อยๆ เบนสายตาไปมองรถม้าที่ไกลออกไป จู่ๆ ก็หยุดฝีเท้าลง หวังซื่อกับหูฉางหลินที่ตามอยู่จึงหยุดยืน
“เป็อันใดไป?” หวังซื่อถามด้วยความเป็ห่วง
“ท่านย่า พวกเราซื้อวัวได้แล้วใช่หรือไม่?” แม้เกวียนวัวจะช้า แต่นำมาใช้ขนส่งกระต่ายน่าจะสะดวกสบายกว่านัก
“ซื้อ…วัว?” ในน้ำเสียงที่สงสัยและกังวลของหวังซื่อมีความปรีดาประดับอยู่หลายสาย หูฉางหลินที่อยู่ข้างๆ ฉีกยิ้มกว้าง พยักหน้าติดๆ กัน
เจินจูมองท่าทีของทั้งสองคนแล้วยิ้ม “ใช่สิ ซื้อวัวที่แข็งแรงสักตัว ทั้งสามารถไถนาและยังสามารถลากขนส่งสินค้าได้ ครั้งหน้าบ้านเราขายกระต่ายก็มิต้องแบกไปด้วยตนเองแล้ว”
หวังซื่อได้ฟังแล้วก็พยักหน้ารับติดๆ กัน ั์ตาสองข้างน้ำตาคลอหน่วยด้วยความดีใจ “ใช่ ใช่ ควรจะซื้อวัวสักตัว ครั้งหน้าก็สามารถขับเกวียนของตัวเองเข้าเมืองมาส่งกระต่ายได้แล้ว”
หูฉางหลินฟังจากที่มารดากล่าวก็พยักหน้า รอยยิ้มมุมปากฉีกไปถึงข้างใบหู ครอบครัวเกษตรกรที่สามารถมีวัวเลี้ยงไว้ไถนาได้สักหนึ่งตัว เป็เื่ที่ควรค่าให้ดีใจมากเพียงใดเล่า
“เช่นนั้นก็ได้ ท่านลุง พวกเราไปซื้อวัวกันก่อน ซื้อวัวเสร็จจึงถือโอกาสเอากระดานเกวียนประกอบเข้าไปให้เรียบร้อย และเอาของที่ซื้อมาวางไว้บนเกวียน พวกเราก็นั่งเกวียนกลับไปได้แล้ว” เจินจูยิ้ม
ั์ตาหูฉางหลินเป็ประกายสะท้อนความตื่นเต้นดีใจออกมา ในฐานะที่เป็คนครอบครัวชาวนา ไม่มีความทะเยอทะยานใดๆ จะสามารถซื้อวัวหนึ่งตัวได้เป็เื่ที่ถวิลหาในยามหลับฝันเท่านั้น “ตลาดวัวม้าอยู่ประตูทางทิศตะวันตก พวกเราไปกันตอนนี้เลยเถิด”
“ได้ พวกเราไปกันเลย” หวังซื่อดีใจจนเปี่ยมล้มออกมาบนใบหน้าอย่างมีความสุข
ตลาดค้าขายวัวและม้าอยู่มุมหนึ่งของประตูทิศตะวันตก ยังไม่ทันได้เดินเข้าใกล้ กลิ่นของมูลวัวและม้าหนึ่งสายก็โชยมาเข้าจมูก เสียงคนพูดเสียงม้าร้องเสียงวัวที่เปล่งออกมาเคล้าเข้าด้วยกัน ประกอบเป็กลิ่นคละคลุ้งในตลาดวัวม้า แต่คนกลับคึกคักเป็พิเศษยิ่งนัก
เพิ่งเดินเข้าตลาดสัตว์แรงงาน เสียงร้องทักก็ดังขึ้นไม่หยุด
“พี่ชายท่านนี้ ซื้อวัวหรือซื้อม้า? ข้ามีทั้งหมด เข้ามาดูสิ!”
“พี่สะใภ้ใหญ่ท่านนี้ซื้อวัวหรือ? ดูลูกวัวของร้านข้าเลี้ยงได้บึกบึนแข็งแรงนัก เชื่อถือได้แน่นอน”
“นี่! เข้ามาดูลูกม้าที่แข็งแรงนี่ เดินได้เร็วและวิ่งได้ไกลนัก”
“…”
สามคนเดินๆ หยุดๆ อยู่รอบหนึ่ง เห็นวัวที่เหมาะสมก็ถามราคาขาย วนถามหนึ่งรอบแล้ว ราคาของวัวโตเต็มวัยที่แข็งแรงล้วนอยู่ระหว่างแปดเหลียงถึงสิบเหลียง ลูกวัวที่ร่างกายกำยำล่ำสันหน่อยก็ห้าหกเหลียง
“ท่านแม่ เมื่อครู่วัวหัวเทาตัวนั้นแข็งแรงบึกบึนมากนัก อายุก็ดี ล้วนแพงกว่าวัวตัวอื่นนิดหน่อย ไม่นึกเลยว่าจะเป็เงินสิบเหลียง” หูฉางหลินหันกลับไปด้วยใบหน้าเสียดายและมองแวบหนึ่ง ในสายตาของเขาแม้วัวจะดี แต่เงินสิบเหลียงล้วนสามารถซื้อลูกวัวได้สองตัว ไม่คุ้มค่าจริงๆ
“อื้ม แพงจริงๆ วัวตัวก่อนแม้จะผอมเล็กไปหน่อย แต่เพียงเจ็ดเหลียง ไม่เช่นนั้นพวกเราค่อยไปดูตัวนั้น?” หวังซื่อมองเจินจูที่อยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยถาม
“ท่านย่า ตอนนี้ห่างจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิมากนัก เราสามารถซื้อลูกวัวที่ค่อนข้างโตหน่อยมาเลี้ยงก่อนได้ พวกเรานอกจากจะใช้ลากกระต่ายนิดหน่อยออกมาขายเป็บางครั้งบางคราวแล้ว ก็ยังไม่ได้ใช้มันชั่วขณะ เลี้ยงมันไม่กี่เดือนก็โตแล้ว” เจินจูยิ้มพลางเสนอความเห็นขึ้น ฤดูหนาวที่ยาวนาน หญ้าแห้งในป่าเขามีไม่น้อย เลี้ยงสักพักหนึ่ง ไม่นานลูกวัวก็จะเลี้ยงโตได้แล้ว
“ที่เ้าว่า คือลูกวัวที่ตัวใหญ่ข้างหน้าตัวนั้นหรือ? แต่เ้าของเรียกเงินหกเหลียง ล้วนเกือบเท่าราคาของวัวโตเลยนะ” หวังซื่อลังเลใจเล็กน้อย เพิ่มอีกหนึ่งเหลียงก็สามารถซื้อวัวโตที่ผอมหน่อยตัวนั้นได้แล้ว
หูฉางหลินไตร่ตรองเล็กน้อย แต่รู้สึกว่าความเห็นของเจินจูไม่เลวเลย “ท่านแม่ กำลังวังชาวัวผอมตัวนั้นไม่ค่อยดี ดูแล้วไม่แข็งแรงยิ่งนัก ลูกวัวตัวนั้นแม้จะเล็ก แต่รูปร่างสูงใหญ่อายุไม่ต่างกันมาก ไม่เช่นนั้น ซื้อลูกวัวเถิด”
เจินจูไม่ได้ออกเสียงต่อ จริงๆ หากซื้อวัวตัวนั้นสำหรับนางแล้วล้วนไม่ได้แตกต่างอะไรกัน แม้จะซื้อวัวป่วย ให้มันดื่มน้ำแร่จิติญญาเหมือนกันก็มีกำลังวังชามากได้
หวังซื่อกับหูฉางหลินถกกันอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจซื้อลูกวัวที่แข็งแรงบึกบึน แน่นอนว่า ยังต้องต่อรองราคากับเ้าของวัว สุดท้าย พวกเขาใช้เงินห้าเหลียงครึ่งซื้อลูกวัวตัวนี้มา หลังจากสอบถามข้อควรระวังของการเลี้ยงวัวให้แน่ชัดอย่างละเอียดแล้ว สามคนจึงจูงวัวจากไป
หูฉางหลินจูงเชือกวัวด้วยความระมัดระวัง รอยยิ้มบนใบหน้าไม่เคยหยุดยิ้มเลย มักจะตบหลังวัวเบาๆ แล้วลูบหัวมันอีกครั้งอยู่ตลอด ความรู้สึกที่แสดงออกมามีความสุขเกินบรรยาย สำหรับคนครอบครัวเกษตรกรที่ไม่ทะเยอทะยานแล้ว วัวเป็ทรัพย์สมบัติที่มีมูลค่าราคาไม่ถูกเลย ไม่เพียงสามารถทำไร่ไถนา ยังสามารถบรรทุกคนและลำเลียงสินค้าได้ เป็ผู้ช่วยที่ดีอย่างหาได้ยากยิ่งจริงๆ
จูงวัวเดินมาถึงร้านช่างไม้ที่อยู่ข้างตลาดวัวม้า ที่นี่เชี่ยวชาญการประกอบโครงเกวียนให้กับวัวและม้า ราคาประกอบโครงเกวียนจ่ายเงินสดไปเกือบหนึ่งเหลียง หวังซื่อจ่ายเงินไปด้วยความปวดใจ เฮ้อ... เหตุใดเงินจึงไร้ประโยชน์เช่นนี้ อยู่ในอกยังไม่ทันคลุมให้ร้อนก็ใช้ออกไปพรึบพรับ เวลาเพิ่งจะผ่านมาเท่าไรเอง จ่ายเงินออกไปเจ็ดแปดเหลียงแล้ว