คนของสำนักบริบาลเดรัจฉานยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาซ้ำเติมราชันอัจฉริยะของอีกฝ่ายต่อหน้าสำนักกระบี่ิญญา ผู้ที่สามารถทำได้มีเพียงจ้านอู๋มิ่งที่เป็ลูกวัวแรกเกิดเท่านั้น คนอื่นๆ หากกล้ากล่าววาจาเช่นนี้ กลัวแต่ว่าจะถูกสับเละเป็เนื้อบด ฐานะของจ้านอู๋มิ่งนั้นแตกต่าง ยืนหยัดเพียงคนเดียว ให้คนของสำนักกระบี่ิญญาท้าสู้ กล่าววาจาเช่นนี้ออกมา สำนักกระบี่ิญญาเองก็อับจนปัญญา นอกจากพวกเ้าสามารถหาคนออกมาต่อสู้กับจ้านอู๋มิ่งจนพ่ายแพ้
ในสำนักกระบี่ิญญา นอกจากอาหนานที่ระดับต่ำกว่าราชันาแล้ว ยังมีอีกสองคนที่กลับมาไม่ทันภายในวันนี้ มิฉะนั้นเจิงฉู่ไฉปรารถนายิ่งนักที่จะให้อัจฉริยะทั้งสามที่ระดับต่ำกว่าราชันาและปรมาจารย์นักยุทธ์ของสำนักหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันต่อสู้กับจ้านอู๋มิ่ง วนเวียนต่อสู้ให้เ้าคนสารเลว ไร้ยางอายและเย่อหยิ่งผู้นี้ดับดิ้น แต่เจี้ยนหลิงจื่อและเฉวียนจูผิงไม่อยู่ หากคนอื่นๆ ขึ้นเวทีไป เป็ไปได้มากว่าเพียงไม่กี่กระบวนท่าก็ถูกจ้านอู๋มิ่งกำจัดแล้ว เป็การสูญเสียเปล่าๆ ไร้ประโยชน์ใด ยิ่งเป็การทำให้บรรดาศิษย์ออกไปรนหาที่ตาย
จักรพรรดิาของสำนักนิกายใหญ่ต่างๆ แอบจดจำไว้ หลังจากที่กลับไปจะต้องเตือนคนในสำนัก ห้ามไปตอแยจ้านอู๋มิ่งผู้นี้อย่างเด็ดขาด คนผู้นี้คือคนบ้าคลั่งเสียสติผู้หนึ่ง ไม่ทราบว่าอันใดเรียกว่าความกลัวและก็ไม่รู้จักการนอบน้อมถ่อมตน ยั่วโทสะผู้อื่นจะต้องยั่วยุจนตายจึงยอมยุติ แค่เห็นเจิงฉู่ไฉ จักรพรรดิาบันดาลโทสะจนแทบกระอักเืก็ทราบแล้ว หากมีคนเช่นจ้านอู๋มิ่งนี้เพิ่มมาอีกคน อย่าว่าแต่จักรพรรดิาเลย คาดว่าแม้แต่มหาจักรพรรดิาก็ต้องถูกยั่วโทสะโมโหแทบตาย
จ้านอู๋มิ่งเมียงมองไปยังสำนักกระบี่ิญญา กระแอมไอแล้วพูดขึ้นว่า “ต้องขออภัยด้วย ข้าเห็นว่าอาหนานเป็บุคคลเลิศล้ำผู้หนึ่ง จึงอดไม่ได้ขึ้นมา ผู้าุโเจิงโปรดอย่าได้ถือสา อย่าได้ถือสา ขอให้ถือเสียว่าคำพูดของข้าเป็คำพูดไร้สาระของเด็กๆ ก็แล้วกัน”
“น่าชังนัก!” คนด้านล่างเวทีอดมิได้ ด่าออกมาเบาๆ กล่าวว่าเป็คำพูดไร้สาระของเด็ก หากไม่พูดเช่นนี้เสียยังดีกว่า ผู้อื่นยังสามารถแกล้งทำเป็ไม่ได้ยิน พอพูดเช่นนี้ขึ้นมา ผู้อื่นยิ่งเสียหน้าจนอดกลั้นไม่ไหว ไม่ตอบโต้ก็ไม่ได้แล้ว
“เ้าหุบปาก!” สีหน้าเจิงฉู่ไฉเป็สีเขียวคล้ำไปแล้ว ไฉนเขาถึงโชคร้ายไปเกี่ยวข้องกับตัวประหลาดเช่นนี้ นอกจากคารมคมคาย ฝีปากร้ายแล้ว พลังการต่อสู้ก็ยังแข็งแกร่งมากอีกด้วย คนที่อยู่ในมือตนก็ไม่มีผู้ใดที่สู้ได้ เวลาหนึ่งวันเพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน เวลานี้กลับมิมีผู้ใดสามารถขึ้นไปต่อกรได้แล้ว เื่นี้ถ้าแพร่ออกไป สำนักกระบี่ิญญาจะอับอายเพียงไร ขายหน้าขนาดไหน
“อู๋มิ่ง เ้ายังเป็เด็กขวัญกล้าผู้หนึ่ง การเป็คนนั้นไม่สามารถปากไวและพูดแต่ความจริงเกินไป ต้องรู้จักสงวนท่าทีไว้บ้าง รู้จักนอบน้อมถ่อมตน…” ชายชราชุดเขียวข้างๆ เลวี่ยเหวินซิวยิ้มพลางพูดกับจ้านอู๋มิ่งบนเวทีไปพลาง
จ้านอู๋มิ่งตกตะลึงเล็กน้อย พอมองดู เลวี่ยเหวินซิวกำลังขยิบตาให้เขาอยู่ ดูแล้วน่าจะอยู่ในพรรคพวกเดียวกัน แต่คนผู้นี้ก็มิใช่ตะเกียงที่ขาดน้ำมัน คำพูดเมื่อครู่ก็เออออไปกับตน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เป็บุคลิกท่าทางยั่วโทสะ คนตายมิชดใช้ชีวิตชนิดหนึ่ง
“อู๋มิ่ง นี่คือจินตัวตัว อาจารย์ลุงสองของเ้า เสร็จเื่แล้วค่อยคารวะอาจารย์ลุงสองอีกครั้งก็ใช้ได้แล้ว” เลวี่ยเหวินซิวชี้ไปที่ชายชราชุดเขียวกล่าวแนะนำขึ้น
“อู๋มิ่ง ข้าคืออาจารย์อาเจ็ดของเ้า…” คนอ้วนเตี้ยผู้หนึ่งะโขึ้นโบกมือ ะโใส่จ้านอู๋มิ่งคำหนึ่ง
จ้านอู๋มิ่งรู้สึกมึนงงแล้ว ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่นะ มิใช่ยังไม่ได้คารวะอาจารย์หรอกหรือ ไฉนแย่งกันเป็อาจารย์ลุง อาจารย์อากันแล้วละ สำนักนี้ช่างน่าขันนัก แต่เมื่อผู้อื่นเขากระตือรือร้นมากเช่นนี้ ย่อมมิอาจเพิกเฉยให้เสียน้ำใจ ได้แต่ยิ้มตอบคนอ้วนเตี้ยกับชายชราชุดเขียวครั้งหนึ่ง รอยยิ้มที่เลวี่ยเหวินซิวเห็นแล้วต้องรู้สึกปวดฟันขึ้นมา รอยยิ้มเช่นนี้ ต้องเ็ปขนาดไหนกันถึงยิ้มออกมาได้
สายตาสำนักนิกายอื่นๆ ล้วนแสดงท่าทีดูแคลนคนกลุ่มนี้ของสำนักบริบาลเดรัจฉาน ผู้อื่นเขายังมิทันเข้าสำนัก ยังมิทราบผู้ใดเป็อาจารย์ ไฉนเริ่มแนะนำอาจารย์ลุง อาจารย์อากันแล้ว นี่จะข้ามขั้นตอนมากเกินไปแล้ว นอกจากนี้พอเข้าสำนักก็เป็ศิษย์ของจักรพรรดิาเลยหรือ? ทว่าแต่ละสำนักนิกายคิดไปคิดมา ก็ถูกต้องอยู่ไม่น้อย ผู้อื่นเขาแปลกพิสดารเพียงนี้ ราชันาคนใดเล่าที่จะมีคุณสมบัติเพียงพอเป็อาจารย์ของเขา หากสำนักของตนมีลูกศิษย์แปลกพิสดารเช่นนี้บ้าง เกรงว่าจะมิใช่แย่งกันเป็อาจารย์ลุง อาจารย์อากันแล้ว แต่แย่งกันเป็อาจารย์หลักกันเลยทีเดียว
สีหน้ายอดฝีมือของสำนักกระบี่ิญญามีหลากสีสันจริงๆ สักครู่เขียว ประเดี๋ยวขาว สักครู่แดง ประเดี๋ยวดำ…หลายหลากสีสันยิ่งนัก เจิงฉู่ไฉรู้สึกว่าตนมิอาจสู้หน้าบรรดาศิษย์พี่น้องในสำนักแล้ว
“อาจารย์ ข้ายินดีออกไปท้าสู้กับคนผู้นี้ เพื่อขยี้ความเย่อหยิ่งของเขา!” น้ำเสียงสดใสชัดเจนเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูเจิงฉู่ไฉ
เจิงฉู่ไฉเหลียวกลับไปดู พบว่าเป็ศิษย์ที่โดดเด่นมากคนหนึ่งในบรรดาศิษย์ใหม่ที่รับเข้าสำนักวันนี้ จึงพูดขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “หนานกงฉู่? เ้าคิดจะขึ้นไปหรือ? ” เขารู้สึกลังเลใจ หนานกงฉู่เป็ลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจที่สุดที่เขารับเ้าสำนักในวันนี้ หนานกงฉู่ก็คือสุดยอดอัจฉริยะ ผู้ที่ติดอันดับหนึ่งของยอดฝีมือบนป้ายประกาศรายชื่อทองนั่นเอง
ภายใต้การจัดการของสำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกง หนานกงฉู่มาถึงสำนักกระบี่ิญญาเนิ่นนานแล้ว ยามที่บอกว่ายินดีเข้าสำนักกระบี่ิญญาด้วยตนเอง สำนักนิกายอื่นๆ แต่ละสำนักล้วนอิจฉาตาร้อนขึ้นมา ถึงอย่างไรก็เป็ถึงอันดับหนึ่งของยอดฝีมือบนป้ายประกาศรายชื่อทอง และเลือกเข้าสำนักกระบี่ิญญาด้วยตนเอง ทำให้สำนักกระบี่ิญญาได้หน้าไปในตอนต้นของการคัดเลือกใหญ่ และก็เป็ต้นเหตุที่ชี้นำให้เหล่าบรรดาอัจฉริยะอื่นๆ สนใจขึ้นมาด้วย นี่ก็คือสาเหตุที่ไฉนตอนที่จ้านอู๋มิ่งมาถึง ศิษย์อัจฉริยะที่เข้าแถวรอเข้าสำนักกระบี่ิญญาจึงมากกว่าสำนักิญญาเร้นลับ
ซึ่งความจริงแล้ว ตระกูลหนานกงและสำนักกระบี่ิญญามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมาก เหตุผลที่หนานกงฉู่เข้าสู่สำนักกระบี่ิญญาในเวลานี้ เพราะ้าเพิ่มอำนาจของสำนักกระบี่ิญญาที่มีต่อโลกของผู้ฝึกพลัง เสียดายหลังจากจ้านอู๋มิ่งมาแล้ว ทำให้อิทธิพลที่หนานกงฉู่สร้างขึ้นสลายไปโดยสิ้นเชิง ยังทำให้สำนักกระบี่ิญญาสูญเสียผู้คนที่มาสมัครไปมากมาย
“มิผิด ศิษย์คิดจะขึ้นไปลองสักครั้ง!” หนานกงฉู่ตอบอย่างเคารพนับถือคำหนึ่ง
“ฐานการบ่มเพาะของคนผู้นี้ยากคาดเดา อาหนานก็ยังมิใช่คู่มือของเขา เ้าแน่ใจหรือไม่?” เจิงฉู่ไฉไม่อยากสูญเสียลูกศิษย์คนโปรดที่เพิ่งรับเข้ามา จึงถามขึ้นอย่างลังเลใจ
“พลังทางกายภาพของคนผู้นี้แข็งแกร่งจริงๆ แต่เขาก็มีจุดอ่อน นั่นคือความเร็ว” หนานกงฉู่คิดๆ ดูแล้วจึงตอบ
“ความเร็วของเด็กคนนี้ไม่ได้ช้า” สีหน้าเจิงฉู่ไฉแปรเปลี่ยนเล็กน้อย พูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง ความเร็วที่จ้านอู๋มิ่งหลบการโจมตีของอาหนานเมื่อครู่นี้ ไม่เชื่องช้าอย่างเด็ดขาด เมื่อเทียบกับปรมาจารย์นักยุทธ์ที่เน้นความเร็วทั่วไปแล้วไม่แตกต่างกันมาก ทั้งความแข็งแกร่งและความเร็วของคนผู้นี้ ข้อบกพร่องล้วนมีน้อยยิ่ง
“นั่นก็แค่เปรียบเทียบกัน ประจวบกับจุดแข็งที่สุดของศิษย์ก็คือความเร็วนั่นเอง บางทีกายเนื้อของเขาอาจแข็งแกร่งและร้ายกาจมาก แต่หากใช้ความเร็วผสานร่วมกับอาวุธจิติญญาคมกริบ ศิษย์มีความมั่นใจว่าสามารถชนะเขาได้” หนานกงฉู่พูดขึ้นอย่างเชื่อมั่น
เจิงฉู่ไฉลองคิดดูแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ถึงแม้จ้านอู๋มิ่งจะชนะอาหนาน แต่ก็ถูกกระบี่ของอาหนานทำร้ายาเ็ ทั้งยังถูกมีดสั้นแทงเข้าที่หน้าอก รอยแผลถึงจะห้ามเืไว้แล้ว แต่อาการาเ็ยังคงมีอยู่ นอกจากนี้ เมื่อครู่เขาเพิ่งปะทะกันด้วยกำลังกับอาหนาน พลังต่อสู้คงต้องลดลงไม่น้อยอย่างแน่นอน บางทีหนานกงฉู่อาจชนะเขาจริงๆ ก็ได้ เขาเชื่อมั่นว่าคนที่สามารถติดอันดับหนึ่งของยอดฝีมือบนป้ายประกาศรายชื่อทอง ไหนเลยจะธรรมดาได้?
เขาทราบว่าตระกูลหนานกงสร้างชื่อเสียงจากกระบวนท่าและความเร็วเสมอมา ถ้ากลยุทธ์ของหนานกงฉู่ใช้ได้อย่างเหมาะสม ความหวังมีค่อนข้างมากจริงๆ สิ่งที่ทำให้เจิงฉู่ไฉลังเลใจคือหากเกิดเื่กับหนานกงฉู่ขึ้นมา ตนไม่สามารถให้คำตอบกับตระกูลหนานกงได้ สำนักกระบี่ิญญาก็รู้สึกละอายใจเกินกว่าจะเสนอหน้า แต่ว่าเื่ราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีทางเลือกแล้ว นอกจากตนจะบากหน้าอันแก่ชรายอมรับความพ่ายแพ้ต่อจ้านอู๋มิ่ง แต่เขาทำไม่ได้ ดังนั้นเจิงฉู่ไฉคิดไปคิดมา สุดท้ายยังคงผงกศีรษะพูดว่า “ทำสิ่งใดต้องระมัดระวัง ถ้าเห็นว่าทำไม่ได้ ก็ให้ถอยกลับออกมา เขาไม่สมควรจะขัดขวางเ้าได้”
“ขอท่านอาจารย์โปรดวางใจ ศิษย์จะต้องนำชัยชนะกลับมาอย่างแน่นอน!” หนานกงฉู่ยิ้มขึ้นอย่างทระนงตนคราหนึ่ง ใจของเขามีสำนึกการฆ่าฟัน มิใช่เพราะจ้านอู๋มิ่งทำให้สำนักกระบี่ิญญาขายหน้า แต่เป็เพราะจ้านอู๋มิ่งแย่งชิงชื่อเสียงและความมีหน้ามีตาของตนไปจนหมดสิ้น งานเลี้ยงครั้งนี้เขาควรเป็ตัวแสดงหลัก เพราะตนเป็ราชันอัจฉริยะที่ติดอันดับหนึ่งของยอดฝีมือบนป้ายประกาศรายชื่อทอง ส่วนจ้านอู๋มิ่งนั้นไม่กี่วันก่อนเป็อันใดกัน ถึงแม้เขาจะทำร้ายถูเหยียนฉีจนพิการในเมืองหนานเจา และยังเอาชนะเถี่ยมู่เหอซึ่งอยู่ในอันดับที่หกสิบเจ็ดของยอดฝีมือบนป้ายประกาศรายชื่อทอง แต่นั่นไม่มีผลกระทบต่อเขาที่ติดอันดับหนึ่งของยอดฝีมือบนป้ายประกาศรายชื่อทอง เพราะจ้านอู๋มิ่งไม่มีคุณสมบัติพอจะท้าสู้เขาได้
แต่ว่าวันนี้จ้านอู๋มิ่งกลายเป็ตัวแสดงเอกไปแล้ว ไม่เพียงแต่ทำให้ผลงานที่เขาสร้างขึ้นั้แ่ยามเช้ากลายเป็อากาศธาตุ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือทำให้การเข้าเป็ศิษย์ของสำนักกระบี่ิญญาของตนกลายเป็เื่ตลก น่าขบขันเื่หนึ่ง ความทระนงตนและความภาคภูมิใจของหนานกงฉู่แรกเริ่มเกิดจากสายเืในตระกูล หลังจากนั้นตามด้วยฝีมือสูงส่งไร้เทียมทาน ในระดับขอบเขตเดียวกันไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน
ั้แ่แรกหนานกงฉู่ไม่คิดว่าในบรรดาผู้คนระดับขอบเขตเดียวกันจะมีคนที่ฝีมือเหนือกว่าตน ดังนั้นจึงมีความเห็นว่าจ้านอู๋มิ่งสมควรตาย ส่วนจะมีความแค้นกับจ้านอู๋มิ่งหรือไม่นั่น ไม่สำคัญแม้แต่น้อย ต่อให้เป็คนในตระกูล ตนก็ยังไม่อนุญาตให้ผู้ใดเหนือกว่า ดังนั้นเขาจึงเย่อหยิ่งและเ็า มิแยแสสนใจผู้ใด การเข่นฆ่าสังหารของเขามิเคยพิจารณาถึงสาเหตุและเหตุผลอย่างจริงจังมาก่อน
หนานกงฉู่ก้าวขึ้นเวทีประลองดึงดูดความสนใจต่อสายตาของทุกคน ฝูงชนล้วนรู้จักหนานกงฉู่ เช้าตรู่วันนี้เขาก็สร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นน่าประทับใจแล้ว ได้รับการคัดเลือกโดยบุคคลระดับสูงของสำนักกระบี่ิญญา กลายเป็ลูกศิษย์สายตรงของเจิงฉู่ไฉ โดยเฉพาะเื่ที่เขาติดอันดับหนึ่งบนป้ายประกาศรายชื่อทองของการคัดเลือกใหญ่ครั้งนี้
เล่าขานกันว่าป้ายประกาศรายชื่อทองเป็ผลงานของตระกูลโม่ ตระกูลลึกลับที่สุดในใต้หล้า ตำนานเล่าว่าตระกูลโม่นั้น เป็เพราะหยั่งรู้ความลับแห่งฟ้าจึงต้องทุกข์ทรมานด้วยฟ้าอิจฉา ด้วยเหตุนี้ ทายาทสืบสกุลน้อยยิ่งนัก มิค่อยปรากฏตัวในยุทธภพ แต่คำพูดกลับเด็ดขาด สามารถกำหนดดวงชะตา ความสามารถหยั่งรู้สุดลึกล้ำ สูงส่งใต้หล้าไร้ผู้ทัดเทียม มีเพียงศักดิ์ฐานะเช่นนี้ของตระกูลโม่เท่านั้น จึงสามารถเข้าใจรายละเอียดอันแท้จริงของอัจฉริยะร้อยอันดับแรกบนป้ายประกาศรายชื่อทอง เขียนการจัดอันดับดังกล่าวออกมาชุดหนึ่ง
การแสดงออกของเลวี่ยเหวินซิวตื่นเต้นยิ่งนัก เขาคิดไม่ถึงว่าคนที่ออกศึกกลับเป็หนานกงฉู่ที่เพิ่งเข้าสำนักกระบี่ิญญาเมื่อเช้านี้ ถึงแม้ว่าเขาจะทราบความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหนานกงและสำนักกระบี่ิญญา และเข้าใจถึงการร่วมมือของทั้งสองฝ่าย เพียงแต่พวกคนเ่าั้ที่มาร่วมการคัดเลือกใหญ่ล้วนไม่ทราบ ยังคิดว่าสำนักกระบี่ิญญามีแรงจูงใจมากมายเพียงไร
จวบจนกระทั่งการปรากฏตัวของจ้านอู๋มิ่ง ได้สะกดข่มอิทธิพลของหนานกงฉู่ลง ยามนี้ยิ่งทำให้สำนักกระบี่ิญญาตกที่นั่งลำบากทั้งรุกและถอย แต่คิดไม่ถึงว่าหนานกงฉู่ถึงกับออกศึกแล้ว
“คนผู้นี้คือหนานกงฉู่แห่งตระกูลหนานกง ตระกูลหนานกงสร้างชื่อจากความถนัดเื่ความเร็วและกระบวนท่า เล่าขานกันว่ามีชีพจรสายเืบรรพบุรุษเช่นกัน และพลังแห่งชีพจรสายเืก็ทรงพลังยิ่งนัก เพียงแต่มิเคยเห็นคนผู้นี้ใช้พลังชีพจรสายเืแปลงร่างมาก่อน จึงไม่มีผู้ใดทราบว่าชีพจรสายเืของเขาคือสิ่งใด” บริเวณใบหูจ้านอู๋มิ่งได้ยินคำแนะนำของเลวี่ยเหวินซิว นึกสะดุดใจขึ้นมา ทราบว่าเลวี่ยเหวินซิวส่งเสียงทางลมปราณให้ตน คิดไม่ถึงว่าคนตรงหน้าผู้นี้กลับเป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่งบนป้ายประกาศรายชื่อทอง จ้านอู๋มิ่งอดที่จะเพิ่มความระมัดระวังตัวขึ้นในใจมิได้
กล่าวขึ้นมาแล้วตนก็ยังมีสัมพันธ์กับตระกูลหนานกง ท่านตาที่แท้จริงของตนก็คือคนของตระกูลหนานกง ตนก็ถือได้ว่าเป็หลานนอกของตระกูลหนานกง แต่กลับมิอาจยอมรับบรรพบุรุษ เนื่องจากตระกูลหนานกงก็เป็หนึ่งในต้นเหตุในการทำลายล้างตระกูลฉิน นี่คือเหตุผลที่ท่านยายยอมเสียชีวิตอย่างคับแค้นใจในตระกูลเจิ้ง แต่ไม่ยินยอมขอความช่วยเหลือจากท่านตาหลังจากตระกูลฉินถูกทำลายจนพินาศ และไม่ยอมให้ท่านแม่ได้รู้จักและยอมรับบรรพบุรุษ หวนกลับสู่มาตุภูมิ พูดขึ้นมาไม่ว่าชาติภพก่อนหรือว่าชาตินี้ ตระกูลหนานกงล้วนติดค้างตน ดังนั้นเห็นหนานกงฉู่ขึ้นมาบนเวที จ้านอู๋มิ่งจึงยิ้มแล้ว
“เ้ามีสองทางเลือก หนึ่งโขกศีรษะยอมรับผิดกับสำนักกระบี่ิญญา เข้าร่วมกับสำนักเรา สำนักกระบี่ิญญาจะยังคงปฏิบัติต่อเ้าเหมือนเช่นศิษย์ธรรมดา สองให้สำนักบริบาลเดรัจฉานช่วยเก็บศพเ้า!” หลังจากหนานกงฉู่ขึ้นเวที สายตาพิจารณามองดูจ้านอู๋มิ่งอย่างดูแคลน ยื่นสองนิ้วออกและพูดขึ้นอย่างเฉยชา
ทุกคนในกลุ่มผู้ชมด้านล่างล้วนตกตะลึง พวกเขาได้เห็นความหยิ่งผยองของจ้านอู๋มิ่งแล้ว เวลานี้จึงได้พบว่าูเาที่ว่าสูงแล้วยังมีบรรพตที่สูงกว่าอีกด้วย หนานกงฉู่มิเสียทีที่เป็อัจฉริยะยอดฝีมืออันดับหนึ่งบนป้ายประกาศรายชื่อทองของการคัดเลือกใหญ่ น้ำเสียงและคำพูดนี้สมกับฐานะที่เป็อัจฉริยะอันดับหนึ่งจริงๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้