หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ป้าจางได้เดินออกมาจากหอปี้ลั่ว พร้อมกับหญิงชราอย่างป้าหลี่ที่ในมือถือโซ่ตรวนสำหรับใช้ล่ามคน
มู่อวิ๋นจิ่นดูป้าจางที่มีสภาพน่าอเนจอนาถ เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย
“คุณหนูสามเ้าคะ…” ป้าจางที่เงยหน้าขึ้นเห็นมู่อวิ๋นจิ่นก็พลันรู้สึกเหมือน์มาโปรด จึงรีบกุลีกุจอวิ่งเข้าไปหา
มู่อวิ๋นจิ่นดูสารรูปของป้าจางที่เนื้อตัวมีรอยแส้ฟาดอยู่หลายรอย ก็มิอาจระงับโทสะไว้ได้
“ซูปี้ชิง ท่านบังอาจใช้อาวุธเล่นงานป้าจางงั้นหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นหรี่ตาเผยความน่าสะพรึงกลัวออกมา
ซูปี้ชิงดึงมีดสั้นที่อยู่ในรูปแบบของปิ่นปักผมออกด้วยความลนลาน ด้วยเพราะหวั่นเกรงต่อสายตากินเืกินเนื้อของมู่อวิ๋นจิ่น
ป้าหลี่ไม่รู้ว่าระหว่างฮูหยินและคุณหนูเกิดเื่ใดกันขึ้นก่อนหน้านี้ นางจึงรวบรวมความกล้าและเปล่งเสียงขึ้น “คุณหนูสาม ป้าจางยังมีชีวิตอยู่ นี่ยังไม่พอใจอีกหรือเ้าคะ?
“ยิ่งไปกว่านั้นพวกท่านเป็แม่ลูกกัน เหตุใดคุณหนูมักตั้งตัวเป็ศัตรูกับฮูหยิน เพื่อช่วยคนอื่นด้วย…”
ป้าหลี่พูดยังไม่จบประโยค มู่อวิ๋นจิ่นก็ง้างมือออกแรงเต็มกำลัง ฟาดเข้าไปที่หน้าจนป้าหลี่เืกบปาก ตามด้วยฟันสองซี่หลุดออกจากเหงือกกระเด็นไปคนละทาง
“หากครั้งหน้ายังกล้าท้าทายข้าอีก คงไม่ใช่จบลงแค่ตบฉาดหนึ่ง!” มู่อวิ๋นจิ่นถลึงตาใส่ซูปี้ชิงและป้าหลี่อย่างไม่ยอม
นี่ทำให้ทั้งคู่แข้งขาขาอ่อนระทวยล้มพับลงบนเก้าอี้ ด้วยความรู้สึกตระหนกสุดขีด
…
มู่อวิ๋นจิ่นเข้าไปประคองป้าจางให้ลุกขึ้น แล้วพากันกลับเรือนมวลบุปผา พอเดินเข้าประตูกลับได้ยินเสียงจื่อเซียงร้องดังขึ้น “รีบไปเชิญท่านหมอมาเร็วเข้า”
จื่อเซียงเห็นสภาพป้าจางก็ถึงกับสะดุ้งโหยง รีบวิ่งไปสั่งบ่าวรับใช้ข้างนอก
มู่อวิ๋นจิ่นประคองป้าจางให้เอนตัวลงบนเตียง จากนั้นหาชุดใหม่ที่สะอาดสะอ้าน และหาผ้าชุบน้ำเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ป้าจาง
“คุณหนูทำเช่นนี้มิได้ ประเดี๋ยวบ่าวจะอายุสั้นเอานะเ้าคะ” ป้าจางลนลานที่เห็นมู่อวิ๋นจิ่นทำเหมือนเป็บ่าวมาคอยรับใช้นาง
“อย่าขยับตัว ป้าจางถูกทรมานแทนข้า เื่นี้ข้าต้องขอโทษป้าจางด้วย” มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกสลดใจที่เห็นเนื้อตัวของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยรอยแส้และถูกทรมาน
ป้าจางได้ฟังเช่นนั้นจึงทำได้เพียงถอนหายใจเสียงเบา “ซูปี้ชิงจิตใจเหี้ยมโหดอำมหิต ในตอนนั้นหากนางไม่เข้ามายุ่มย่าม ท่านแม่ของคุณหนูก็คงไม่ต้อง…”
ป้าจางเล่าเพียงครึ่งเดียวก็พลันหยุดลง
ด้านมู่อวิ๋นจิ่นมิได้ไล่ถามต่อ นางเลือกที่จะนั่งลงเงียบ ๆ รอจนกระทั่งจื่อเซียงไปตามหมอมา
ทันทีที่หมอเดินเข้าประตูมาก็รีบเข้ามาตรวจป้าจาง ด้านจื่อเซียงได้แต่เดินวนไปวนมาด้วยความร้อนใจ
“เกิดเื่อันใดขึ้นกับป้าจางกันแน่? ท่านไม่ได้เดินทางกลับเมื่อสองวันก่อนแล้วหรือ? เหตุใดถึงาเ็หนักขนาดนี้?”
มู่อวิ๋นจิ่นรีบคว้าแขนจื่อเซียง และส่งสายตาให้นางปิดปากให้สนิท
จื่อเซียงรีบหุบปากฉับ รอฟังผลการตรวจจากท่านหมอ
หลังจากนั้นมินาน ท่านหมอได้อธิบายอาการของป้าจางให้ฟัง “หญิงชราผู้นี้มีแค่าแภายนอก โชคดีที่มารักษาทันาแจึงยังไม่เน่าไม่อักเสบ สามารถทายารักษาไม่กี่วัน าแก็จะปิดสนิทได้”
มู่อวิ๋นจิ่นถอนหายใจอย่างโล่งอกระคนดีใจ
หลังจากเดินออกไปส่งท่านหมอหน้าเรือน มู่อวิ๋นจิ่นเดินกลับเข้ามาเห็นป้าจางที่หลับใหลไปแล้ว จึงพาจื่อเซียงออกไปด้านนอก
“นี่คงมิใช่ฝีมือของฮูหยินใช่ไหมเ้าคะ?” พอจื่อเซียงก้าวออกจากประตูก็รีบหันมาถามมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นมิได้ปิดบังอะไร “เป็ฝีมือของนางนั่นแหละ”
“นึกไม่ถึงว่าฮูหยินจะโเี้อำมหิตเช่นนี้ แม้แต่คนแก่ก็ไม่เว้น” จื่อเซียงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามต่อ “ฮูหยินมีเื่ที่ข่มขู่คุณหนูใช่ไหมเ้าคะ?”
มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกว่าบ่าวรับใช้ข้างกายผู้นี้นับวันก็ยิ่งฉลาดขึ้น “เ้าไม่ต้องเป็ห่วงไป ซูปี้ชิงก็ไม่ได้เปรียบอะไร ต่อจากนี้คงสงบลงได้ระยะหนึ่ง”
จื่อเซียงเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่จิตใจของนางรู้สึกไม่สงบ ด้วยคุณหนูสามของนางได้เปิดศึกกับคุณหนูสี่บุตรสาวของฮูหยินแล้ว ไม่รู้ว่าฮูหยินจะเอาสิ่งใดมาหาเื่อีก
…
หลังจากเหตุการณ์ที่ป้าจางโดนทำร้ายผ่านไปครึ่งเดือน ทุกอย่างก็สงบเงียบดั่งที่มู่อวิ๋นจิ่นคาดการณ์
มู่อวิ๋นจิ่นเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในเรือนมวลบุปผา ตลอดครึ่งเดือนมานี้ ซูปี้ชิงกับมู่หลิงจูเองก็ราวกับหายตัวไปจากโลกนี้ ไร้ซึ่งข่าวคราวของพวกนางมาถึงหูของมู่อวิ๋นจิ่น
ในที่สุดมู่อวิ๋นจิ่นก็สามารถพักผ่อนอย่างสบายใจ
าแของป้าจางก็ดีขึ้นตามลำดับ ในเวลานี้จื่อเซียงได้ประคองนางมานั่งชมบรรยากาศที่ลานด้านหน้าเรือนมวลบุปผา ป้าจางแอบชำเลืองมองมู่อวิ๋นจิ่นที่นั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้โยก
ในที่สุดป้าจางก็เอ่ยขึ้น “คุณหนู บ่าวพักผ่อนมาได้ครึ่งเดือน ร่างกายก็ค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว บ่าวควรออกเดินทางได้แล้วเ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงของป้าจาง มู่อวิ๋นจิ่นจึงค่อย ๆ ลืมตา… เื่ครั้งก่อนที่ซูปี้ชิงเล่นงานป้าจางนั้น มู่อวิ๋นจิ่นยังคงรู้สึกไม่วางใจให้ป้าจางไปไหนมาไหน
“คุณหนูสามมิต้องกังวลไปเ้าค่ะ ่นี้ฮูหยินอยู่อย่างสงบไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แล้ว คงมิเอาบ่าวมาข่มขู่คุณหนูอีก เชื่อว่าครั้งนี้บ่าวต้องเดินทางอย่างปลอดภัยเ้าค่ะ”
ป้าจางนิ่งลงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจ้องหน้ามู่อวิ๋นจิ่นด้วยจิตใจชื่นชม “คุณหนูช่างเหมือนท่านแม่ของคุณหนูเหลือเกินเ้าค่ะ”
“ป้าจางรู้จักท่านแม่ของข้าด้วยหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย
“รู้จักอยู่แล้วเ้าค่ะ เื่ในปีนั้นช่างซับซ้อนยิ่งนัก บ่าวเห็นว่าคุณหนูยังไม่เป็ผู้ใหญ่เต็มตัว หากรู้เื่นี้เร็วเกินไปอาจไม่ใช่เื่ดีเ้าค่ะ” ป้าจางถอนหายใจ
จากนั้นไม่รีรอให้มู่อวิ๋นจิ่นถามกลับ ป้าจางรีบแหงนหน้ามองท้องฟ้า “เช้าแล้ว วันนี้บ่าวขอตัวเดินทางกลับ การเดินทางอาจต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือน ลูกหลานของบ่าวคงอยากพบบ่าวเต็มทีแล้วเ้าค่ะ”
พอเห็นป้าจางยืนหยัดเช่นนี้ มู่อวิ๋นจิ่นก็มิอาจรั้งนางต่อไปได้อีก ยอมให้จื่อเซียงช่วยป้าจางเก็บข้าวของก่อนไปส่งนางออกจากจวน
กระทั่งป้าจางถือถุงผ้าก้าวออกประตูหอมวลบุปผา ก็ได้หันกลับมามองมู่อวิ๋นจิ่นอีกครั้ง “คุณหนูรีบกลับไปพักผ่อนเถอะเ้าค่ะ”
“อืม ท่านก็เดินทางกลับดี ๆ ถึงบ้านแล้วอย่าลืมเขียนจดหมายถึงข้าด้วย” มู่อวิ๋นจิ่นมองไปที่ป้าจางด้วยรู้สึกไม่ค่อยวางใจนัก
ป้าจางพยักหน้ารับงกๆ พลางส่งยิ้มให้มู่อวิ๋นจิ่น ก่อนเดินทางมุ่งหน้าไปทางเหนือ
กระทั่งป้าจางออกเดินทางไปแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นกลับหวนคิดถึงเื่ที่ป้าจางเคยเล่าให้ฟังถึงเื่ท่านแม่ในตอนนั้น…
เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นเองมิใช่เืเนื้อเชื้อไขของตระกูลมู่ แต่กลับถูกอัครเสนาบดีมู่กับซูปี้ชิงยกให้เป็บุตรสาวคนโต ที่มีแม่คนเดียวกับมู่หลิงจู… พอคิดๆ ดูแล้ว เื่ในอดีตตอนนั้นจะต้องสลับซับซ้อนอย่างแน่นอน
มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกเบื่อหน่ายจนเดินไปเดินมา ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางประตูจวน
“คุณหนูจะไปไหนเ้าคะ?” จื่อเซียงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไปเดินเล่นนอกจวน” มู่อวิ๋นจิ่นตอบเสียงเรียบ
จื่อเซียงได้ยินก็พยักหน้ารับ ก่อนเดินตามหลังมู่อวิ๋นจิ่นโดยไม่เอ่ยคำใด
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเดินผ่านมาหน้าห้องโถงรับรอง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักอย่างเป็สุข “ท่านพี่ คราวนี้จูเอ๋อร์ได้รับเชิญจากเจิ้งไทเฮาให้เข้าวัง เพื่อแสดงความสามารถในการร่ายกาพย์กลอนต่อหน้าพระพักตร์ ฝ่าาได้ชื่นชมจูเอ๋อร์ถึงเื่นี้เสมอ”
“เื่นี้ข้าเองก็ได้ยินฝ่าาตรัสชื่นชม อีกทั้งฝ่าายังชมข้าที่มีบุตรสาวเฉลียวฉลาดเช่นนี้ นับว่าเป็บุญวาสนาของตระกูลมู่จริงๆ”
“ท่านพ่อท่านแม่อย่าได้พูดอวยจูเอ๋อร์มากนักเลย ประเดี๋ยวจูเอ๋อร์เหลิงตัวไปจะดูไม่ดี”
“ฮ่าๆๆ เ้าลูกคนนี้ บัดนี้ฝ่าาตรัสชมต่อหน้าคนอื่น ๆ นับว่าไม่เสียแรงที่เป็สตรีมีความสามารถอันดับหนึ่งของปีนี้” อัครเสนาบดีมู่ชมเปาะ
พอได้ยินเสียงคนในครอบครัวนี้หัวเราะกันอย่างมีความสุข มู่อวิ๋นจิ่นก็เดินยิ้มก้าวเข้าไปในห้องโถง ทำเอาทุกคนในที่นั้นกลับหุบยิ้มลง
ซูปี้ชิงหรี่ตามองมู่อวิ๋นจิ่นพร้อมกับส่งรอยยิ้ม “จริงสิอวิ๋นจิ่น แม่ไม่ได้เห็นหน้าเ้ามาหลายวัน เหตุใดดูซูบผอมลงมิน้อยเลย”
“ใช่แล้ว จูเอ๋อร์ไม่ได้พบหน้าท่านพี่มาประมาณครึ่งเดือน ท่านคงพักผ่อนไม่เต็มที่ สีหน้าจึงดูซูบซีดลงถึงเพียงนี้?” มู่หลิงจูถือโอกาสยิ้มเย้ยอย่างสาแก่ใจ
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเห็นแม่ลูกคู่นี้ยิ้มให้อย่างเปิดเผย ก็ได้แต่ยิ้มรับ “ขอบคุณท่านแม่ที่เป็ห่วงเป็ใย อวิ๋นจิ่นสบายดีทุกอย่าง”
อัครเสนาบดีมู่เห็นความปรองดองสงบสุขในจวน เห็นท่าทางของมู่อวิ๋นจิ่นมิได้เกรี้ยวกราดดุจเดิม ในใจของเขาก็รู้สึกยินดีมิน้อย
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว อีกไม่ถึงเดือนจะถึงวันอภิเษกสมรสระหว่างเ้ากับองค์ชายหก ่เวลาสำคัญแบบนี้อย่าให้เกิดเื่ไม่คาดฝันก็แล้วกัน” ซูปี้ชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เหมือนเคลือบด้วยยาพิษ
มู่อวิ๋นจิ่นตอบรับอย่างนิ่งเฉยแล้วขอตัวกลับ ยังไม่ทันก้าวข้ามประตูนางได้หันกลับมามองซูปี้ชิงก่อนจะเผยสายตาเ้าเล่ห์ส่งไป
“ลูกอยากออกไปเดินเล่นนอกจวน แต่ดูเหมือนเรือนมวลบุปผาจะยังไม่ได้รับเงิน ลูกจึงไม่มีเงินสำหรับจับจ่ายซื้อของ” มู่อวิ๋นจิ่นแบมือยื่นขอเงินจากซูปี้ชิง
ซูปี้ชิงยังคงยิ้มค้างอยู่เช่นนั้น แล้วหันไปส่งสายตาให้ป้าหลี่
ป้าหลี่เข้าใจความนัยก็รีบควักถุงเงินจากแขนเสื้อ แล้วเดินก้มหน้าก้มตายื่นให้มู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นหยิบถุงเงินมาพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบิกบาน “ขอบคุณเ้าค่ะ ท่านแม่”
สิ้นเสียงลง มู่อวิ๋นจิ่นก็พาจื่อเซียงเดินออกจากประตูจวนไปข้างนอก
มู่อวิ๋นจิ่นหยุดยืนเปิดถุงเงินออกเทใส่มือ
จื่อเซียงที่ยืนด้านข้างกดเสียงต่ำ “คุณหนู เมื่อครู่ฮูหยินพูดถึงเื่งานสมรสของท่านขึ้นมา ตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนแล้ว ทว่าองค์ชายหกยังไม่ส่งของหมั้นหมายมาเลยเ้าค่ะ”
“ของหมั้นหมายงั้นหรือ?”
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วขึ้น ลืมเื่นี้ไปเสียสนิท
อีกไม่ถึงหนึ่งเดือนจะถึงวันงานแล้ว ของหมั้นหมายจากองค์ชายหกยังไม่ส่งมาที่จวนอีก
หรือว่าเขาคิดกลับคำแล้ว?