“พวกเราช่วยเขาได้ ไม่เป็ไรไม่เป็ไร” ปาหนีพยายามที่จะโบกมือไปมาเพื่อบอกว่าไม่เป็ไรหอกของพวกชนเผ่าพื้นเมืองนั้นต่างก็อาบเอาไว้ด้วยยาพิษ และมันก็ร้ายแรงมากพอที่จะที่จะล้มแอนทิโลปหรือวัวป่าปาหนีจึงกังวลว่าหากเกิดการปะทะกันขึ้นพวกเขาทั้งสี่คนก็อาจจะต้องจบลงที่นี่แน่ๆ
ชาวพื้นเมืองคนหนึ่งมองมายังพวกเขาทั้งสี่ด้วยความระแวงในระหว่างนั้นคนอื่นๆ ก็พากันยกตัวของหัวหน้าเผ่าออกไป อีกทั้งยังไล่พวกเขาทั้งสี่คนออกมาจากพื้นที่ของพวกเขา
แม้ว่าสามในสี่คนจะเป็นักปราชญ์แต่ว่าหลินลั่วหรานก็ไม่สามารถที่จะลงมือทำอะไรกับคนที่ดูน่าสงสารพวกนี้ได้ ไม่ใช่เพียงแค่เธอเท่านั้นแม้แต่เหวินกวนจิ่งที่มีชื่อเรียกว่า ‘ST’ แม้ว่าจะถูกเหล่านักฝึกศาสตร์จากต่างประเทศพากันเรียกว่าเป็ยอดนักฆ่าแต่เขาก็ไม่ได้มีจิตใจที่โหดร้ายแบบนั้น
เมื่อไม่มีทางจะทำอะไรได้หัวหน้าเผ่าก็เป็ลมล้มไปแล้ว คนพวกนี้ก็ไม่ให้พวกเขาเข้าไปช่วยรักษาด้วย ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้ก็คงมีเพียงแต่รอให้หัวหน้าเผ่าฟื้นขึ้นมา แล้วจึงค่อยถามเื่ของจิตรกรรมฝาผนังนั่นอีกรอบ
ชาวพื้นเมืองนั้นจุดไฟให้สว่างไสวอยู่ตลอดทั้งคืนเพื่อป้องกันภัยจากสัตว์ป่านั้นเป็เพียงสาเหตุหนึ่ง แต่อีกอย่างก็เป็เพราะว่าอุณหภูมิของทะเลทรายแห่งนี้ในตอนกลางคืนกับตอนกลางวันนั้นแตกต่างกันมาก หากไม่จุดไฟเอาไว้ก็จะทำให้พวกเขาััได้ถึงความหนาวเย็น
ปาหนีเป็นักนำทางที่ดีคนหนึ่งเมื่อพาทั้งสี่กลับมาจนถึงข้างรถจีป เขาก็ออกไปเก็บฟืนกลับมา ก่อนจะนำมันวางกองเอาไว้ข้างรถดูเหมือนว่าคืนนี้จะผ่านไปโดยที่ไม่ได้มีปัญหาอะไร
เมื่อหลินลั่วหรานมองไปยังเขาที่กำลังจัดการกับพวกฟืนเ่าั้อยู่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าพวกเธอนั้นอะไรๆ ก็ซื้อกันมาหมดแล้ว แต่กลับลืมพวกของที่ใช้จุดไฟขึ้นมาความจริงแล้วนักปราชญ์นั้นไม่จำเป็ที่ต้องพกอะไรแบบนั้น แต่ว่าในตอนนี้มีปาหนีอยู่ด้วยทำให้เธอไม่สามารถที่จะใช้เวทออกมาได้ง่ายๆ...
เป่าเจียกลับรู้สึกดีใจขึ้นมาด้วยซ้ำเพราะว่าเธอยังไม่ได้เรียนรู้วิธีการใช้เวท เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนที่อยู่ข้างกายต่างก็ไม่สามารถใช้ได้เช่นกันมันก็ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมา ฮ่าๆ!
แต่ว่าท่าทางของปาหนีกลับทำให้หลินลั่วหรานรู้สึกว่าเงินที่เหวินกวนจิ่งเสียไปนั้นช่างดูคุ้มค่าเสียงจริงในตอนที่นักปราชญ์ทั้งสามต่างก็ ‘ทำอะไรไม่ได้ ’ ปาหนีที่ทั้งดำทั้งผอมกลับหยิบท่อนไม้ที่มีรูท่อนหนึ่งขึ้นมาก่อนที่จะหากิ่งไม้เล็กๆ อุดเข้าไปในรู เมื่อเขาขยับไปมาเล็กน้อยก็จัดการแสดงโชว์ ‘ปั่นไม้ก่อไฟ’ ขึ้นมาต่อหน้าพวกเขา!
...นี่เป็เื่จริงหรือเปล่า? เป่าเจียจิกลงที่หลังมือของตัวเองเบาๆ นี่มันน่าจะเป็การใช้เทคนิคอะไรสักอย่างจะต้องมองดูให้ละเอียดอีกที
ดูเหมือนว่าปาหนีนั้นจะเป็ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้เมื่อเห็นว่าไม้ในมือเริ่มที่จะขยับเคลื่อนไหวไปตามทฤษฎีแล้ว ไม้ขยับถูอยู่นานก็เริ่มมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นในระหว่างที่เขาพยายามอดทนทำต่อไป ในที่สุดรูของกิ่งไม้ก็ปรากฏควันบางๆ ขึ้นมา ปาหนีส่งเสียงร้องแสดงความดีใจออกมาก่อนที่สุดท้ายมันจะเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงใส่ใบไม้และกิ่งไม้เข้าไปด้วยความระมัดระวังก่อนจะก้มตัวลงไปเป่าเพื่อให้เปลวไฟเล็กๆ นั้นลุกโชนขึ้นมา ในที่สุดไฟก็ติดขึ้นมาแล้ว!
การจุดไฟโดยใช้ไม้ที่แท้จริงโดยไม่อาศัยพลังจากภายนอกสำหรับปาหนีแล้ว มันก็เป็เพียงเื่ธรรมดาๆ เื่หนึ่ง หลินลั่วหรานได้แบ่งเนื้อวัวส่วนหนึ่งที่ซื้อมาเก็บเอาไว้หลังรถพวกเขานำมันออกมาเสียบไม้ย่างเพื่อทำเป็เนื้อย่างสำหรับคืนนี้
เปลวไฟค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ การเติมฟืนเข้าไปก็เป็งานที่ต้องใช้ความสามารถอย่างหนึ่ง หากไฟอ่อนเกินไปจะไม่สามารถช่วยขจัดความหนาวเย็นได้แต่ถ้าหากว่ามันแรงเกินไปก็จะทำให้ตัวฝืนนั้นเผาไหม้เร็วขึ้น เนื้อวัวที่ถูกย่างอยู่เหนือเปลวไฟค่อยๆเปลี่ยนเป็สีเหลืองทอง พร้อมกับส่งกลิ่นหอมเย้ายวนออกมา พวกหลินลั่วหรานเองก็รู้ว่าทำไมปาหนีนั้นถึงได้เข้าใจเื่พวกนี้
ปาหนีเป็ชนเผ่าพื้นเมืองคนหนึ่งแต่ว่าเผ่าที่เขาอยู่อาศัยนั้นอยู่ติดกับชานเมือง หลังจากที่ทางรัฐบาลได้เข้าควบคุมบริเวณที่พวกเขามักจะไปล่าสัตว์ให้กลายเป็พื้นที่คุ้มครองคนพื้นเมืองที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ล่าสัตว์ต่างก็ไม่รู้วิธีปลูกพืชผัก ทำให้พวกเขาต้องกระจายแยกย้ายกันไปพ่อแม่ของปาหนีนั้นเข้าไปหางานง่ายๆ ในเมือง หลังจากผ่านเวลาที่ยากลำบากเ่าั้มาพวกเขาก็กลายเป็พวกชนเผ่าพื้นเมืองที่พัฒนาแล้วอย่างยากที่จะเห็น และส่งปาหนีไปเรียนถึงแม้ว่าเขาจะเรียนจบเพียงแค่ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่ว่างานแคชเชียร์ที่ปาหนีทำอยู่ทุกวันนี้ถึงจะไม่ได้เป็ไปดั่งใจหวัง แต่ก็แตกต่างกับชนเผ่าพื้นเมืองทั่วไปมากแล้ว
แต่ว่าเื่ความสามารถอย่างการจุดไฟที่เคยเรียนรู้มาในสมัยเด็กๆตัวปาหนีเองก็ยังไม่ได้ลืมไป โชคดีที่เขาสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ดังนั้นเพราะว่ามีเขาอยู่ในครั้งนี้จึงทำให้พวกหลินลั่วหรานสบายขึ้นมามาก
เพียงแค่ใส่เกลือลงไปเนื้อวัวย่างที่พวกหลินลั่วหรานรู้สึกว่ารสชาติมันแสนจะธรรมดา แต่ปาหนีนั้นกลับกินมันลงไปอย่างเอร็ดอร่อย
เมื่อทานเนื้อย่างกันเรียบร้อยแล้วชายทั้งสองก็ยกรถจีปให้กับหลินลั่วหรานและเป่าเจีย ส่วนทั้งสองก็เตรียมจัดการกับกองไฟตลอดทั้งคืน
ภายในรถจีปนั้นเต็มไปด้วยเศษทรายแม้ว่าเป่าเจียจะไม่ใช่คุณหนูบอบบาง แต่ว่าั้แ่เด็กเธอก็ไม่เคยลำบากแบบนี้มาก่อนอีกทั้งยังมีเื่ของยุงและแมลง ที่เมื่อพวกมันได้กลิ่นเืสดต่างก็พากันจ้องมองไม่วางตาทำให้เธอปวดหัวอยู่ไม่น้อย
หลินลั่วหรานนั่งอยู่เบาะหน้าของรถจีปพร้อมกับหลับตารวบรวมสมาธิ เป่าเจียเบาะหลังทั้งหมดเพียงผู้เดียว เมื่อได้ยินเสียงตบยุงดังขึ้นมาหลินลั่วหรานก็กำลังจะปล่อยพลังเวททำความสะอาดให้เธอแต่ก็ได้ยินเป่าเจียพูดออกมาอย่างอ่อนล้า
“เสี่ยวหลานก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองลำบากมาก ไม่เคยได้พบแม้แต่หน้าของพ่อกับแม่ พอโตขึ้นมาแล้วก็ยังต้องสร้างความลำบากให้กับพวกเธอ สร้างความลำบากให้กับคุณตา...วันนี้ฉันเห็นว่าเด็กคนหนึ่งกำลังกระหายเขาก็ทำได้เพียงแค่กัดกินรากของต้นไม้ อย่างพวกเรานี้ มันถือว่าลำบากตรงไหนเหรอ?”
คำพูดของเธอทำเอาหลินลั่วหรานเงียบไปเธอยังจำตอนที่ได้รู้จักกับเป่าเจียแรกๆ ได้ เธอคือสาวทอมบอยที่มีใบหน้านิ่งเฉยเสียจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้แม้ว่าเธอจะรู้เื่ต่างๆ มากกว่าพวกเด็กผู้หญิงที่อยู่ในเมืองเล็กๆ แต่ว่าในเื่ของจิตใจล่ะ?
มีคนบอกว่าการควบคุมจิตใจของตัวเองนั้นเป็เื่ที่สำคัญที่สุดแต่ว่ามันก็คงจะเป็ภายใต้สถานการณ์ที่สามารถจะใช้ชีวิตต่อไปได้ใช่ไหมล่ะ? อย่างเช่นอย่างสถานที่ในแอฟริกาแบบนี้ เหมือนกับพวกชนเผ่าพื้นเมืองพวกนั้นพวกเขาขาดแคลนอาหาร ไม่มีเสื้อผ้าปกปิดร่างกาย แต่ทำไมตอนที่มีคนเข้าไปในพื้นที่ของพวกเขาก็ยังสามารถได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเขาออกมาได้อยู่ล่ะ?
มันเป็เพราะพวกเขาพอใจแล้วหรือเปล่า?
ยิ่งได้รับมากเท่าไรความ้าของคนเราก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น...มันก็เหมือนกับการฝึกฝนอย่างหนัก หลินลั่วหรานรู้สึกชอบสิ่งที่เป็อยู่ในตอนนี้มากกว่าเสียอีก
เธอถอนหายใจออกมาก่อนที่จะตัดสินใจไม่ไปคิดอะไรกับเื่ที่น่าจะเหมาะกับพวกนักปรัชญาต่างๆ พวกนี้แล้วไม่นานนักเธอก็เข้าสมาธิไป ในสถานที่ที่เป็ทะเลทรายไม่มีที่ไหนที่ไร้พลังธาตุไฟ เหวินกวนจิ่งน่าจะชอบสถานที่แบบนี้ใช่ไหมล่ะ?
เป่าเจียมองออกไปยังพวกยุงมากมายนอกกระจกเธอนั้นมีพื้นฐานพลังธาตุน้ำและธาตุไม้ ในสภาวะแวดล้อมแบบนี้ เธอจึงไม่สามารถฝึกศาสตร์ได้เลยและเธอก็นอนไม่หลับอีกด้วย เมื่อเห็นว่าว่าหลินลั่วหรานและเหวินกวนจิ่งต่างก็เข้าสมาธิไปแล้วเธอก็เลยค่อยๆ เปิดประตูรถออก ก่อนที่จะเตรียมลงรถออกไปเพื่อสูดอากาศเสียหน่อย
หลินลั่วหรานทิ้งจิตความคิดเอาไว้เพื่อระวังภัยหากเกิดอะไรขึ้นกับเป่าเจีย เธอก็สามารถออกไปช่วยได้ในทันที จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
เป่าเจียนั่งเหม่อมองอยู่บนเนินเขาก่อนที่เธอจะร้องส่งเสียง ‘เอ๋’ ออกมา พร้อมกับวิ่งออกไปยังขอบเนินทราย หลังจากวิ่งออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าวร่างของเธอก็หายไปยังขอบฟ้าในทะเลทรายสีเหลืองอย่างไร้ร่องรอย
เมื่ออยู่ๆกลิ่นอายของเป่าเจียหายไป หลินลั่วหรานจึงรีบลืมตาขึ้นมาในทันที เธอพลิกตัวลงจากรถก่อนที่จะวิ่งไปยังเนินทราย ลมยามกลางคืนพัดผ่านเข้ามา เศษทรายสีเหลืองกระจายไปทั่วทั้งท้องฟ้าเสียงนกฮูกดังขึ้นเสียดหู สายตาของเธอไม่อาจจะมองเห็นร่างของเป่าเจียในบริเวณเนินทรายที่ห่างไกลออกไปได้เลย
เร็วมาก!
เธอได้ยินเสียงเป่าเจียร้อง‘เอ๋’ ขึ้นมา ก่อนที่จะวิ่งออกไป ด้วยความเร็วของเธอในตอนนี้ ทำไมเพียงแค่ไม่กี่อึดใจคนตัวโตอย่างเป่าเจียกลับหายไปจากสายตาของเธอได้!
ในขณะที่หลินรั่วหลานกำลังเดินเข้าไปในเนินทรายเ่าั้แขนของเธอก็ถูกใครคนหนึ่งจับเอาไว้อย่างแ่า
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เหวินกวนจิ่งประหลาดใจมากเขาเห็นว่าหลินลั่วหรานกำลังจะวิ่งเข้าไปยังเนินทรายโดยไม่สนใจอะไร จึงรั้งตัวของเธอเอาไว้
“รุ่นพี่หลินเนินทรายนี้แปลกประหลาดมาก...หากพวกเรารีบร้อนเข้าไปคงจะช่วยเธอไม่ได้แน่!”
หลินลั่วหรานเป็ห่วงเสียจนไม่ทันได้คิดอะไรเมื่อถูกเหวินกวนจิ่งสะกิดให้ได้สติขึ้นมา เธอก็เข้าใจว่า ในยามที่เธอเอาแต่รีบร้อนแบบนี้ก็มีแต่จะทำให้อะไรมันเลวร้ายขึ้นเท่านั้น ทั้งสองจึงนั่งปรึกษากันอยู่ที่กองไฟ จนเสียงพูดคุยของพวกเขาทำให้ปาหนีตื่นขึ้น
เมื่อได้ยินว่านายจ้างคนหนึ่งหายสาบสูญไปเขาก็รู้สึกกังวลขึ้นมา เื่ที่จะทำลายชื่อเสียงของเขาแบบนี้ ทำให้เขาต้องใส่ใจเป็อย่างมาก
“ถูกทรายพัดพาไป...” เหมือนว่าปาหนีจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ใบหน้าของเขาดูผิดแปลกไปจากปกติในตอนที่หลินลั่วหรานเอ่ยถามออกมา เขาก็ได้แต่บอกว่าในชนเผ่าพื้นเมืองนั้น เคยมีตำนานที่เล่าขานต่อกันมามันเป็เื่ที่เกี่ยวกับพวกปีศาจลมทะเลทราย แต่ว่าเขาออกมาจากชนเผ่าพื้นเมืองั้แ่ยังเด็กทำให้ไม่สามารถจำเื่แบบนี้ได้ดีนัก
“หัวหน้าเผ่า...”
“ไปหาหัวหน้าเผ่า!”
หลินลั่วหรานและเหวินกวนจิ่งพูดออกมาพร้อมกันเพราะทั้งสองนั้นนึกไปถึงท่าทีของหัวหน้าเผ่าตอนที่เห็นรูปภาพใบนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะเกรงกลัวอะไรสักอย่างถึงได้เป็ลมสลบไปแบบนั้น
ทั้งสองอย่างนี้จะต้องมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอนการหายสาบสูญของเป่าเจียทำให้หลินลั่วหรานกังวลใจมาก เธอไม่สามารถที่จะนึกถึงเื่ความรู้สึกความสัมพันธ์ใดๆได้อีก เธอค่อยๆ ลอบเข้าไปยังสถานที่ของชนเผ่าพื้นเมือง พร้อมกับจับตัวหัวหน้าเผ่าที่กำลังนอนสลบอยู่ออกมา
ความจริงเขาแค่ใเท่านั้นเดิมทีไม่้าให้หลินลั่วหรานต้องปล่อยพลังอะไรออกมารักษาอยู่แล้ว เมื่อปาหนีใช้น้ำเย็นปลุกหัวหน้าเผ่าก็ตื่นขึ้นพร้อมกับสำลักออกมา
เขาอาศัยแสงไฟในการมองคนที่อยู่ข้างหน้าเมื่อเห็นว่าคนข้างหน้าคือพวกหลินลั่วหราน เขาก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่หายจากอาการใเขาชี้ไปยังกระเป๋าสะพายของเหวินกวนจิ่ง ก่อนที่จะพยายามพูดบางอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสั่นเทารูปภาพนั้นถูกนำออกมาจากกระเป๋าสะพายของเหวินกวนจิ่ง
จากการแปลภาษาของปาหนีทำให้พวกเขาได้รู้ว่าสิ่งที่หัวหน้าเผ่าพยายามพูดอยู่ก็คือ คำสาปปีศาจ!
เป็ไปไม่ได้...เห็นได้ชัดว่านั่นเป็รูปจิตรกรรมฝาผนังที่เห็นได้ในราชวังใต้น้ำของสถานที่ลึกลับแสงประกายทั้ง 7 สีส่งออกมายังตัวของนักปราชญ์มันคือรูปจิตรกรรมฝาผนังที่กักเก็บความลับการหายตัวไปของนักปราชญ์ระดับแยกจิต แล้วทำไมถึงจะเป็‘คำสาปปีศาจ’ ไปได้?
เมื่อเห็นว่าหัวหน้าเผ่าพูดอะไรออกมาไม่รู้เื่เขาใเสียจนหน้าซีด หลินลั่วหรานเองก็ไม่อยากจะบีบบังคับเขา เธอขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะหันไปพูดกับเหวินกวนจิ่งว่า“ฉันสงสัยว่าการหายตัวไปของเป่าเจียภาพจิตรกรรมฝาผนัง และก็คำสาปปีศาจอะไรนี่อาจจะไม่ใช่เื่ที่เกี่ยวข้องกันก็ได้...รูปภาพนี้นายถ่ายมาจากที่ไหนพวกเราไปหาด้วยตัวเองก็ได้”
เหวินกวนจิ่งรู้สึกอึดอัดขึ้นมา“นี่เป็รูปภาพที่คนมีประสบการณ์ด้านนี้ถ่ายออกมา กลางทะเลทรายนั้นไม่สามารถแยกแยะทิศทางได้ การที่เขาสามารถมีชีวิตรอดมาได้ก็ใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตของเขาแล้ว อีกทั้งไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถหาสถานที่นั้นได้อีก...ผมเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไรก่อนหน้านี้ผมก็เคยรับหน้าที่ออกไปค้นหาแล้ว แต่ก็หาสถานที่นี้ไม่พบเลย...ดังนั้นนอกจากเ้าของรูปถ่ายใบนี้และคนของชนเผ่าพื้นเมืองพวกนี้ผมเองก็คิดไม่ออกแล้วว่า ใครจะสามารถช่วยให้พวกเราหาสถานที่แบบนี้ได้อีก”
หลินลั่วหรานนิ่งไปเธอกำลังสงสัยว่าทำไมเพียงแค่ภาพภาพเดียวก็สามารถทำให้จิตใจของพวกเขาแหลกสลายไปด้วยความกลัวขนาดนั้นแล้วก็ไม่อาจที่จะถามที่มาของภาพได้อย่างชัดเจน เื่เหล่านี้ หากจะโทษว่าเหวินกวนจิ่งก็คงจะไร้เหตุผลเกินไป
เธอมองไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยความใและท่าทีพยายามขยับเข้าใกล้กองไฟของหัวหน้าเผ่า การที่จะหาสถานที่อยู่ของภาพจิตรกรรมฝาผนังนั้นก็คงจะต้องเกลี้ยกล่อมให้เขายอมช่วยให้ได้แล้ว!
คำสาปปีศาจ?
ได้ยินแล้วดูเหมือนจะไม่ใช่เื่ดีเลย หวังว่าเป่าเจียจะไม่เป็อะไร...ไม่อย่างนั้นตัวของหลินลั่วหรานคงจะต้องรู้สึกผิดอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
