ใน่เย็นของวันนั้นฉินโจ้วไม่ได้ไปที่งานเลี้ยงฉลอง เพราะเขากำลังอารมณ์ไม่ดี
ในระหว่างาป้องกันเมืองกิลด์ราตรียิ่งใหญ่ได้ส่งกองกำลังทหารหมื่นคนมาเพื่อหวัง่ชิงผลประโยชน์ซึ่งในเวลานั้นเป็ธรรมดาที่ฉินโจ้วจะไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเื่นี้เลยแต่หลังจากป้องกันเมืองสำเร็จแล้ว สิ่งแรกที่ฉินโจ้วคิดก็คือ ส่งคนไปที่เมืองหนูเพื่อเตรียมจะประกาศากับกิลด์ราตรียิ่งใหญ่ถึงแม้จะเรียกว่าการประกาศา แต่ที่จริงก็ไม่ต่างจากการแก้แค้นเอาคืน แต่ไม่นึกเลยว่าเื่นี้จะล่วงรู้ไปถึงหูของกลุ่มสายฟ้าเข้า จึงได้ส่งคนส่งสารมาแจ้งข่าวว่า เวลานี้นั้นไม่เหมาะที่จะทำาควรคำนึงถึงความมั่นคงเป็ปึกแผ่นของเขตเหยียนหวง ส่วนเหตุผลว่าเป็เพราะเหตุใดนั้นหลังจากนี้ก็จะได้ทราบเอง หวังโหรวก็เพิ่งทราบว่า กลุ่มสายฟ้าถึงกับยื่นมือเข้ามาสอด แต่ถึงอย่างนั้นฉินโจ้วก็ไม่คิดจะเป็เด็กดียอมรามือโดยง่ายแต่เมื่อหวังโหรวได้เอ่ยขึ้นมาคำหนึ่ง ทำให้เขาถึงกับต้องหยุดลั่นกลองรบลงในทันที
ดูเหมือนว่ากลุ่มสายฟ้าจะมี ''กองทัพ'' คอยหนุนหลังอยู่
ถึงแม้ว่าฉินโจ้วจะหยิ่งผยองมากเพียงใดก็ตามแต่นี่มันก็เป็แค่เกมเท่านั้น เขาเองก็ไม่กล้าที่จะต่อต้านกับองค์กรของรัฐและที่สำคัญพวกเขาเป็กองทัพอีกด้วย จึงไม่รู้ว่าการแทรกแซงครั้งนี้เป็ฝีมือของกลุ่มสายฟ้าหรือว่าเป็ของกิลด์ราตรียิ่งใหญ่ที่้าจบเื่นี้ซึ่งเื่นี้ทำให้ฉินโจ้วอารมณ์เสียไม่น้อย แต่ก็ยังโชคดีที่กิลด์ราตรียิ่งใหญ่รู้ว่าฉินโจ้วต้องเป็กังวลเจึงแสร้งกล่าวขอโทษอย่างไม่รู้สึกรู้สา โดยชดเชยค่าเสียหายเป็เงินจำนวน 10,000 เหรียญทอง เื่นี้จึงถือได้ว่าจบกันไป
ในเวลานี้ฉินโจ้วเหมือนกำลังเหวี่ยงค้อนโดยตั้งใจจะหวดฟาดเต็มแรง กลับเจอแต่ความว่างเปล่าทำให้รู้สึกเหมือนจะเสียใจแต่ก็ไม่เชิง แต่ถึงอย่างไรก็ยังทำให้รู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง
โชคยังดีในที่สุดกลุ่มสายฟ้าก็ค่อนข้างมีมโนธรรมอยู่บ้าง จึงได้ให้คนส่งสารเปิดเผยข่าวสารบางอย่างที่ได้ค้นพบมาให้ จากที่กิลด์สายฟ้าได้ส่งคนไปตรวจสอบมานั้น คนในพื้นที่เขตเหยียนหวงจะต้องประสบกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ในเร็วๆนี้ นั่นก็คือเกิดรอยแยกของผนึกมิติกาลเวลาอายุพันปีขึ้นทำให้เขตแดนสัตว์ร้ายจะกลับมาสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง
เขตแดนสัตว์ร้ายเดิมทีเป็โลกที่เต็มไปด้วยสัตว์ป่าที่ดุร้าย ซึ่งมีอยู่ทุกหนแห่งหนึ่งหมื่นปีก่อน าาสัตว์รุ่นแรกได้กลืนกินสัตว์ร้ายและขอบเขตมิติเข้าไปทำให้ทางผ่านมิติเวลาของโลกมนุษย์เสียหายก่อนจะนำกองทัพเขตแดนสัตว์ร้ายเป็จำนวนนับไม่ถ้วนบุกเข้าสู่โลกกวาดล้างมนุษยชาติไปเกือบ 90% แต่ในที่สุดก็ถูกผลักดันกลับไปได้และมนุษย์ได้ปิดผนึกรอยแยกมิติและกาลเวลาเอาไว้ หลังจากนั้นทุกๆ พันปีเขตแดนสัตว์ร้ายจะทำลายผนึกออกมาเพื่อกลับมายังโลกมนุษย์ ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับมนุษย์โลกอย่างใหญ่หลวงและเวลานี้ก็ใกล้จะครบกำหนดดังกล่าวแล้ว ร่องรอยของเขตแดนสัตว์ร้ายเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างเลือนรางเกือบทุกหนทุกแห่งซึ่งมีจำนวนเล็กน้อย จึงทำให้ผู้คนต่างไม่ได้ให้ความสำคัญแต่อย่างใด
มีรอยแตกเป็จำนวนมากที่นำมาสู่โลกมนุษย์ทั้งรอยแตกขนาดเล็กและใหญ่ แต่โชคไม่ดีที่บริเวณลึกเข้าไปในเขตทะเลทรายเหลืองขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ด้านข้างเมืองด๊อกทาวน์ ก็มีรอยแยกดังกล่าวด้วยตามที่เคยบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ เส้นทางผ่านนี้ถือได้ว่ามีชื่อเสียงมากเส้นหนึ่ง
หลังจากที่คนส่งสารพูดจบ ก็ได้เตือนขึ้นว่า อย่าประมาทการบุกของมอนสเตอร์จากเขตแดนสัตว์ร้ายเหล่านี้มอนสเตอร์บนโลกนี้นั้น เดิมทีก็เป็ลูกหลานที่หลงเหลือมาจากเขตแดนสัตว์ร้ายเมื่อหนึ่งพันปีก่อนทั้งสิ้นแต่เนื่องจากสูญเสียสายเืแท้ไป ทำให้ความแข็งแกร่งลดลงราว 1.5-2 เท่า ซึ่งมอนสเตอร์จากเขตแดนสัตว์ร้ายนี้แข็งแกร่งและดุร้ายกว่ามากนักจากการคาดการณ์มอนสเตอร์เขตแดนสัตว์ร้ายที่จะบุกมาคราวนี้คงเกินที่ระดับของผู้เล่นจะต้านทานได้ไหว
คนส่งสารยังพูดต่ออีกว่า "นี่เป็เื่ที่อันตรายมากแต่โชคยังดี ที่ยังมีสิบสองเมืองอยู่ในเขตเหยียนหวง ถ้าในเวลานี้นอกจากเมืองัแล้วทั้งสิบเอ็ดเมืองเองก็ได้จัดตั้งเรียบร้อย ตราบใดที่เมืองสุดท้ายจัดตั้งสำเร็จเมืองัจะพัฒนาขึ้นกลายเป็เมืองัที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อนั้นแล้วความแข็งแกร่งของทั้งเขตเหยียนหวงก็จะถูกเลื่อนระดับให้แข็งแกร่งขึ้นซึ่งก็หวังว่าจะรับมือกับเขตแดนสัตว์ร้ายได้ดังนั้นจึงต้องขอยุติความขัดแย้งในเื่อื่นๆ ไว้ชั่วคราวฉินหวังเองก็คงเข้าใจสถานการณ์โดยรวมได้เป็อย่างดีหวังว่าคงไม่ตำหนิการทำเช่นนี้ของกลุ่มสายฟ้า ฉินหวังก็เป็คนที่โชคดีมากในเขต เหยียนหวงที่ได้รับตราคำสั่งสร้างเมืองชิ้นสุดท้าย หวังว่าคุณฉินหวังจะให้ความใส่ใจให้มากขึ้นในนามของกลุ่มสายฟ้าคงต้องขอขอบคุณแทนผู้เล่นคนอื่นๆด้วย ขอตัวก่อนครับ"
หลังจากที่คนส่งสารจากไปฉินโจ้วก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดีมากยิ่งขึ้นไปอีก กลุ่มสายฟ้านั้นยกย่องเขามากเกินไปไม่ต่างจากการฆ่าเขาทางอ้อม ซึ่งนี่ไม่ใช่เื่ดีเลยสักนิด อีกอย่างหนึ่งการที่กลุ่มสายฟ้ามาบอกข่าวกับเขาในเวลานี้คงมีเจตนาให้ ฉินหวังกรุ๊ปป้องกันทางผ่านเส้นนี้แน่ไม่อย่างนั้นแล้วด๊อกทาวน์คงถูกเลือกให้เป็สถานที่ทดสอบคำเตือนดังกล่าวนี่ไม่ใช่ว่าเขามีเจตนาดีอย่างนั้นหรือ
ป้องกันทางผ่านของเขตแดนสัตว์ร้ายอย่างนั้นหรือ?มาบอกเื่ที่ไม่น่าขอบคุณเลยสักนิดนี่ยังไม่ต้องพูดถึงการสิ้นเปลืองทั้งเื่กำลังคนและวัตถุดิบอีกเมืองใหญ่ที่เหลือ แม้กระทั่งคำขอบคุณคงจะไม่คิดเอ่ยขึ้นด้วยซ้ำ พวกเขาคงแอบยิ้มอยู่ลับหลังเท่านั้นแต่เขาจะปฏิเสธได้อย่างนั้นหรือ ก็ไม่อีกนั่นแหละ...นอกเสียจากว่าเขาจะปล่อยเมืองด๊อกทาวน์ทิ้งไป
ระบบก็มีกฎระเบียบอีกมากมายที่ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมเอาไว้ยกตัวอย่างเช่น หลังจากก่อตั้งเมืองสำเร็จเรียบร้อยแล้ว จะไม่สามารถย้ายได้ทำได้เพียงขยายอาณาเขตเท่านั้น ในส่วนของผู้ดูแลเมืองนั้นสามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลาซึ่งเหล่านี้เป็กฎที่ไร้สาระมาก
ทางผ่านของเขตแดนสัตว์ร้าย ถึงอย่างไรก็ต้องป้องกันไม่อย่างนั้นแล้วด๊อกทาวน์จะเป็เมืองแรกที่จะต้องเข้าปะทะกองกำลังที่สร้างขึ้นด้วยความยากลำบากก็ต้องถูกทำลายลง ซึ่งเป็สิ่งที่ฉินโจ้วไม่อยากเห็นเลยสักนิด
"ว่าอย่างไรหนุ่มน้อยมาทำอะไรอยู่แถวนี้ ไปอารมณ์เสียจากที่ไหนมา " ในขณะที่งานเลี้ยงยังไม่เลิกชูหลิงก็แอบเดินตามออกมาอย่างเงียบๆ
"เดิมทีผมเองก็อารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไรแต่พอได้เจอคุณแล้ว ก็ค่อยอารมณ์ดีขึ้นบ้าง" ฉินโจ้วก็ไม่ใช่คนอ่อนไหวแต่อย่างใดเขาสะกดกั้นอารมณ์เอาไว้ก่อนจะหันมายิ้มกับชูหลิง
"อ้อ... นายพูดขึ้นมาแบบนี้คิดจะเอาเปรียบแม่คนนี้หรือ" เดิมทีชูหลิงเตรียมจะต่อล้อต่อเถียงด้วยแต่สุดท้ายก็ทอดตัวนอนเหยียดกายลงบนโซฟา เนินเขาคู่นั้นตั้งตระหง่านชูชัน ก่อนจะพูดขึ้นว่า"เด็กๆ สมัยนี้ช่างบ้าดีเดือด อายุขนาดฉันคงตามไม่ทันแล้ว"
ฉินโจ้วหัวเราะร่าก่อนจะพูดขึ้นว่า"นี่คงเป็ตัวตนของคนที่มาเป็ผู้ดูแลเมืองกระมัง อีกอย่างคุณเองก็บ้าดีเดือดไม่น้อยไปกว่าใครที่ไหน"
ตำแหน่งเ้าเมืองนั้น ฉินโจ้วไม่คิดที่จะรับไว้อยู่แล้วจึงส่งต่อให้กับชูหลิงแทน เวลานี้เขาจำเป็ต้องมุ่งเน้นไปทางการเพิ่มระดับมากกว่าและเก็ไม่มีเวลามากพอที่จะจัดการกับเื่เหล่านี้ อีกอย่างหนึ่ง ตำแหน่งเ้าเมืองนั้นไม่สามารถหายหน้าหายตาไปเป็เวลานานจนแทบจะไม่โผล่หน้าตาออกมาให้เห็นได้ ดังนั้นแล้วชูหลิงจึงเป็ตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไรก็ตามถ้ามีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ ก็สามารถเปลี่ยนกลับมาได้ตลอดเวลา
"นั่นไม่ใช่นายนี่" ชูหลิงเหลือบตามองบนสายตาเต็มไปด้วยความหยามเหยียดดูถูก "งานสกปรกทั้งหลายเอย งานยากๆล้วนแต่โยนมาให้ฉันกับโหรวโหรวแต่นายกลับใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดีโดยไม่ต้องมานั่งกังวลอะไรสักอย่าง บางทีฉันคงติดหนี้นายไว้เมื่อชาติที่แล้วล่ะมั้ง..."
"ถ้าอย่างนั้นคุณก็ชดใช้ด้วยร่างกายก็ได้นะ"ฉินโจ้วเอ่ยขึ้นพลางแสยะยิ้ม
"เอ้า... ของชิ้นนี้เหมาะกับนาย"ชูหลิงนำเม็ดยาออกมาก่อนจะโยนให้กับเขา และพูดขึ้นว่า "ของชิ้นนี้พิเศษสำหรับนายโดยเฉพาะ"
"อะไรน่ะ?" ฉินโจ้วถาม
"ฉันเห็นมันมาแล้ว เป็ของที่ดีมากชิ้นหนึ่ง"ชูหลิงตอบพลางให้เขาดู
เพียงแค่ฉินโจ้วเหลือบดู ก็ถึงกับต้องตกตะลึง
จุมพิตของเทพแห่งชีวิต : เม็ดยาระดับสมบัติ กลั่นสร้างจากน้ำนมของเทพแห่งชีวิตบรรจุอัดแน่นไปด้วยพลังชีวิตจำนวนมาก สามารถเพิ่มพลังชีวิตถาวร +50,000 หน่วย โดยไม่มีผลข้างเคียง ไม่มีข้อจำกัดในการใช้งาน
พลังชีวิต 50,000 หน่วยพลังชีวิต 50,000 หน่วยเลยนะเม็ดยานี่ช่างต่อต้าน์โดยแท้ ถ้าเทียบยาพลังชีวิตขนาดเล็กก่อนหน้านี้กับจุมพิตของเทพแห่งชีวิตแล้วนี่มันช่างอ่อนด้อยจนเทียบกันไม่ได้เลย
"ได้มันมาจากไหน?" ฉินโจ้วถามด้วยความสงสัย
"เนื่องจากฉันเป็เ้าเมือง หลังจากเพิ่มระดับแล้วก็มีโอกาสที่จะสุ่มลอตเตอรี่ นี่จึงเป็ที่มาของการจับสลากในครั้งนี้ว่าแต่เป็อย่างไรบ้าง นายพอใจกับของขวัญชิ้นนี้หรือเปล่า?" ชูหลิงเอ่ยถามขึ้น
"ไม่ใช่แค่พอใจ แต่ยังดีใจสุดๆ ไปเลยต่างหาก หลิงหลิง...คุณเป็เหมือนเทพธิดาประจำตัวผมเลย" ฉินโจ้วกล่าว อย่างชื่นชม
"ว่าแต่...เมื่อสักครู่ฉันเห็นนายท่าทางเหมือนถูกเอาเปรียบ มีเื่อะไรกัน" ชูหลิงถามขึ้นด้วยความสงสัย
ฉินโจ้วก็ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด เขาบอกข่าวเกี่ยวกับการรุกรานจากเขตแดนสัตว์ร้ายที่ได้รับมาจากกลุ่มสายฟ้าเมื่อ ชูหลิงได้ยินก็เริ่มระมัดระวังมากขึ้นก่อนจะถามต่อไปว่า"ถ้ามีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นจริง เราคงต้องเตรียมป้องกันเอาไว้ด้วยควรที่จะเตรียมตัวล่วงหน้า"
"พรุ่งนี้ผมวางแผนว่าจะออกไปสำรวจด้วยตนเองหลังจากที่เข้าใจสถานการณ์แจ่มแจ้งแล้ว ค่อยคิดหาวิธีกันอีกทีแต่ไม่ว่ามันจะเกิดหรือไม่ก็ตาม การป้องกันของด๊อกทาวน์จะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้จำนวนคนของกลุ่มหลักทั้งห้าก็ต้องเพิ่มขึ้น และนอกจากนี้เกี่ยวกับการจัดตั้งหน่วยข่าวกรองไม่อาจชักช้าไปมากกว่านี้แล้ว ต้องจัดตั้งขึ้นโดยทันทีซึ่งเื่นี้คุณคงต้องเป็คนลงมือเอง ไม่ว่าจะเป็เื่อะไรก็ตามเราต้องไม่ขาดแคลนในเื่ข้อมูลเด็ดขาด ซึ่งเื่นี้เป็เื่ที่เราอ่อนด้อยมากก่อนหน้านี้เรามีเพียงฉินหวังกรุ๊ปกลุ่มเดียว ก็แทบจะรับมือไม่ไหวแล้วแต่ในเวลานี้นั้นต่างออกไป จำนวนประชากรใน ด๊อกทาวน์ก็มีราวสิบล้านคนแล้วถ้าหน่วยข่าวกรองของเราไม่ดี ก็ยากที่จะทำการใหญ่ได้" ฉินโจ้วได้สั่งการออกไป
"เื่นี้นายไม่ต้องเป็กังวลไปได้มีการเตรียมการสำหรับเื่นี้เอาไว้แล้ว อย่างช้าภายในอาทิตย์นี้ก็น่าจะเห็นผลแล้ว"ชูหลิงตอบด้วยความมั่นใจ
"ถ้าคุณเตรียมพร้อมแล้ว ผมก็ค่อยเบาใจ อีกอย่างอุปกรณ์ิญญาสองชิ้นนั้นมอบเป็รางวัลให้ใครไปหรือยัง?"ฉินโจ้วถามขึ้น
"ยังเลย อุปกรณ์ิญญามีค่ามากเราควรเก็บไว้ใช้เพื่อประโยชน์สูงสุดมากกว่า" ชูหลิงยิ้มก่อนจะกล่าวออกไป
"ผมดูคุณสมบัติของอาวุธิญญาทั้งสองชิ้นนี้แล้วมันเน้นการป้องกันเป็หลัก ซึ่งหาได้ยากยิ่งดังนั้นผมจึงตัดสินใจให้คุณกับอาจารย์หวังไว้คนละชิ้น" ฉินโจ้วตอบกลับ
"แต่แหวนวงนี้มัน...นี่นายมีเจตนาอะไรแอบแฝงกันแน่" ท่าทีที่ชูหลิงแสดงออกมาเต็มไปด้วยความสงสัย
"นี่พี่สาวต่อให้ไม่มีข่าวเื่ผนึกของเขตแดนสัตว์ร้ายเสื่อมถอย ผมก็ยังคงเป็ห่วงคุณอยู่ดีคุณอยากจะถูกฆ่าตายอีกรอบหรืออย่างไรกัน ฉินโจ้วถามขึ้น
"เอาอย่างนั้นก็ได้... ฉันเชื่อที่นายพูด"ชูหลิงเองก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย และอีกอย่างในเวลานี้เธอก็ไม่มีทางเลือกตอนที่เธอถูกฆ่าตายนั้น มันทำให้เกิดาแลึกขึ้นในใจของเธอเช่นกัน
"ดีแล้ว อ้อ... อีกอย่างเวลานี้คุณก็เป็เ้าเมืองแล้ว อย่างน้อยก็ถูกแต่งตั้งอย่างเป็ทางการแล้วต่อไปก็ควรจะแต่งตัวให้ดูมิดชิดกว่านี้หน่อยคิดจะหว่านเสน่ห์ยั่วยวนให้ฝูงผึ้งตีกันหรืออย่างไรผมคงไม่สามารถมาคอยกันท่าไว้ให้ทุกครั้งหรอกนะ" ฉินโจ้วเอ่ยเตือนขึ้น
"ฉันควบคุมตัวเองได้หรอกน่ะเสน่ห์ของหญิงสาวที่มีอายุก็ต้องเยอะเป็ธรรมดา" ชูหลิงเชิดคางขึ้น ก่อนจะลุกจากโซฟาและพูดว่า "ไม่สนใจนายแล้ว ฉันต้องไปแล้ว มีบางอย่างต้องไปดูหน่อย แล้วเจอกันไปล่ะ..."
"อืม... ขอให้สนุกแล้วกัน อ้อ...ฝากทักทายทุกคนแทนผมให้ด้วยนะ" ฉินโจ้วกล่าวเสริม
ในขณะที่กำลังเดินไปที่ประตู จู่ๆชูหลิงก็นึกขึ้นได้ จึงหันกลับมาก่อนจะพูดขึ้นว่า"ดูเหมือนว่าสองวันนี้เสี่ยวเกอจะไม่ค่อยสบายนะ นายอยากไปดูเธอหน่อยไหม?"
"อ้าาา... จริงด้วย"ฉินโจ้วถึงกับตบหัวตัวเองอย่างแรง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม่วันสองวันนี้เขาถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป ปรากฏว่าเป็หนานกงเสี่ยวที่หายตัวไปนั่นเองเขาเองก็ยุ่งเสียจนลืมน้องเสี่ยวเกอไปได้
ฉินโจ้วรีบออฟไลน์ออกไปทันทีอย่างไม่คิดลังเลเลยแม้แต่น้อย
คฤหาสน์ที่ใหญ่โตในเวลานี้ว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คนและค่อนข้างเงียบสนิท ประตูห้องของหนานกงเสี่ยวก็ไม่ได้ล็อกเอาไว้หลังจากออกแรงผลักเพียงเล็กน้อยมันก็เปิดออก
"เสี่ยวเกอ... เสี่ยวเกอ..."ฉินโจ้วส่งเสียงเรียกอย่างอ่อนโยน
"พี่ฉิน คุณอยู่ที่นี่เอง"หลังจากเสียงะโเรียกดังอยู่หลายครั้ง หนานกงเสี่ยวก็ตื่นขึ้นมาจากที่หลับอย่างสนิทจากนั้นค่อยลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ น้ำเสียงดูอ่อนแรงแต่ก็มีทีท่าที่ยินดีเมื่อได้เห็นฉินโจ้ว
"คุณเป็อะไรไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?" น้ำเสียงของฉินโจ้วเต็มไปด้วยความกังวลในระหว่างที่จ้องมองหน้าที่ซีดเซียวของหนานกงเสี่ยว ในใจรู้สึกเ็ป
"ฉันเองก็บอกไม่ถูก รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไปั้แ่เริ่มฝึกทักษะจิตไท่อิน แต่ฉันก็คิดว่ามันไม่น่าจะมีอะไรร้ายแรง จนกระทั่งเมื่อวานที่กำลังฝึกฝนจู่ๆ ก็เริ่มรู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว ก่อนจะหมดสติไป หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาก็รู้สึกได้ว่าร่างกายอ่อนแอจนแทบไม่อยากจะขยับเขยื้อนร่างกายเลย"หนานกงเสี่ยวเริ่มเล่าอาการให้เขาฟัง
ในใจของฉินโจ้วนั้นรู้สึกตื่นตระหนกอยู่บ้างก่อนจะเอื้อมมือไปจับข้อมือที่ขาวเนียนเหมือนปุยเมฆของเธอเอาไว้และส่งผ่านพลังภายในเข้าไป จากนั้นก็หลับตาลง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น หนานกงเสี่ยวก็รู้สึกเหมือนมีพลังที่อบอุ่นสายหนึ่งไหลเวียนลัดเลาะเหมือนมีงูกำลังเลื้อยผ่านเข้ามาภายในร่างรู้สึกคันยุบยิบ แต่พอได้เห็นทีท่าที่เคร่งขรึมของฉินโจ้ว ก็ทำให้เกิดความรู้สึกประหม่าขึ้นเล็กน้อย และพยายามอดทนอดกลั้นไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวตัว
หลังจากผ่านไปราวห้านาที ฉินโจ้วได้ลืมตาขึ้นสีหน้าและแววตาฉายความประหลาดใจขึ้น ก่อนจะยิ้มและกล่าวว่า"นี่เป็เื่ที่ดี ไม่ได้เป็สิ่งที่ไม่ดีแต่อย่างใด ในเวลานี้คุณมาถึงจุดสำคัญในการฝึกฝน''ทักษะจิตไท่อิน'' เพื่อเตรียมจะขึ้นระดับถัดไปไม่มีอะไรหรอก ก่อนหน้านี้ผมก็เคยก้าวข้ามผ่านมันมาได้แล้ว ไม่คิดเลยว่าพร์ของคุณจะสูงเช่นนี้ผมเองต้องฝึกฝนอยู่หลายเดือนถึงจะมาจุดนี้ได้ แต่คุณฝึกฝนเพียงไม่กี่วันเท่านั้น เสี่ยวเกอ...คุณช่างเป็อัจฉริยะอย่างแท้จริง"
"ไม่หรอก" หนานกงเสี่ยวพูดขึ้นด้วยความเขินอายหลังจากที่ฉินโจ้วได้ยืนยันหนักแน่น พอรู้ว่าร่างกายของเธอปกติดี เธอเองจึงค่อยโล่งอก ดวงตาเริ่มทอประกายสุกสกาวมากยิ่งขึ้น
"ถึงแม้ว่าผมจะเคยมีประสบการณ์มาแล้วก็จริงแต่ก็ผ่านมาได้แบบงงๆ เลยช่วยอะไรคุณไม่ได้เท่าไร แต่ถึงอย่างนั้นทั้งความสามารถและพร์ของคุณนั้นสูงมากดังนั้นน่าจะผ่านไปได้ง่ายกว่าผมอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลไปหรอก แค่ตั้งสติเอาไว้ก็พอ"ฉินโจ้วได้แต่พูดปลอบใจ
"อืม... ฉันเข้าใจแล้ว"หนานกงเสี่ยวนั้นค่อนข้างฉลาด ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ ดูๆ ไปไม่ต่างจากลูกแมวน้อยที่ว่านอนสอนง่าย
"พักผ่อนก่อนเถอะเดี๋ยวผมทำอาหารให้คุณทานเอง" ฉินโจ้วตอบกลับไป
"อืม..."
ทักษะในการทำอาหารของฉินโจ้วนั้นถือได้ว่าอยู่ในระดับทั่วไปต่อให้เขาฝึกทำบ่อยกว่านี้ก็ตามที เนื่องจากเขาไม่มีพร์ในด้านการทำอาหารเลยแม้แต่น้อยถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเทียบได้กับระดับมาตรฐานของพ่อครัวตามภัตตาคารอยู่ดีแต่ถึงอย่างนั้นหนานกงเสี่ยวก็เป็คนที่กินง่าย ไม่ได้เลือกกินแม้แต่น้อยหลังจากที่กินไปสองชาม ฉินโจ้วก็มองดูหนานกงเสี่ยวที่กำลังนอนหลับอยู่จนกระทั่งสีหน้าของเธอกลับสู่สภาพปกติ จึงรู้ได้ว่าเธอฝ่าด่านได้เรียบร้อยแล้วก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงเดินออกจากห้องมา
ในเวลานี้ดูเหมือนว่า ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้