ช่างตัดเสื้อที่มาจากหลัวฉี่เก๋อมีแซ่ว่าเฝิงเป็สตรีที่ออกเรือนแล้วอยู่ในวัยราวๆ สามสิบปี รูปลักษณ์ธรรมดาสามัญสวมกระโปรงผ้าไหมสีขาวหมอก ดูไม่โดดเด่นแต่สบายตาอย่างยิ่งข้างหลังนางมีเด็กสาววัยสิบสี่สิบห้าผู้หนึ่งติดตามมาด้วยอยู่ในชุดกระโปรงสีเขียวดิ้นผ้าไหมขาวหน้าตาของเด็กสาวคล้ายกับช่างตัดเสื้อเฝิงสี่ถึงห้าส่วน รูปลักษณ์งดงามน่าจะเป็แม่ลูกกัน
“คุณหนูใหญ่ เหลือผ้าไหมอยู่ห้าสีนี้เ้าค่ะ ฟ้าคราม น้ำเงินสมุทรแดงปะการัง ม่วงรากบัว และม่วงนภา ท่านลองดูว่าชอบสีแบบไหนเ้าค่ะ?” ช่างตัดเสื้อเฝิงชี้ไปยังผ้าไหมไม่กี่พับที่กางแผ่ออกบนโต๊ะ
“น้องสามกับน้องสี่เลือกสีอะไรหรือ?” พอกู้เจิงถาม ร่างที่อยู่ด้านหน้าผ้าไหมสีม่วงรากบัวก็ชะงักลง
“คุณหนูสามเลือกผ้าไหมสีเขียวอ่อนประดับลายบุปผาผีเสื้อส่วนคุณหนูสี่เลือกเป็ผ้าไหมสีแดงทับทิมลายไม้ดอกเ้าค่ะ”เด็กสาวที่อยู่ข้างหลังช่างตัดเสื้อเฝิงพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใสไพเราะน่าฟังยิ่ง
กู้เจิงเงยหน้าขึ้นชำเลืองมองเด็กสาว แต่นางเหมือนจะได้ยินความไม่ชอบใจเจืออยู่ในน้ำเสียงดวงตาของเด็กสาวดำสนิท แต่ภายในไม่ได้ปิดบังเจตนาร้ายที่มีต่อนาง ในขณะที่กู้เจิงกำลังงงงันช่างตัดเสื้อเฝิงก็ดึงสาวน้อยให้หลบออกไป จากนั้นจึงยิ้มให้นางแล้วกล่าวว่า“คุณหนูใหญ่เ้าคะ นี่เป็บุตรสาวของข้านาม ‘เหนียนหงซาน’ นางมาจวนป๋อเจวี๋ยเป็ครั้งแรกจึงไม่เข้าใจกฎระเบียบนัก ขออภัยด้วยเ้าค่ะ”
เหนียนหงซานถูกมารดาดึงไปด้านหลังก็ก้มศีรษะท่าทางเหมือนคนทำอะไรผิด
กู้เจิงคลี่ยิ้มน้อยๆ และไม่ได้นำมาใส่ใจก่อนจะชี้ไปยังผ้าไหมสีฟ้าครามพับหนึ่ง นางชอบลวดลายดอกไม้หลากสีที่ปักบนผ้าไหม
“คุณหนูใหญ่ตาถึงนักลวดลายดอกไม้หลากสีนี้แม้วิธีการปักแบบหลู่จะไม่ได้โดดเด่นแต่กลับมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใครเ้าค่ะ” ช่างตัดเสื้อเฝิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ลำบากท่านแล้ว” กู้เจิงไม่เข้าใจวิธีปักอะไรนักเพียงแค่ชี้ไปตามที่ใจชอบเท่านั้น
เมื่อส่งช่างตัดเสื้อเฝิงแม่ลูกสองคนออกไปแล้วนางทันเห็นว่าช่างตัดเสื้อเฝิงได้จับมือของเหนียนหงซานแล้วออกแรงดึงท่าทางเหมือน้าว่ากล่าวสั่งสอน
กู้เจิงนึกย้อนในความทรงจำตนเองน่าจะไม่เคยเห็นหญิงสาวที่ชื่อเหนียนหงซานมาก่อนกระนั้นเจตนาร้ายของนางมาจากไหน?
“คุณหนูใหญ่ ผ้าที่ท่านเลือกเมื่อครู่ดูเรียบไปนะเ้าคะ”ชุนหงที่อยู่ข้างๆ เอ่ย“ผ้าที่คุณหนูสามและคุณหนูสี่เลือกล้วนสีสดงดงามกว่าท่านมากเลยเ้าค่ะ”
“ข้าหน้าตางดงามเช่นนี้ ใส่อะไรก็ดูดีทั้งนั้น”กู้เจิงยังคงมั่นใจในใบหน้าของตน
“นั่นสิเ้าคะ รูปโฉมของคุณหนูใหญ่เรานั้นนับว่างดงามที่สุด”ชุนหงผงกศีรษะยืนยัน
วันล่าสัตว์ประจำสารทฤดูมาถึงในชั่วพริบตาทว่าอากาศไม่ดีเช่นเท่าวันก่อน ๆ ไม่เพียงอุณหภูมิต่ำลงฉับพลัน แสงอาทิตย์ก็อ่อนแรง และมีเมฆดำบาง ๆที่ลอยผ่านเป็ระยะ ๆ .
บุตรสาวได้ไปงานล่าสัตว์ของราชวงศ์หวังซู่เหนียงก็มีความสุขจนถึงกับกินโจ๊กงาไปถึงสองชามใหญ่แต่เนื่องจากนางยังลุกจากเตียงไม่ได้จึงเรียกได้บุตรสาวมากำชับสักเล็กน้อยก่อนมองส่งนางออกไปอย่างสบายใจ
มีรถม้าขนาดใหญ่สองคันจอดอยู่ที่ประตูจวนกู้ แต่ละคันมีม้าสูงใหญ่สองตัวทำหน้าที่ขับเคลื่อนตัวรถเรียงรายอย่างสง่างาม ทั้งสี่ด้านพันรอบด้วยผ้าไหมที่สวยหรูราคาแพง หน้าต่างและตัวรถม้าได้รับการฝังด้วยเพชรพลอยทองคำเปลวและบรรจงแกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม ซึ่งเป็สัญลักษณ์อันมีเกียรติของผู้ที่นั่งอยู่ข้างใน
กู้เจิงใคร่ครวญสิ่งที่เรียกว่า ‘รถม้าสลักงามล้ำกรุ่นเต็มท้องถนน[1]’ น่าจะมีลักษณะเช่นนี้กระมัง
กู้หงหย่งกับกู้เจิ้งชินขึ้นรถม้าคันหน้าส่วนเว่ยซื่อและพวกนางก้าวขึ้นรถม้าคันหลังสาวรับใช้และพวกบ่าวาุโเดินตามทั้งสองด้านของรถม้า
ระหว่างทางนั้นเงียบมากแม้แต่กู้เหยาที่ช่างพูดมาแต่ไหนแต่ไรก็นั่งเงียบข้างมารดาอย่างน่าเอ็นดูหลังจากเว่ยซื่อบรรลุข้อตกลงกับกู้เจิงในวันนั้นกู้เจิงก็ไม่ได้ยินว่ามีคนในจวนเอ่ยถึงเื่เก่าๆ ของพวกนางแม่ลูกอีกเลยคิดแล้วเว่ยซื่อคงพูดอะไรกับกู้เหยาถึงทำให้นางเงียบสงบเช่นนี้
หนึ่งชั่วยาม[2] ต่อมา รถม้าก็ได้หยุดลง แม่เฒ่าซุนเข้ามาเลิกม่านขึ้นกู้เจิงลงจากรถม้าเป็คนสุดท้ายเมื่อลงมาก็เห็นบิดาไร้ค่าและน้องชายกำลังคุยกับเหล่าขุนนาง
“คุณหนูใหญ่เ้าคะ” ชุนหงก้าวไปเดินข้างกายกู้เจิงอย่างตื่นเต้นและกระซิบเสียงต่ำ “ที่นี่ใหญ่มากจริงๆ เ้าค่ะ บ่าวเห็นขุนนางที่สวมชุดว่าราชการมากมายเลยทีเดียว”
ว่ากันว่าเป็งานล่าสัตว์ของราชวงศ์แท้จริงแล้วก็คือฐานทุ่งหญ้าล่าสัตว์ที่เกิดจากป่าไม้นับไม่ถ้วนแน่นอนว่าต้องกว้างใหญ่ มองไปล้วนเป็สีเขียวชอุ่มพุ่มไสวเนินเขาสูงต่ำล้วนมองไม่เห็นขอบ
เมื่อพวกนางลงจากรถม้าก็มีข้ารับใช้มานำพวกนางเข้าสู่ฐานล่าสัตว์
สายลมฤดูใบไม้ร่วงถาโถมใส่ผู้คน กรีดพัดผ่านธงจนเกิดเสียงหวีดหวิวภายใต้ธงสีเหลืองคือทหารองครักษ์รักษาการณ์ที่ยืนเป็ระเบียบ มือจับทวนวงเดือน[3] ปกป้องดูแลบริเวณโดยรอบอย่างเคร่งขรึมน่าเกรงขาม
ตระกูลกู้เป็ตระกูลหนึ่งในป๋อเจวี๋ยอีกทั้งกู้อิ๋งยังเป็คู่หมั้นขององค์ชายห้าด้วยเหตุนี้กระโจมที่จัดไว้จึงอยู่บริเวณรอบๆ เหล่าเชื้อพระวงศ์
หลังจากเข้าไปในกระโจมที่จัดไว้ให้พวกนางแล้วกู้เจิงปวดเมื่อยตัวจนอยากจะกระโจนแผ่ตัวลงบนเตียงที่ปูด้วยขนสัตว์นุ่มๆนั่งในรถม้าที่ใช้เวลาสองชั่วโมง ที่ถึงแม้ว่าภายในรถจะถูกปูด้วยหมอนนุ่มทว่าก็ไม่เพียงพอสำหรับนางรวมถึงท่านั่งตัวตรงของแม่ลูกสกุลเว่ยก็ทำให้นางอายเกินกว่าจะทำตัวไม่สำรวม
ชุนหงเปิดแง้มม่านแอบมองออกไปด้านนอกสักพักก็ปล่อยม่านลงแล้วหันมาพูดกับกู้เจิงด้วยความห่อเหี่ยว “คุณหนูใหญ่เ้าคะบ่าวได้ยินที่ข้ารับใช้คุยกับแม่เฒ่าซุนว่าพระสนมซูเชิญนายหญิงคุณหนูสามและคุณหนูสี่ไปร่วมมื้อกลางวันเ้าค่ะ”
กู้เจิงตอบรับว่า อ้อ อย่างเกียจคร้าน พระสนมซูเป็พระมารดาขององค์ชายห้าหากจะเชื้อเชิญพระสัสสุพระสุณิสาและพระขนิษฐาในอนาคตมาเข้าร่วมมื้ออาหารกลางวันนั้นเป็เื่ปกติอย่างมาก
“คงจะดีถ้าขอให้คุณหนูใหญ่ไปด้วยนะเ้าคะ”
กู้เจิงยังคงนอนเกียจคร้านอยู่บนเตียงนุ่มต่อไป “ไม่ไปสิดี”นางไม่อยากเห็นองค์ชายห้า สักนิดก็ไม่อยาก
“คุณหนูใหญ่ ไม่ง่ายเลยนะเ้าคะที่เราจะได้มางานล่าสัตว์ของราชวงศ์ท่านจะเอาแต่นอนเช่นนี้หรือเ้าคะ?” ชุนหงมองไปยังกู้เจิงที่หยีตามองกลับมาอย่างเกียจคร้าน
แน่นอนว่ากู้เจิงจะไม่เอาแต่นอนเช่นนี้หรอก นางไม่ได้มาเล่นๆแต่มาหาเสิ่นเยี่ยนเพื่อโน้มน้าวให้เขาเลื่อนการแต่งงานออกไปสักสองสามเดือนทว่าตอนนี้ เสิ่นเยี่ยนไม่ได้ตามองค์ชายห้าจ้าวหยวนเช่อไปในลานล่าสัตว์ของราชวงศ์แต่กลับอยู่ในกระโจมราชนิกุลซึ่งสองสถานที่นี้นางไม่สามารถเข้าไปได้โดยง่าย ฉะนั้นนางจึงรอรอให้การล่าสัตว์ในตอนบ่ายเริ่มต้นขึ้น
--------------------------------------
[1] รถม้าสลักงามล้ำกรุ่นเต็มท้องถนน เป็การอุปมาอุปไมยจากบทกลอนชื่อ ‘โต๊ะหยกคราม คืนงานโคม’ ของกวียุคซ่ง นาม‘ซินชี่จี๋’ โดยวรรคนี้เปรียบเปรยว่ารถม้าสลักงามล้ำเป็สิ่งที่ส่งกลิ่นหอมออกมาได้แสดงให้เห็นความชื่นชมและอิจฉา(ในเชิงบวก)ที่เกิดจากการสัญจรของรถม้า
[2] หนึ่งชั่วยาม เทียบเท่ากับสองชั่วโมงตามเวลาสากล
[3] ทวนวงเดือน(ภาษาจีนเรียก จี่) เป็อาวุธจีนโบราณชนิดหนึ่งรูปร่างคล้ายทวนและหอก ปลายแหลมใช้แทง ด้านข้างมีคมรูปจันทร์เสี้ยวใช้สำหรับฟันอาวุธชนิดนี้มีทั้งแบบที่มีคมสองข้างและแบบมีคมข้างเดียว