ในที่สุดก็ส่งอิ่นซีเิกลับไปได้ อ๋าวหรานรู้สึกเลยว่าฉากวีรบุรุษช่วยสาวงามนี้ไม่ได้งดงามเหมือนในละครเลยแม้แต่น้อย ตลอดทางที่เดินมามีแต่ความรู้สึกที่อึมครึม
จิ่งจื่อน้ำเสียงอึมครึมเล็กน้อย “อ๋าวหรานเ้าคิดว่าเ้าโจรนั่นดูคุ้นตาหรือเปล่า?”
อ๋าวหรานโค้งริมฝีปากยิ้มยิ้ม “จะไม่คุ้นได้เช่นไร”
คำพูดนี้ ก็นับว่าย้ำความคาดเดาภายในใจของจิ่งจื่อแล้ว จิ่งจื่อพูดด้วยความโกรธ “ท่าป้าเหวินเยว่ทำไมถึงได้สอนออกมาเป็คนเช่นนี้ได้?”
จิ่งเซียงได้ฟัง ก็อดตะลึงไม่ได้ “ท่านป้าเหวินเยว่? หรือว่าเป็หวางฮวายเหล่ย?!”
อ๋าวหรานพยักหน้า “ไม่น่าจะผิดไปได้”
จิ่งเซียงรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง “พวกเ้าแน่ใจหรือ?”
จิ่งจื่อ “แน่ใจหรือไม่เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้แล้ว”
การคาดเดาเช่นนี้ทำให้จิ่งเซียงกลัดกลุ้ม อย่างไรเสียก็เป็ลูกชายของป้าตัวเอง หากมีนิสัยเช่นนี้จริง ก็ทำให้คนยากจะเชื่อได้ แต่อ๋าวหรานกับจิ่งจื่อเองไม่มีทางที่อยู่ดีๆ จะไปใส่ร้ายเขา
จิ่งเซียง “ได้ยินมาว่าลุงเขยหวางชวนเองก็เป็คนมีความสามารถ......”
อ๋าวหรานเห็นนางหน้าตากลัดกลุ้ม จึงลูบหัวนาง “เ้าทุกข์ไปก็ไม่มีประโยชน์เื่นิสัยคนมันก็พูดยาก”
จิ่งเซียง “หากเป็เขาจริงต้องให้ท่านป้าเหวินเยว่อบรมเขาให้ดีแล้ว”
จิ่งจื่อยิ้มเย็น “สันดอนขุดง่ายสันดานขุดยาก วันนั้นได้ยินที่พวกเขาคุยกันก็รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่คนดีอันใด”
อ๋าวหรานปลอบใจว่า “เขาจะเป็คนดีหรือไม่ เราเข้าไปยุ่งไม่ได้ พวกเราแค่เป็คนดีของเราไปก็พอแล้ว”
จิ่งเซียงพยักหน้าทำปากยื่น
อ๋าวหรานกลัวว่านางจิตใจดี สุดท้ายกลายเป็คนดีที่โง่เง่าไป พูดอีกว่า “แน่นอนว่า เป็คนดีก็ต้องมีขอบเขต อย่าใช้ชีวิตเหมือนแม่พระเป็เด็ดขาด”
จิ่งเซียงสงสัย “แม่พระคือผู้ใด?”
อ๋าวหรานอธิบายตามที่เขา้าอย่างง่ายๆ “ก็คือคนดีที่ไม่มีสมอง”
จิ่งจื่อฟังแล้วก็รีบค่อนแคะทันใด “เ้ากำลังหมายถึงตัวเองอยู่หรือ?”
อ๋าวหรานกัดฟัน “ข้าเป็คนเช่นนั้นหรือ?”
จิ่งจื่อส่งเสียง เหอะ ออกมาเสียงหนึ่ง “เ้าไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นเ้าพุ่งมาขวางไว้หน้าชายชาตรีเช่นข้าเพื่ออันใด?”
อ๋าวหราน “......” มารดามันเถอะ เ้าเด็กบ้า ไร้น้ำใจ
จิ่งเซียง “ฮ่าฮ่า!”
อ๋าวหราน “อย่าไปเลียนแบบจิ่งจื่อ เ้าเห็นว่าตอนนี้เขาทำเป็ปากดีเสียเหลือเกิน แต่ถ้าเกิดเื่ขึ้นมาจริงๆ เขาคงพุ่งเขาไปก่อนใครเพื่อน”
จิ่งจื่อพูดอย่างเกรี้ยวกราด “จะเป็ไปได้อย่างไร!”
จิ่งเซียงมองเขาด้วยสีหน้า ข้าเข้าใจเ้า
จิ่งจื่อโกรธจัด
——
“เย้! แท่นบุพเพของเรา เร็วเข้า! เร็วเข้า!”
จิ่งเซียงพูดไปดันคนทั้งหลายให้เดินไป จิ่งฝานลากนางไว้ “รีบร้อนอะไร”
อ๋าวหราน “นั่นสิ วิ่งไม่ได้เสียหน่อย”
จิ่งเซียงเตะทั้งสองคนไปทีหนึ่ง “ไม่กระตือรือร้นเลย”
จิ่งจื่อขำ “จิ่งเซียง ถ้าไข่มุกของเ้าหลอมรวมเข้ากับคนที่เ้าไม่รู้จัก เ้าก็จะแต่งให้เขาเลยหรือ?”
จิ่งเซียงสีหน้าใ “ไม่...ไม่ใช่สักหน่อย!”
จิ่งจื่อยิ้มชั่วร้าย “เช่นนั้นเ้าจะรีบร้อนไปเพื่ออันใด?”
จิ่งเซียงโกรธหนัก “ไปตายเลยไป!”
แท่นบุพเพตั้งอยู่กลางตำหนักเทพ ไม่ได้อยู่ในห้องด้านใน แต่อยู่ด้านนอก อ๋าวหรานเดินตามพวกเขาเข้าไปเห็นแท่นกลมขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า แท่นบุพเพมีขนาดครึ่งความสูงของคน มองไปจากที่ไกลๆ ก็เห็นประกายไฟปะทุขึ้นมาบางครั้ง อ๋าวหรานคิดในใจ หรือว่าใช้ไฟเผา? เช่นนั้นมันจะไม่ถูกเผาจนละลายหรือ จะเห็นชัดเจนได้อย่างไรว่าอันในหลอมรวมกับอันไหน
ตรงกลางของแท่นกลม ยังมีเสาขนาดสามเมตรกว่าตั้งอยู่ เหมือนจะถูกไฟเผาจนเป็สีดำ แต่ก็ยังพอมองเห็นสีทองๆ ที่อยู่ด้านใน จู่ๆ อ๋าวหรานก็คิดถึงกระบองทองของซุนหงอคง
ตอนนี้มีคนอยู่บริเวณแท่นนี้ไม่มากนัก อ๋าวหรานคาดว่าคงเป็เพราะพวกเขาเดินวนรอบตำหนักเทพไปรอบใหญ่ แล้วยังไปเสียเวลาอยู่กับอิ่นซีเิ ฟ้ามืดไปแล้ว ก็เลยพ้นกับ่ที่คนเยอะไปพอดี
พวกเขาเดินขึ้นบันได เดินไปหยุดหน้าแท่นนั้น ที่แท่นนั้นมีไฟเผาจริงๆ ด้วยแต่ด้านในไม่มีเชื้อเพลิงเลย มีแค่ไข่มุกใสสีทองๆ แซมเส้นสีแดง
ไฟนั้นเผาไหม้เบาๆ ตอนนี้เดินเข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้ยังไม่รู้สึกร้อนอันใด ไฟที่เผาเองก็ไม่สูง แค่มีพุ่งขึ้นมาบ้างบางที เมื่อเดินเข้าไปใกล้แท่นกลมอ๋าวหรานถึงเห็นว่าเสาที่ตั้งอยู่ตรงกลางนั้นไม่ได้ใช้ฝีมืุ์สลักขึ้น เหมือนกับมีอยู่เองโดยธรรมชาติ ตัวเสาตะปุ่มตะป่ำ
อ๋าวหรานถามว่า “เสานี่คืออะไร?”
จิ่งฝานตอบว่า “เห็นไข่มุกที่เผาไหม้อยู่ข้างในนั่นไหม?”
อ๋าวหรานพยักหน้า
จิ่งฝาน “เสานี้ถูกหลอมขึ้นมาจากไข่มุกจำนวนมากที่มีอยู่มากมายปีแล้วปีเล่า”
อ๋าวหรานเล่นไข่มุกในมือ ถามอย่างสงสัย “สรุปว่าไข่มุกนี่มันหลอมรวมกันหรือไม่หลอมรวมกันแน่ล่ะ?”
จิ่งเซียงตอบ “ทุกปีมีไข่มุกจำนวนนับไม่ถ้วนถูกโยนลงไป อันที่หลอมรวมได้ถึงจะหลอมรวมกัน ส่วนพวกที่หาไข่มุกที่จะหลอมเข้าด้วยกันไม่ได้ก็จะจมลงไป ค่อยๆกลืนไปกับเสานี้ เสานี้เดิมทีไม่สูงเลย สูงได้ขนาดนี้ก็เพราะค่อยๆ สั่งสมมาทุกปี”
อ๋าวหรานพูดอย่างประหลาดใจ “ความหมายคือมุกนี้ไม่อาจถูกไฟเผาสลายไปได้ มีแค่หาไข่มุกที่ถูกลิขิตไว้เจอถึงจะหลอมรวมกันได้?”
จิ่งเซียงพยักหน้า
อ๋าวหรานถามอีกว่า “หากไข่มุกที่โยนลงไปหลอมรวมกับไข่มุกอีกอันแล้ว แต่เ้าของไข่มุกอีกอันไม่อยู่จะทำอย่างไร?”
จิ่งจื่อตอบ “ได้ยินมาว่าจะมีความรู้สึกถึงกันได้ ไข่มุกของคนทั้งสองหลอมรวมเข้าด้วยกัน หัวใจก็จะถูกกระทบอย่างรุนแรง ก็เหมือนกับการตกหลุมรัก”
อ๋าวหรานพยักหน้าอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่เห็นเคยได้ยินเลยว่านิยายเื่นี้เป็หมวดแฟนตาซี ในต้นฉบับค่อนข้างเอนเอียงไปทางแนวจอมยุทธ์นะ แต่ว่า คิดดูแล้วก็เป็แค่หนังสือเล่มหนึ่ง ก็ต้องมีเื่ที่ไม่ธรรมดาอยู่บ้าง
อ๋าวหรานยกไข่มุกขึ้นมาเบื้องหน้า มองเลยไข่มุกออกไปยังไฟที่อยู่ข้างหน้า “ไข่มุกนี่โยนลงไปก็ใช้ได้แล้วใช่หรือไม่?”
จิ่งเซียงพยักหน้า พูดอย่างดีใจ “พวกเราโยนพร้อมกัน”
พวกเขาพยักหน้า แค่โยนลงไป ไข่มุกนั่นก็กลืนลงไปในไฟ เมื่อรวมกับไฟ ก็ดูเจิดจรัสอย่างยิ่ง ทั้งสี่คนรออยู่นานก็ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ไข่มุกไม่ขยับไปไหนเลย
จิ่งเซียงพูดอย่างโศกเศร้า “ไม่มีนี่ ปีหน้าค่อยโยนอีก”
จิ่งจื่อหัวเราะเยาะ “ไม่แน่ปีหน้าเ้ายังไม่ทันได้โยน ก็แต่งออกไปก่อนแล้ว”
อ๋าวหรานเองก็พูดว่า “ความรู้สึกต้องเดินตามหัวใจ ถ้าหากต้องมาพึ่งพาไข่มุกที่ไม่มีความรู้สึก เช่นนั้นก็ไม่น่าสนุกน่ะสิ”
จิ่งเซียงพยักหน้า “ข้ารู้ ข้าก็แค่สงสัย”
อ๋าวหราน “แมวตายเพราะความสงสัยนะ”
จิ่งเซียงทำปากยื่น
จิ่งฝาน “ไปเถิด กลับกัน”
จิ่งเซียงพยักหน้าแล้วก็หันกลับไปมองแท่นบุพเพพูดอย่างตกตะลึงว่า “รอเดี๋ยว! รอ...เดี๋ยวก่อน! ไข่มุกของเ้ากำลังขยับ!”
อ๋าวหรานใ “เป็ไปได้อย่างไร?”
จิ่งจื่อ “ทำไมไข่มุกของพี่จิ่งฝานก็ขยับด้วย!”
พวกเขารีบพุ่งไปที่แท่นนั้น ไข่มุกของอ๋าวหรานกับจิ่งฝานค่อยๆ ขยับเข้าหากันด้วยความเร็วในระดับที่ตาเปล่ามองเห็นได้
จิ่งจื่ออึ้งไป “ไม่...ไม่จริงกระมัง?”
อ๋าวหราน “!!!”
จิ่งเซียงยืนะโอย่างตื่นเต้นอยู่ด้านข้าง “รวม...รวมเข้าด้วยกันแล้ว! รีบดูเร็ว”
ไข่มุกสองเม็ดนั้นราวกับว่ายน้ำ หลีกหนีออกจากสิ่งรอบข้าง แค่สนใจจะรวมเข้าด้วยกันเท่านั้น แล้วค่อยๆ ลุกไหม้ในกองเพลิง สลายหายไปในอากาศ คนที่มองอยู่ก็ราวกับเห็นสัตว์ประหลาดก็ไม่ปาน
จิ่งฝานสีหน้าแปลกประหลาด หน้าตาไม่อยากจะเชื่อ
อ๋าวหรานที่ปกติมีสีหน้าสงบนิ่งอยู่เป็ปกติก็เปลี่ยนสีหน้า เวรเอ้ย
จิ่งจื่อถอนหายใจอย่างตะลึง “หลอมรวมเข้าด้วยกันจริงๆ ด้วย! นี่มันอะไรกันแน่!”
อ๋าวหรานพูดด้วยความโกรธ “เื่อะไรกัน เ้าว่ามันเื่อะไรกันล่ะ? แน่นอนว่าก็คือแท่นบุพเพของพวกเ้าเนี่ยมันเป็ของปลอม เอาไว้หลอกเด็กไม่รู้เื่เช่นพวกเ้า”
จิ่งเซียงมองอ๋าวหราน ด้วยสีหน้าตะลึงงัน “อ๋าวหราน เ้าเป็พี่สะใภ้ข้าหรือ!”
อ๋าวหราน “!!!” บัดซบ!
อ๋าวหรานดีดกะโหลกนางไปทีหนึ่ง “พี่สะใภ้บ้าอะไรล่ะ! ข้าเป็พี่สะใภ้เ้าได้หรือ? ข้าเป็ชายชาตรี! จะเป็พี่สะใภ้เ้าได้อย่างไร?”
จิ่งจื่อยังนับว่าสงบนิ่ง “บอกว่าพอไข่มุกหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้วจะสื่อใจถึงกันได้ พวกเ้า...มีความรู้สึกอะไรบ้างหรือไม่?”
อ๋าวหราน จิ่งฝาน “จะเป็ไปได้อย่างไร! ไม่มีแน่นอน!”
จิ่งจื่อ “!!!”
จิ่งเซียง “ใจ...ใจตรงกันมากเลย”
อ๋าวหราน “เงียบนะ!”
จิ่งฝาน “เงียบนะ”
จิ่งจื่อ “......”
จิ่งเซียง “......”
อ๋าวหรานโกรธแล้ว “อย่ามาพูดคำเดียวกับข้า”
จิ่งฝานกัดฟัน “ข้าก็คิดเช่นนั้น!”
จิ่งจื่อส่งเสียงหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน “เหมือนจะใจเชื่อมถึงกันอยู่จริงๆ ด้วย”
จิ่งเซียงกังวลอยู่ข้างๆ “อ๋าวหราน ต่อไปข้าจะเรียกเ้าว่าอ๋าวหรานดี? หรือเรียกพี่สะใภ้ดี?”
อ๋าวหรานกุมขมับ “แม่นาง เ้าไม่คิดว่าตัวเองคิดมากเกินไปแล้วหรือ?”
จิ่งฝานสงบลงเยอะแล้ว ขรึมหน้าพูดว่า “กลับเถอะ!”
หันกายจากไป แต่ทว่าแค่ก้าวเท้าออกไปก้าวหนึ่ง ก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้นมาทีหนึ่ง ชัดเจนอย่างยิ่ง กระเด็นกระดอนอยู่ในอก ทำให้คนไม่อาจมองข้ามมันไปได้ จิ่งฝานอดไม่ไหวเอื้อมมือไปจับตรงหัวใจ ทั้งร่างก็ชะงักไปนิดหนึ่ง
จิ่งเซียงเห็นเขาหยุดนิ่ง ถามอย่างสงสัยว่า “ท่านพี่ เป็อะไร?”
จิ่งฝานรีบเอามือลง ส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไร ไปกันเถิด”
พวกเขาเดินอย่างรีบร้อน สีหน้าแปลกประหลาด ไม่รู้ว่าควรจะพูดเื่อะไรขึ้นมาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์กระอักกระอ่วนนี้ดี เมื่อมาถึงหน้าตำหนักเทพก็พบว่าคนไม่ได้แน่นขนัดเหมือนตอนเข้ามาอีกแล้ว ในแม่น้ำยิ่งสงบนิ่ง มีแค่เรือจอดเป็แถวๆ อยู่ข้างๆ บางครั้งก็จะขยับขึ้นลงตามแรงคลื่น ส่วนจุดแต้มสีแดง สีชมพูพวกนั้นไม่มีแล้ว เสียงพูดคุยหัวเราะแน่นอนว่าก็ไม่มี
จิ่งฝานเสียงสงบนิ่งพูดว่า “ฟ้ามืดแล้ว พรุ่งนี้รีบตื่นเช้าเพื่อกลับหมู่บ้าน รอบหน้าถ้าว่างค่อยมาเที่ยวอีก”
ณ สถานการณ์ตอนนี้นั้น
ทุกคนทำแค่พยักหน้า
ที่บังเอิญก็คือพวกเขาเพิ่งเดินออกจากประตู หลางฉาก็เดินขึ้นมารับ พูดอย่างเสียใจว่า “พวกท่านจะกลับไปแล้วหรือ? ข้ามาช้าไป ไม่เช่นนั้นคงจะสามารถเที่ยวกับพวกท่านได้”
พูดแล้วก็หันไปมองทางจิ่งฝาน “ได้ยินว่าที่นี่สามารถขอเนื้อคู่ได้ แค่โยนไข่มุกลงไป ไข่มุกนั้นหลอมรวมกับไข่มุกของผู้อื่น ก็จะได้สมปรารถนาในเื่เนื้อคู่ อัศจรรย์มาก คุณชายจิ่งโยนแล้วหรือยัง? ไม่รู้ว่าไข่มุกของข้าจะหลอมรวมเข้ากับของท่านได้หรือเปล่า”
อ๋าวหราน “......”
จิ่งเซียง “......”
จิ่งจื่อ “......”
จิ่งฝาน “......”
จำเพาะต้องมาเอ่ยถึงเื่ที่ไม่ควรเอ่ยถึงเสียได้
จิ่งเซียง “เ้าอย่าได้คิดฝันไปเลย ข้า...ข้ามีพี่สะใภ้แล้ว ไม่ใช่เ้า!”
อ๋าวหราน “......” หูหนวกไปเลยคงจะดีกว่าใช่หรือไม่?
หลางฉาหันมองทางจิ่งฝานอย่างสงสัย “จริงหรือ?”
จิ่งฝานไม่สนใจ เดินเลยผ่านไปเลย พูดว่า “ไปได้แล้ว!”
พวกจิ่งเซียงรีบตามไป
เหลือแค่หลางฉาที่ทำสีหน้าตกตะลึง
เพิงเล็กๆ ที่อยู่สองฝั่งของแม่น้ำเก็บไปเยอะแล้ว อ๋าวหรานหันศีรษะไปก็เจอเข้ากับหยูชิงรุ่ย หยูชิงรุ่ยหันศีรษะมามองเข้ากับอ๋าวหรานพอดี รีบพูดอย่างยินดีว่า “คุณชายทั้งหลายเองก็มาเที่ยวชมตำหนักเทพหรือ?”
จิ่งเซียงมองคนผู้นั้น คิดอยู่พักหนึ่งก็พูดอย่างตกตะลึงว่า “เ้าเป็พ่อค้าเลวที่ขายปิ่นคนนั้น?”
หยูชิงรุ่ยใบหน้าจริงจัง “ทำไมถึงเป็พ่อค้าเลวล่ะ? ข้าเป็พ่อค้าแสนดีที่หาได้อยากยิ่งในโลกนี้เชียวนะ”
จิ่งจื่อเหล่ตามองเขาไปทีหนึ่ง “พ่อค้าแสนดี? ปิ่นอันเดียวขายด้วยราคาห้าก้อนทองคำ?”
หยูชิงรุ่ยพูดอย่างมีหลักการ “วันนี้ข้าเอาแค่ทองห้าสิบกรัม”
จิ่งจื่อ “เ้า! แบบนี้ยังเรียกว่าเป็ค้าแสนดี?”
หยูชิงรุ่ยอธิบายว่า “ข้าเปลี่ยนแปลงไปตามบุคคล สำหรับคนมีเงินเช่นพวกเ้าข้าก็ต้องเก็บแพงหน่อย ส่วนคนที่จนหน่อยข้าก็ต้องคิดถูกหน่อย ไม่งั้นพวกท่านก็ไม่ได้ใช้เงิน ส่วนคนจนก็ซื้อไม่ไหว”
จิ่งจื่อ “......”
หยูชิงรุ่ย “ท่านก็อย่าเอาแต่ถลึงตามองข้าเลย ข้าเป็พ่อค้าแสนดีจริงๆ นี่ ท่านดู”
พูดแล้ว ก็ล้วงปิ่นออกมาจากอกสองอัน ไม่มีลวดลายอะไรมากนัก แต่การออกแบบกลับดูโดดเด่นไม่ธรรมดา ดูสง่างาม ปิ่นทั้งสองลักษณะคล้ายกันมากแต่ก็มีส่วนที่ต่างกันอยู่
หยูชิงรุ่ยพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ปิ่นสองอันนี้ตอนแกะสลักไม่ได้เปลือยงแรงไปมากเท่าไร แต่จะแกะอย่างไรนี่แหละที่ทำให้ข้าต้องเสียหยาดเหงื่อแรงกายไปเยอะ”
หยูชิงรุ่ยมองไปทางอ๋าวหรานกับจิ่งฝาน “วันนั้นที่ขายปิ่น ท่านทั้งสองซื้อไม่ทัน ดังนั้นข้าจึงตั้งใจทำขึ้นมาสองอัน เข้ากันกับลักษณะของท่านทั้งสองมาก”
พูดแล้วก็ยัดลงใส่มือของอ๋าวหรานกับจิ่งฝานคนละอัน
อ๋าวหรานอึ้ง “เท่าไร?”
หยูชิงรุ่ยหน้าตาไม่พอใจ “เอาเงินที่ไหนกัน? ข้าให้เ้าทั้งสอง ข้าหยูชิงรุ่ยบอกแล้วว่าตนเป็พ่อค้าแสนดี วันนั้นได้เงินจากพวกท่านไปเยอะแล้ว วันนี้จะกล้ารับเงินอีกได้อย่างไร?”
หยูชิงรุ่ยพูดต่อว่า “ข้าเองก็เป็คนรักพวกพ้อง ข้าชอบพวกเ้า นับพวกเ้าเป็สหาย”
อ๋าวหราน “......” เพราะว่าได้ไปพอแล้วล่ะสิ
หยูชิงรุ่ย “เอาล่ะ ข้าต้องไปแล้ว ข้าอยู่นี่เป็วันสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้ก็ต้องไปที่อื่นต่อ หากมีวาสนาค่อยพบกันอีก”
จิ่งเซียงมองดูแผ่นหลังที่โดดเด่นของหยูชิงรุ่ย “คนคนนี้พิลึกจริง”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้