อาจเป็เพราะเซี่ยเสี่ยวหลานวาดภาพอนาคตได้น่าประทับใจเหลือเกิน ใจหลิวเฟินไม่กล้าเชื่อ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอยากเชื่อดูสักครั้ง
ใช้ชีวิตในชนบทนั้นไม่ง่ายจริงๆ แม้หลังจบสิ้นการแบ่งปันผลผลิตในครัวเรือน[1] แล้ว ชีวิตชนบทดีขึ้นกว่า่ยุคหกศูนย์ถึงเจ็ดศูนย์ แต่ก็ยังห่างจาก ‘มีชั้นบนชั้นล่าง มีไฟฟ้าโทรศัพท์’ ของชีวิตเสี่ยวคัง [2] อีกไกล โดยเฉพาะชนบทอย่างเขตอันชิ่ง ไม่ใช่พื้นที่ชนบทที่อยู่ติดทะเล ไร้ซึ่งผลผลิตทางเศรษฐกิจ และไม่มีธุรกิจท้องถิ่นขนาดใหญ่ หลิวเฟินไม่เข้าใจการวิเคราะห์สภาพเศรษฐกิจของทั้งพื้นที่ เธอแค่้าเห็นหมู่บ้านต้าเหอ เห็นหมู่บ้านชีจิ่ง รวมถึงคนรอบๆ ว่าเขาใช้ชีวิตกันอย่างไร ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานได้อยู่ในชนบทต่อไป อนาคตจะเป็เช่นไร ช่างเป็ชีวิตที่เรียบง่ายไม่หวือหวาเหลือเกิน
เพราะชื่อเสียงของเซี่ยเสี่ยวหลานไม่เสนาะหู หลิวเฟินไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าลูกจะสามารถหาคู่หมายแบบไหนได้
ทว่าวาจาของเซี่ยเสี่ยวหลานทำให้หลิวเฟินมีความหวัง และไม่ว่าพูดอย่างไรเธอกับหลิวหย่งก็เป็พี่ชายน้องสาวร่วมครรภ์มารดาเดียวกัน วิธีคิดของทั้งคู่ในหลายๆครั้งจึงไปในทางเดียวกัน ย้ายไปให้ไกลเสีย เช่นนั้นก็ไม่มีคนรู้ว่ากิตติศัพท์ของเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ดีแล้วเช่นนั้นสินะ?
ลูกสาวทำงานเก่งเช่นนี้ ทั้งไม่มีชื่อเสียคอยเป็อุปสรรค เอาอะไรมาหาคู่หมายสักคนไม่ได้กัน?
หลิวเฟินทิ้งก้อนหินในใจไปมากกว่าครึ่ง เธอไม่มีเวลาไปคิดเื่ของตระกูลเซี่ยแล้ว ไม่ว่าเซี่ยต้าจวินมาแล้วทำอย่างไรก็ตาม แต่เธอจะไม่กลับไป ตระกูลเซี่ยไม่แบ่งครอบครัว ต่อให้เธอทำงานมากเพียงใด เงินที่หาได้ก็ต้องมอบให้ผู้มีอำนาจมากกว่าแล้วส่งต่อให้เซี่ยจื่ออวี้ทั้งหมดอยู่ดี หลิวเฟินรู้ตัวว่าเธอไม่มีความสามารถ แต่เซี่ยเสี่ยวหลานทำธุรกิจคนเดียวเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ถ้าเธอช่วยได้สักหน่อย เซี่ยเสี่ยวหลานจะได้ทำงานน้อยลงเหนื่อยน้อยลง
หญิงสาวชนบทอายุได้สิบแปดสิบเก้าก็ออกเรือนแล้ว ได้ยินมาว่าผู้หญิงในเมืองล้วนรอถึงหลังอายุ 20 ปีค่อยแต่งงาน
หากมีการงานที่จริงจังแล้ว อายุ 20 กว่าค่อยแต่งงานก็ยังไม่สาย
หลิวเฟินราวกับมีแรงขับเคลื่อนทั่วทั้งสรรพางค์กาย กินข้าวเสร็จเธอก็กระตือรือร้นเดินเร่ทั่วหมู่บ้าน ดูว่าบ้านไหนมีไข่ไก่จะขายหรือไม่ จับปลาไหลได้หรือเปล่า คิดเพียงว่าอยากรีบเก็บเงินซื้อบ้านในเมือง อย่าได้ประวิงยื้อเวลาเกี่ยวกับเื่สำคัญของชีวิตเซี่ยเสี่ยวหลานเอาไว้!
“แม่ของหลานถือว่ามีชีวิตใหม่อีกครั้งแล้ว”
หลิวหย่งเองก็รู้จักรับผิดชอบช้าไป ตอนวัยหนุ่มเหลวไหลไม่หยุดหย่อน อีกทั้งไม่ได้สั่งสอนหลิวเฟินให้ดี พอตอนนี้หลิวเฟินฮึกเหิมอยากจะใช้ชีวิตที่เป็สุข ตั้งใจมีส่วนร่วมกับธุรกิจของเซี่ยเสี่ยวหลาน คงไม่ต้องพูดว่าหลิวหย่งยินดีขนาดไหน
เซี่ยเสี่ยวหลานเล่าเื่ที่วันนี้ไปซางตูให้เขาฟัง
แน่นอนว่าไม่กล่าวถึงว่าไปด้วยกันกับโจวเฉิง
เธอเพียงแต่บอกว่าซางตูมีประชากรเยอะ พื้นฐานเศรษฐกิจดีกว่าเขตอันชิ่ง หากยอมทนลำบากหรือมีฝีมือบ้าง อยู่ที่นั่นจะพัฒนาได้อย่างง่ายดาย เธอพูดจนหลิวหย่งตื่นเต้นมาก “แต่ไหนแต่ไรตระกูลหลิวก็หนีภัยแล้งมาหมู่บ้านชีจิ่ง ที่นี่ไม่ใช่รกรากของพวกเรา ที่จริงแล้วอยู่ไหนก็เหมือนกัน ลุงอยากเปลี่ยนทะเบียนบ้านของน้องชายหลานเป็ทะเบียนบ้านในเมือง ลำบากแค่ไหนย่อมคุ้มค่า”
หลิวหย่งครุ่นคิดแล้วพูดว่า่นี้ตนจะออกไปข้างนอกสักหน
เซี่ยเสี่ยวหลานเดาว่าเขาออกไปหาเงิน แม้ตอนนี้จะบอกว่าหลิวหย่งทำงานก่อสร้าง แต่ถึงตีเซี่ยเสี่ยวหลานให้ตายเธอก็ไม่ยอมเชื่อเด็ดขาด
ถ้าอย่างนั้นลุงของเธอทำอะไรกันแน่นะ?
เซี่ยเสี่ยวหลานสงสัยถึงที่สุด
ทว่าก่อนออกจากบ้าน หลิวหย่งไม่วางใจเื่เซี่ยเสี่ยวหลานและมารดา กลัวว่าบ้านเซี่ยจะส่งคนมาก่อเื่อีก
“ยังมีไอ้อันธพาลสามคนนั่น พวกมันจ้องจะลงมือกับหลาน รู้สึกว่าไม่ใช่เื่ธรรมดาเลย ไม่ได้แล้ว ฉันต้องรออันธพาลสามคนนี้ได้รับโทษก่อนแล้วค่อยออกไปข้างนอก”
เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ใคร่รู้
เธอััได้ว่าเบาะแสที่เดี๋ยวหลบเดี๋ยวปรากฏใกล้จะร้อยเรียงเข้าด้วยกันแล้ว
วันต่อมาเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้เข้าเมือง เธอวิ่งวุ่นไปทั่วทั้งวัน ทั้งยังรับซื้อปลาไหลกับไข่ไก่อีกจำนวนไม่น้อย
และอีกวันต่อมาเธอเดินไปจนถึงทางแยกเดิม ได้พบกับโจวเฉิงอีกครั้ง
แต่วันนี้โจวเฉิงไม่ได้มาคนเดียว เขาและคังเหว่ยขับต้าตงเฟิงรออยู่ตรงนั้น
“นี่พวกพี่จะไปแล้วหรือ?”
คังเหว่ยดูเหมือนรู้สึกแย่ ก่อนหน้านี้เขาเข้าใจผิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานคือผู้หญิงที่กิริยาไม่เหมาะสม ทัศนคติที่มีต่อเธอเรียกได้ว่าเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง ชายหนุ่มอับอายจึงดูกระอักกระอ่วนต่อหน้าเซี่ยเสี่ยวหลาน
ให้ตาย เขารู้สึกผิดต่อเกี๊ยวหมูไชเท้าดองที่เซี่ยเสี่ยวหลานนำมาให้เขาเสียจริง!
โจวเฉิงะโลงจากรถ “อืม ที่ปักกิ่งส่งโทรเลขมาแล้ว เวลาที่พวกเราอยู่ในเขตอันชิ่งนั้นไม่น้อย ตอนนี้ต้องรีบกลับไป แต่เธอไม่ต้องกังวลนะ ฉันจะมาอีกแน่”
เซี่ยเสี่ยวหลานถูกหนุ่มน้อยเกี้ยวพาราสี รู้สึกคับอกคับใจพิกล
ทว่าอยู่กับโจวเฉิงนั้นไม่ได้ทุกข์ทน วิธีที่เขาคนนี้ปฏิบัติกับผู้อื่นสอดคล้องกับรสนิยมของเซี่ยเสี่ยวหลานทีเดียว
เขาพูดว่ายังจะกลับมาอย่างจริงจัง ในเขตอันชิ่งมีอะไรที่ดึงดูดโจวเฉิงได้อีก?
เซี่ยเสี่ยวหลานเพียงแต่คิดว่าเช่นนั้นก็ยอมตามน้ำไปแล้วกัน อย่างไรเสียตอนนี้เธอยังไม่ว่างคิดเื่ความรู้สึกส่วนตัว ในขณะเดียวกันก็มิได้รังเกียจโจวเฉิง
“พวกพี่ระวังทางหน่อยนะ ขับรถใส่ใจความปลอดภัยด้วย มาอันชิ่งเมื่อไร ไว้ให้ฉันเลี้ยงต้อนรับพวกพี่อีกนะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานพูดจาด้วยความเอื้ออาทร โจวเฉิงมีรอยยิ้มน้อยๆ ให้ “เธอรอนะ ตอนฉันมาอันชิ่งครั้งหน้า เดี๋ยวเอาของดีมาให้เธอด้วย”
เขาไม่แม้แต่ยอมให้เซี่ยเสี่ยวหลานปฏิเสธ จากนั้นตัวเองก็ะโขึ้นรถไปพร้อมโบกมือให้กับเซี่ยเสี่ยวหลาน รถต้าตงเฟิงทำงานส่งเสียงของเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม คังเหว่ยยืดตัวส่วนบนออกมาจากหน้าต่างแล้วหัวเราะซุกซน
“ไว้พบกันใหม่นะ พี่สะใภ้!”
ต้าตงเฟิงขับไปอีกทิศทาง ออกจากเขตอันชิ่งกลับสู่เมืองปักกิ่ง
ในกระจกมองข้างเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานยืนอยู่ที่เดิมสักพัก จากนั้นก็ขี่จักรยานไปทางเข้าเมือง คังเหว่ยไม่เข้าใจเอาเสียเลย
“พี่เฉิงจื่อ ทำไมพี่ไม่บอกพี่สะใภ้ว่าพี่จัดการจางเสเพลปากสกปรกแทนเธอไปแล้ว?”
ทำเื่ดีงามแต่ไม่ทิ้งชื่อไว้ ทั้งยังแยกจากกันไปคนละทิศ เกิดเซี่ยเสี่ยวหลานถูกผู้อื่นจีบไปก่อนเล่า ตามความคิดของคังเหว่ย เื่แบบนี้ต้องรีบบอกเซี่ยเสี่ยวหลาน ใช้สิ่งนี้พิชิตความรู้สึกดีของสาวงามเสีย อีกอย่างเดิมทีคังเหว่ยและโจวเฉิงจะเดินทางั้แ่เมื่อวานแล้ว ทว่าโจวเฉิงรอที่ทางแยกในตัวเมืองอยู่นานสองนาน เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่มีวี่แววว่าจะเข้าเมืองเลย โจวเฉิงจึงเลื่อนเวลาเดินทางมาจนถึงเช้าวันนี้
“นายเคยมีคนรักไหม?”
โจวเฉิงถามเขากลับ มิใช่ว่าผู้ชายเขาแก้ปัญหากันอย่างเงียบๆ หรอกหรือ? พวกโอ้อวดนั้นล้วนไม่ฉลาดเอาเสียเลย และโจวเฉิงก็ไม่้าให้เซี่ยเสี่ยวหลานนึกถึงเื่ราวที่ไม่เบิกบานใจ จึงไม่เคยคิดอวดดีแสดงผลสัมฤทธิ์
คังเหว่ยส่ายหน้า “เหอะ สาวๆ พวกนั้นวุ่นวายกันเหลือเกิน ถ้าวันนี้ผมรีบหาคู่หมาย พรุ่งนี้ย่าก็กล้าส่งผมไปสถานีพลเมือง[3] แล้ว ดีนะที่ประเทศเราแก้กฎหมายการแต่งงานแล้ว ยังเถลไถลได้อีกตั้งสองปี!”
คังเหว่ยอ่อนกว่าโจวเฉิงแค่ครึ่งปีเท่านั้น ว่ากันตามปีคริสต์ศักราชเขาก็อายุ 20 ปีเต็มพอดี คังเหว่ยเกิดหลังจากบิดาเสียชีวิตไป บิดาของเขาสละชีพในาเวียดนาม ย่าของคังเหว่ยร้องไห้จนเกือบตาบอด พอคังเหว่ยเกิดมาหญิงชราถึงมีที่พักพิงใจ เห็นคังเหว่ยเป็ดั่งแก้วตาดวงใจ เลยเร่งให้คังเหว่ยรีบแต่งงานเสีย จะได้จุดธูปหอม [4] แทนตระกูลคังสืบไป
“ไม่ใช่ผู้ชาย 20 ปีกับผู้หญิง 18 ปีก็แต่งงานกันได้แล้วหรือ?”
โจวเฉิงยังเคยคิดเลย เขากับเซี่ยเสี่ยวหลานเหมาะสมกันเหลือเกิน เขาเพิ่งอายุ 20 ปีก็พานพบกันพอดี ไม่เปลืองเวลาเลยแม้แต่น้อย ขอแค่เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้าตกลง ทั้งสองคนจะแต่งงานกันเมื่อไรย่อมได้
คังเหว่ยถูกย่าบังคับให้รีบแต่งงาน แม้จะไม่รู้กฎหมายด้านอื่นเลย แต่ใน‘กฎหมายสมรส’ สำหรับเขานั้นคือผู้เชี่ยวชาญโดยแท้ “แก้เมื่อ 3 ปีก่อน บุรุษต้องอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปี สตรีต้องอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี นี่มันช่วยชีวิตไว้ชัดๆ !”
คังเหว่ยสุขสมอารมณ์หมาย ยิ้มไปยิ้มมาพลันรับรู้ได้ว่าบรรยากาศไม่ค่อยปกติ
เอ๋ ทำไมพี่เฉิงจื่อดูไม่ร่าเริงนะ?
คังเหว่ยนึกถึงการคาดเดาที่อาจหาญอย่างหนึ่งในบัดดล... ไม่หรอกน่า นี่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วันเอง ดูตัวยังไม่เร็วเท่านี้เลย!
ถึงแม้เขาจะเปลี่ยนมาเรียกเซี่ยเสี่ยวหลานว่าพี่สะใภ้ แต่ก็เพื่อทำให้โจวเฉิงดีใจเท่านั้น เขาและพี่เฉิงจื่อรู้เห็นชัดเจนแล้วว่าเชื่อเสียงอันไม่น่าฟังของเซี่ยเสี่ยวหลานมีคนเล่นสกปรกอยู่ แต่คนอื่นเขาไม่รับรู้ด้วย เซี่ยเสี่ยวหลานจะแต่งงานเข้าตระกูลโจวโดยราบรื่นได้อย่างไร โจวเฉิงช่างกระตือรือร้นอยู่ฝ่ายเดียวเสียจริง
ทว่าคังเหว่ยไม่พูดออกไปแน่ เขาไม่ชวนคนร้ายกาจคุยก่อนหรอก!
เชิงอรรถ
[1]包产到户 สัญญาการแบ่งปันผลผลิตในครัวเรือน คือ ระบบร่วมการผลิตผลผลิตการเกษตร จากนั้นรวบรวมไว้ด้วยกันทั้งหมด หลังส่งให้กับรัฐแล้วจึงจะแบ่งสันปันส่วนให้แต่ละครัวเรือน
[2]小康生活 ชีวิตเสี่ยวคัง หมายถึง ระดับฐานะที่ไม่รวยไม่จน พอมีอันจะกินบ้าง อยู่ได้โดยมีสาธารณูปโภคพื้นฐานครบครัน ‘มีชั้นบนชั้นล่าง มีไฟฟ้าโทรศัพท์’ ในที่นี้คือได้อยู่ในที่อาศัยแบบอาคารหลายชั้นใน มีไฟฟ้าและสัญญาณโทรศัพท์ให้ใช้
[3]民政局 สถานีกิจการพลเมือง คือ สำนักงานที่ให้บริการประชาชนในธุระทั่วไปของพลเมือง คล้ายกับที่ว่าการอำเภอของประเทศไทย
[4]延续香火 จุดธูปหอมสืบไป มีที่มาจากความเชื่อว่าผู้ชายมีหยิน เหมาะแก่การเป็ตัวแทนจุดธูปไหว้บรรพบุรุษ