คำพูดของหลิวเซียนกู ทำให้ฉินหยีหนิงไม่พอใจเท่าใดนัก
ปากของท่านนี้เหมือนมีกลิ่นทองแดง รอยยิ้มและสายตาของนางนั้นดูฉลาดเฉลียว ไม่คล้ายบรรพชิตเต๋าเสียเลย นางดูเป็คนที่ทำการค้าเก่งกาจมากกว่าผู้จัดการจงเสียอีก ทั้งยังเป็เถ้าแก่ที่ช่างขูดเืขูดเนื้ออีกด้วย
ฉินหยีหนิงอดไม่ได้ที่จะกังวลเื่ของถางเิ เด็กสาวเคยอาศัยอยู่ที่นี่มาครึ่งปีแล้ว นางไม่ได้โดนกวานจู่หน้าเืผู้นี้ทำให้ลำบากใช่หรือไม่นะ?
ใครจะรู้ ถางเิกลับมีสีหน้ายิ้มแย้มและรีบโผเข้าไปในอ้อมกอดของหลิวเซียนกู นางเอ่ยขึ้นอย่างน่ารักและไร้เดียงสาว่า “ท่านอาจารย์”
“ไอ้หยา จิ้งเจิ่นหรือ ไม่ได้เจอกันนานเลย เ้ายังสบายดีอยู่หรือไม่?”
“ท่านอาจารย์ ข้าสบายดี คุณหนูฉินรับข้าไว้ วันข้างหน้าข้าจะอยู่กับนางแล้ว นางเป็คนที่มีจิตใจดี จะต้องดีกับข้าอย่างแน่นอน ท่านอาจารย์วางใจได้เ้าค่ะ”
เซียนกูเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางก็มองกวาดสายตามาที่ฉินหยีหนิงซึ่งยืนอยู่ข้างหลังฮูหยินติ้งกั๋วกง
ฉินหยีหนิงมองดูั์ตาอันแวววาวของอีกฝ่ายที่กำลังมองมา ฉับพลันมันทำให้นางรู้สึกอึดอัดทำตัวไม่ถูก ให้ความรู้สึกเสมือนว่าฝ่ายนั้นกำลังมองดูสินค้าเพื่อการค้าขาย ราวกับกำลังประเมินว่าตัวของนางขายได้เงินมากถึงเพียงใด
หลิวเซียงกูจ้องมองฉินหยีหนิง ฝ่ายคุณชายอีกท่านก็เผลอเหลือบมองฉินหยีหนิงอย่างไม่ตั้งใจเช่นกัน ส่วนผู้ติดตามของเขาที่อยู่ด้านหลังกลับเบิกตามองนางแทบไม่กะพริบ เห็นได้ชัดว่าเขามีความสนใจคนของฮูหยินติ้งกั๋วกงอย่างมาก
ฉินหยีหนิงหันมองชายหนุ่มซึ่งกำลังจ้องมองตน ทำให้สายตาของทั้งสองสบประสานกัน และนางก็รู้สึกเขินอายอยู่หลายส่วน
ชายหนุ่มผู้นี้ดูอ่อนโยนมาก ทว่าเขาทำตัวราวกับไม่รู้มารยาท เพราะถ้าเขารู้ธรรมเนียมปฏิบัติจริง ในกรณีที่มีสตรีอยู่ในที่แห่งนั้นด้วย เขาควรหลีกสายตา ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์จะไม่ไล่เขาออกไปก็เถอะ แต่ทำไมพวกเขายังคงจ้องมองนางอยู่อีกเล่า
หลิวเซียนกูทำเหมือนมองไม่เห็น “ล่าวเต้ากูความจำไม่ค่อยดีนัก เห็นฮูหยินพาคุณหนูมาด้วย นึกไม่ถึงเลยว่าข้าพูดมากไปหน่อย จนลืมบอกให้พวกท่านนั่งลงเสียแล้ว รีบนั่งเถิด” นางพูดพลางพาฮูหยินติ้งกั๋วกงให้นั่งลงบนเก้าอี้ด้านขวา ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามคุณชายท่านนั้นพอดี
ฉินหยีหนิงขยับไปยืนอยู่ข้างหลังฮูหยินติ้งกั๋วกงอย่างให้ความเคารพ
ถางเิยืนอยู่ข้างๆ หลิวเซียนกูเหมือนๆ กับบรรพชิตเต๋าผู้ยังเยาว์วัยคนอื่นๆ นางมีท่าทีที่ใกล้ชิดสนิทสนมอย่างมาก มิหนำซ้ำนางยังเกาะแขนหลิวเซียนกูโดยไม่ปล่อยอีกด้วย
เห็นกิริยาถางเิเช่นนั้น ที่เคยคิดว่าอาจารย์ท่านนี้หน้าเื จึงต้องเปลี่ยนความคิดดังกล่าวไปหลายส่วน
ถางเิไม่ได้โง่เขลาเสียหน่อย ถ้าอาจารย์ท่านไม่ดีต่อนาง จะให้ความใกล้ชิดสนิทสนมได้อย่างไร? ดูเหมือนว่าหลิวเซียนกูจะไม่ใช่คนเลวร้าย
ฉินหยีหนิงบอกกับตัวเองในใจว่า ไม่แน่นางกำลังมองดูคนที่หน้าตาอยู่ก็เป็ได้
ฮูหยินติ้งกั๋วกงกับหลิวเซียนกูพูดคุยกัน ทว่าแค่พูดคุยทักทายและถามตอบสารทุกข์สุกดิบเท่านั้น
ในเวลาดังกล่าว ถ้าเป็คนที่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ต่างต้องหลบหลีกและออกไปข้างนอกแล้ว
แต่คุณชายท่านนั้นกลับยังคงนั่งนิ่งเหมือนเดิมอย่างมั่นคง เขากำลังเล่นอยู่กับฝาถ้วยน้ำชาลายดอกไม้ บางเวลาเขาก็ดื่มชาไปบ้าง แต่ไม่มีท่าทีว่าจะออกไปแต่อย่างใด
ฮูหยินติ้งกั๋วกงรู้จักนิสัยของหลิวเซียนกูมาั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อสักครู่อีกฝ่ายบอกว่าเป็แขกคนสำคัญ ถ้าเช่นนั้นหลิวเซียนกูคงไม่ไล่ให้คนคนนี้ออกไปเป็แน่ ซ้ำร้ายนางเองก็ไม่ได้สนิทสนมกับชายท่านนี้ด้วย แน่นอนว่าจะให้ออกไปก็ยากพอสมควร
สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือกอื่น นางหายใจออกแล้วหันไปมองที่ฉินหยีหนิง
เด็กสาวรับรู้จึงเอ่ยขึ้น “หลิวกวานจู่ พวกเรามาที่นี่ในครั้งนี้ เพื่อมาจัดการเื่จิ้งเจิ่นลาสึก และขอให้กวานจู่ออกบัตรเพื่อปลดสถานภาพการเป็บรรพชิตเต๋าของนางด้วย วันข้างหน้านางจะได้ติดตามข้าอย่างสมบูรณ์เสียทีเ้าค่ะ”
ดวงตาของหลิวเซียนกูแวววับ ใบหน้ากลมของนางยิ้มเหมือนดอกไม้ “ด้วยพระนามเทพแห่งฟ้าอย่างหาที่สุดมิได้ คุณหนูท่านนี้เห็นแล้วรู้สึกได้ว่าเป็คนมีโชคชะตาลิขิตมาแล้ว ทว่าใน่เวลาก่อนหน้านี้จิ้งเจิ่นปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัด พวกเราทุ่มเทใจไปไม่น้อยเลยนะ”
หลิวเซียนกูเริ่มนับหัวนิ้วมือพร้อมพูดต่อ “สถานะทางครอบครัวของจิ้งเจิ่นพวกเ้าต่างก็รู้ดี ถึงแม้ว่าเซียนกูกวานของเรานั้นจะหลีกเลี่ยงความวุ่นวายจากทางโลกแล้ว แต่ว่ายังมีคนที่ยังไม่ละทางโลกมาสร้างปัญหาอยู่ไม่น้อย พวกเ้าจะต้องรู้ว่า พวกเราทำเพื่อปกป้องจิ้งเจิ่น จะต้องเจอความยากลำบากมากถึงเพียงใด? จนเกือบจะทำให้หัวใจแตกสลายแล้ว จิ้งเจิ่น เ้าว่าใช่หรือไม่ใช่”
ถางเิพยักหน้าอย่างจริงจัง “ใช่เ้าค่ะ หากไม่มีท่านอาจารย์คอยปกป้อง ข้าจะมีวันนี้ได้อย่างไร”
“ใช่แล้ว!” หลังจากที่หลิวเซียนกูเห็นถางเิพูดเช่นนั้น นางยิ่งพูดด้วยความจริงจัง “ยิ่งไปกว่านั้น ใน่เวลาครึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะเสื้อผ้าอาภรณ์หรือว่าของใช้ต่างๆ พวกเราจัดเตรียมให้จิ้งเจิ่นไม่ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด งานหนักก็ยังไม่ให้นางทำ ไม่พูดเื่อื่น เป็ผินเต้า1เองที่ยังจัดคนให้ดูแลจิ้งเจิ่นเป็พิเศษ จิ้งเจิ่นเ้าว่าใช่หรือไม่ใช่?”
“ใช่แล้วเ้าค่ะ ท่านอาจารย์ยังจัดลูกศิษย์ของท่านมาให้ข้าสองคน เพื่อคอยดูแลข้าด้วย”
“ดังนั้น เพื่อดูแลและปกป้องจิ้งเจิ่น ผินเต้าทุ่มเทมาแล้วไม่น้อย นอกจากต้องอดทนต่อแรงกดดันแล้ว ยังต้องวิตกกังวลมากอีกด้วย ใน่เวลาที่ผ่านมาต้องวิตกกังวลและอยู่ในความกลัว ล่าวเต้ากูทรมานจนผอมลงตั้งสี่ห้าจิน2”
ฉินหยีหนิงได้ยินประโยคยืดยาวพลางเข้าใจนัยได้ทันควัน ทั้งยังประมาณการความรู้ของหลิวเซียนกูเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์การตลาดได้ด้วย นางจึงเอ่ยพร้อมแย้มยิ้ม “กวานจู่เฝ้าดูแลนางด้วยความเมตตา ข้ารู้สึกชื่นชมและนับถืออย่างสุดซึ้ง และครอบครัวของจิ้งเจิ่นพบเจอกับความอยุติธรรมอย่างแท้จริง ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อจัดการเื่ลาสึกให้จิ้งเจิ่น เพื่อวันข้างหน้าจะได้ให้นางติดตามอยู่ข้างๆ ข้า อย่างที่สองก็คืออยากให้เซียนกูสวดมนต์ขอพรเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าให้ตระกูลถางทั้งครอบครัวเพื่อพ้นภัยอันตรายทั้งปวงด้วยเ้าค่ะ”
นางพูดพลางหยิบตั๋วเงินหลายใบออกจากแขนเสื้อ จากนั้นเดินมายังเบื้องหน้าอย่างช้าๆ สองมือของนางยื่นตั๋วเงินให้ และมีรอยยิ้มเต็มใบหน้าพร้อมเอ่ยขึ้น “ในนี้มีตั๋วเงินทั้งหมดสี่ร้อยเหลียง ที่เหลืออีกหนึ่งพันหกร้อยเหลียง ข้าจะให้คนส่งมาให้หลังจากนี้ ส่วนเื่สวดมนต์ขอพรให้พ้นภัยอันตรายทั้งปวงนั้น ข้าคงต้องให้กวานจู่ช่วยจัดการเื่นี้ด้วยนะเ้าคะ ท่านกับข้าต่างก็คิดทำเพื่อจิ้งเจิ่นทั้งนั้น เื่นี้ก็เพื่ออนาคตของจิ้งเจิ่นนะเ้าคะ”
สีหน้าของหลิวเซียนกูที่เห็นฉินหยีหนิงนำตั๋วเงินออกมา ทั้งก่อนและหลังสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน กระทั่งระหว่างที่ฉินหยีหนิงยังไม่ได้พูดจบ นางก็พูด “ใช่” “ดี” ออกมาหลายครั้งแล้ว สุดท้ายนางยิ่งพยักหน้า “เสี่ยวเต้าดูแล้ว คุณหนูเป็คนใจดีและมีน้ำใจ ดังนั้น ให้จิ้งเจิ่นอยู่กับท่าน ข้าก็สบายใจแล้ว ส่วนเื่ปลดสถานะบรรพชิตเต๋านั้น ผินเต้ายังต้องไปที่สำนักกิจการศาสนาเต๋าเพื่อจัดการเื่นี้ รอให้จัดการเรียบร้อยแล้ว จะต้องส่งจดหมายให้คุณหนูอย่างแน่นอน”
สมัยราชวงศ์ปัจจุบัน ถ้าจะบวชเป็บรรพชิตแห่งลัทธิเต๋า ไม่ใช่ว่าตนเองอยากจะเป็ก็ได้เป็เลย แต่จำเป็ที่จะต้องให้สำนักกิจการศาสนาเต๋าให้ตู้เตี่ย ถึงจะสามารถพิสูจน์สถานะการเป็บรรพชิตแห่งลัทธิเต๋าได้ หากอยากจะลาสึก แน่นอนว่าจะต้องมีกระบวนการด้วยเช่นกัน
ฉินหยีหนิงเข้าใจและเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องลำบากกวานจู่แล้ว”
“ไม่ลำบาก ไม่ลำบากเลย” หลิวเซียนกูถือตั๋วเงินในมือ แววตาของนางวาววับเป็ประกาย หางตาหยีเล็กจนเห็นรอยย่น นางดึงมือของถางเิและเอ่ยอีกว่า “คุณหนูท่านนี้เป็คนมีจิตใจดีและจริงใจต่อเ้านัก วันข้างหน้าเ้าติดตามนางเถิด”
รอยยิ้มของถางเิงค่อนข้างกระอักกระอ่วนอยู่หลายส่วน แต่ก็มีความเชื่อฟังอยู่ นางพยักหน้ารับ “เ้าค่ะ ท่านอาจารย์”
หลิวเซียนกูมองไปที่ตั๋วเงินอีกครั้ง แล้วก็เสียดสีหัวเราะ “ดูสิดู เื่นี้ไปๆ มาๆ เหมือนกับว่าผินเต้าขอให้ท่านทำทานอย่างไรอย่างนั้น”
“จู่กวานพูดเช่นนั้นได้อย่างไรกัน” ฮูหยินติ้งกั๋วกงเห็นฉินหยีหนิงจัดการเื่ดังกล่าวอย่างใจกว้าง จึงเอ่ยพูดขึ้นมา “การให้ทานเป็กุศล เหมือนการทำบุญของพวกเราด้วย ในเมื่อเด็กคนนี้มีความจริงใจ ก็หมายความว่าโชคชะตาที่ดีของนางได้มาถึงแล้ว และหลิวเซียนกู นั่นเป็วิธีการสะสมบุญของนางที่ได้กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของโลก นางสามารถได้รับผลบุญเพื่อปกปักรักษาชีวิต หากพูดถึงเื่ ‘การให้ทาน การได้รับ’ นั้น เกรงว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะได้รับมากกว่านะเ้าคะ”
“ฮูหยินมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดอย่างแน่แท้เ้าค่ะ” หลิวเซียนกูยิ้มและพยักหน้า ในที่สุดนางก็ยอมที่จะเก็บเงินนั้นไว้ อย่างไรก็ดีปลายนิ้วนั้นกลับนับจำนวนตั๋วเงินอยู่หลายครั้ง เวลาถัดมานางได้กล่าวต่อด้วยท่าทางเหมือนกำลังล้อเล่นว่า “ข้าเห็นบริเวณหน้าผากของฮูหยิน ระหว่างคิ้วดูมืดมน ทั้งมีรอยเว้าอีกด้วย กลัวว่าจะมีปัญหาในบ้านในเร็วๆ นี้ ผินเต้าสามารถดูฝ่ามือของฮูหยินได้หรือไม่”
สำหรับฉินหยีหนิง นางรู้สึกค่อนข้างตลกกับประโยคดังกล่าวของหลิวเซียนกู นางให้ทานกับอีกฝ่ายแล้ว ก็ยังหันไปหาท่านยายเพื่อหวังการทำทานอีกหรือ?
ฮูหยินติ้งกั๋วกงกลับยิ้ม โน้มตัวเข้าหาและยื่นมือทั้งสองของนางออกไป
หลังจากหลิวเซียนกูพิจารณาอย่างรอบคอบ ใบหน้าของนางมีความจริงจังและหนักแน่นอยู่หลายส่วน “ไม่มีผู้ช่วยให้พ้นภัยนี้ได้ยกเว้นเทพแห่งฟ้า ฮูหยิน โปรดฟังคำพูดของผินเต้าได้หรือไม่ ไม่เกินสองเดือนนี้ ในจวนจะมีหายนะทางโลหิต เกรงว่าสถานการณ์เลวร้ายมาก”
ฉินหยีหนิงขมวดคิ้วฉับ
มีเพียงคุณชายที่นั่งอยู่ข้างๆ กับผู้ติดตามของเขาเท่านั้นที่ยังสงบเสงี่ยมไม่มีการแสดงสีหน้าแต่อย่างใด
ฝ่ายฮูหยินติ้งกั๋วกงถึงกับหัวใจกระตุกเต้นอย่างหนัก และรีบเอ่ยถาม “หายนะนี้จะอยู่ที่ใด? เมื่อสักครู่ที่เซียนกูได้กล่าวว่าหน้าผากระหว่างคิ้วมีรอยเว้า หรือว่าล่าวแหย่ของข้า เขา...”
หลิวเซียนกูนับนิ้วตนเอง จากนั้นนางส่ายหน้าและถอนหายใจ พลางเอ่ยขึ้น “เวลา...ชีวิต...หากฮูหยินเต็มใจที่จะทำความดีสะสมในทุกๆ วัน ในจวนอาจจะมีความปลอดภัยก็เป็ได้ มิเช่นนั้นเกรงว่าทุกคนในครอบครัวคงได้รับความเดือดร้อนจากการทำลายล้างนี้”
คำพูดดังกล่าวหนักหนาเกินไปแล้ว
ฉินหยีหนิงนึกสงสัยกับความคิดของตนเองเมื่อครู่ หลิวเซียนกูไม่ได้ทำเพียงเพราะอยากให้ทำทานหรือ?
ขอทานจากผู้อื่นที่ไหน กลับพูดหนักหนาถึงเพียงนี้? อย่างมากพูดว่ามีหายนะทางโลหิตก็เพียงพอที่จะทำให้คนตื่นกลัวหนาวสั่นแล้ว จำเป็ด้วยหรือที่ต้องพูดอะไรทำนองว่าทุกคนในครอบครัวจะได้รับความเดือดร้อนจากการทำลายล้างนี้?
หรือว่านางสามารถมองเห็นอะไรจริงๆ?
สีหน้าของฮูหยินติ้งกั๋วกงมีความเคร่งเครียดอยู่ไม่น้อย ในใจของนางก็เหมือนกำลังถูกแขวนอยู่ าระหว่างต้าโจวกับต้าเยี่ยนนั้นมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และได้ใกล้เข้ามายังเมืองหลวงมากขึ้นเรื่อยๆ นางรู้สึกว่าลูกหลานคนในครอบครัวคล้ายกำลังโดนย่างอยู่บนเตาไฟอย่างไรอย่างนั้น กลัวว่าวันใดวันหนึ่งจะเกิดเื่ขึ้นมาจริงๆ
ชีวิตราวกับกำลังเดินอยู่บนน้ำแข็งบางๆ...หลิวเซียนกูพูดอีกประโยคหนึ่งว่า ‘หายนะทางโลหิต ทุกคนในครอบครัวได้รับความเดือดร้อนจากการทำลายล้างนี้’ ฮูหยินติ้งกั๋วกงรู้สึกพรั่นพรึง
นางหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวต่อ “ออกมาวันนี้ ข้าก็ไม่ได้นำเงินมามากมายเท่าใดนัก ข้าอยากจะขอให้เซียนกูสวดมนต์ขอพรเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าเพื่อขอพรให้ปลอดภัยและรอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง เอาไว้ให้ข้ากลับจวนก่อน แล้วข้าจะให้คนส่งเงินสองพันสองเหลียงมาให้ ก็ถือว่าในขณะที่มีความสามารถที่จะทำได้นั้น ก็ได้ทำเพื่อโชคชะตาของตระกูลซุนนะเ้าคะ”
หลิวเซียนกูพยักหน้า ไม่ได้ทำตาโตเมื่อได้เห็นเงินเหมือนครู่ก่อนแล้ว นางกลับยิ้มและเอ่ยขึ้น “คุณหนูเข้ามาเถิด ให้ผินเต้าดูหน่อยเ้าค่ะ”
แน่นอนว่าฉินหยีหนิงไม่ปฏิเสธ นางยิ้มและเดินเข้าไปหาหลิวเซียนกู
หลิวเซียนกูมองดูใบหน้าของฉินหยีหนิงอย่างละเอียด นางจับมือของเด็กสาวและบีบอีกครั้ง จากนั้นดูมือทั้งสองของอีกฝ่ายแล้วยิ้มออกมา “คุณหนูเป็คนที่มีโชคชะตาที่ดี ถึงแม้ว่าชีวิตจะเจอความยากลำบาก แต่สามารถทำให้เื่ร้ายกลายเป็เื่ดีได้บ่อยครั้ง หูทั้งสองของคุณหนูอยู่สูงกว่าคิ้ว แก้มรูปไข่ห่าน เห็นได้ชัดว่าในชีวิตนี้มีความมั่งคั่งเพียงพอ อีกทั้งเนื้อคู่ของคุณหนูนั้นดีมาก ดวงเนื้อคู่ก็ได้มาโคจรพบกันแล้วด้วย”
หลิวเซียนกูพูด นึกไม่ถึงว่า อึดใจต่อมานางกลับหัวเราะเบาๆ และชำเลืองไปมองคุณชายท่านนั้นที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งมีท่าทีสงบเสงี่ยมมาโดยตลอด
คุณชายท่านนั้นเสมือนไม่มีความรู้สึก เขายังคงดื่มน้ำชาต่อไป
ฉินหยีหนิงมีความเขินอายเล็กน้อย
เซียนกูท่านเชื่อได้หรือไม่ได้กันแน่นะ เื่เช่นนี้พูดต่อหน้าชายหนุ่มคนนอกได้อย่างไรกัน? นางตัดสินใจคิดว่าสิ่งที่เซียนกูพูดเมื่อสักครู่เป็การหลอกลวงนางแล้ว
เซียนกูกลับยิ้มและดันฉินหยีหนิงให้กลับไปยืนข้างๆ ฮูหยินติ้งกั๋วกงเช่นเดิม “ฮูหยิน หลานสาวของท่านมีจิตใจดีงามมาก มิหนำซ้ำยังมีโชคชะตาที่ดี บางทีโชคชะตาและชีวิตที่ดีของท่านอาจจะขึ้นอยู่กับคุณหนูท่านนี้นะเ้าคะ”
ฮูหยินติ้งกั๋วกงกอดฉินหยีหนิง จากนั้นก็ตบหลังเบาๆ นางยิ้มและเอ่ยตอบ “ขอบพระคุณเซียนกู หลานสาวของข้าเป็คนดีที่สุด”
นางลุกขึ้นยืน ก่อนพูดขึ้นว่า “วันนี้มาที่วัดแล้ว แน่นอนว่าจะต้องออกไปจุดธูปขอพร และก้มกราบไหว้โต้วหมู่หยวนจวินนะเ้าคะ”
เซียนกูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินและคุณหนูเชิญตามสะดวกเลยเ้าค่ะ”
ฮูหยินติ้งกั๋วกงจับมือฉินหยีหนิงเดินออกมาข้างนอก ท่าทางกลับมาเบิกบานอีกหน
จังหวะนั้น มีนักบรรพชิตน้อยเดินสวนเข้ามา นางประสานมือและเอ่ยขึ้น “ท่านอาจารย์ ฮูหยินหยูโร๋วมาแล้วเ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าฮูหยินหยูโร๋วมาถึงแล้ว หลิวเซียนกูก็ลุกขึ้นทันที นางพูดกับคุณชายผู้นั้น “จู่ตงก็พาหนุ่มน้อยคนนี้ออกไปเดินเล่นด้วยเถิด”
*******************************
1 ผินเต้า(贫道)คำที่ใช้สำหรับนักบรรพชิตลัทธิเต๋าใช้เรียกตัวเอง
2 จิน(斤)เท่ากับครึ่งกิโลกรัม ดังนั้นถ้า 5 จิน = 2.5 กิโลกรัม
เต้าซื่อ(道士)บรรพชิตแห่งลัทธิเต๋า