ฉินหยีหนิงกับแม่นมเปาเดินออกจากเรือนสื่อเซี่ยว ระหว่างทางที่เดินออกมาข้างนอกนั้น นางนึกถึงใบหน้าคล้ายยอมแพ้ของฉินฮุ่ยหนิงแล้วก็รู้สึกสะใจอยู่ไม่น้อย
หลังจากนางกลับเข้ามาในตระกูล ฉินฮุ่ยหนิงเป็เหมือนลิงบ้าะโขึ้นลงอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีวันใดที่สงบลงเลย ฝ่ายนั้นหลอกคนเพื่อทำร้ายนาง นอกจากจะทำร้ายนางแล้ว ก็ยังทำร้ายคนรอบข้างนางด้วย ถึงแม้ว่านางไม่มีความคิดที่จะทำร้ายคนเลย ฉินฮุ่ยหนิงก็ยังคงคิดว่านางจะต้องทำร้ายเ้าตัวอย่างแน่นอน ในเมื่อฉินฮุ่ยหนิงคิดดังนั้นแล้ว หากนางไม่ได้กระทำอันใดก็คงขาดทุนมากๆ
นี่เป็เพียงแค่การเริ่มต้นก็เท่านั้น
ทั้งสองเดินออกจากประตูสอง และตามการนำทางโดยเสี่ยวซือซึ่งได้เดินนำไปยังรถม้าที่จอดอยู่ที่ประตูข้าง
เมื่อแม่นมเปาเห็นว่าเสี่ยวซืออยู่ห่างออกไปพอสมควร อีกทั้งคนรอบข้างก็ไม่มีคนนอกแล้ว นางยิ้มและเอ่ยขึ้น “วันนี้ที่บ่าวทำเช่นนั้น เพราะทำตามคำสั่งของฮูหยินเ้าค่ะ ฮูหยินสงสารคุณหนูถูกรังแกและรู้ว่าใน่เวลาที่ผ่านมานี้ ท่านได้รับความเดือดร้อนมามากมาย ฮูหยินหมายความว่าคนบางคนควรควบคุมก็ควรที่จะควบคุมบ้าง ในเมื่อฮูหยินน้อยไม่สามารถทำได้ ฮูหยินก็ไม่เกี่ยงที่จะเป็คนชั่วร้ายน่ะเ้าค่ะ”
“ความพยายามของท่านยายทำให้ข้าเข้าใจ เพียงแต่ว่าการทำเช่นนั้น อาจจะทำให้คนอื่นเกลียดชังท่านยายนะเ้าคะ” ถึงแม้ว่าฉินหยีหนิงจะรู้ว่าการกระทำของฮูหยินติ้งกั๋วกงในครั้งนี้นั้น ไม่ใช่เพียงเพราะสงสารหรือเอ็นดูนางเท่านั้น แต่เป็เพราะอยากให้อีกสองคนมีความสมดุลเกิดขึ้น แต่ว่าความหวังดีของท่านยาย ฉินหยีหนิงก็ซาบซึ้งใจนัก
เมื่อแม่นมเปาเห็นท่าทีที่เรียบร้อยรู้ความของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา และรอยยิ้มของนางนั้นก็เป็รอยยิ้มที่มีความจริงใจอยู่หลายส่วน
“คุณหนูไม่จำเป็จะต้องกังวลเ้าค่ะ ฮูหยินได้พูดแล้วว่า ในชีวิตนี้ได้ทำอะไรมาแล้วเยอะแยะมากมายและยากมากที่จะบอกว่า ทุกสิ่งที่ทำนั้นจะเป็ไปตามที่เราคาดไว้หวังไว้เสมอ ขอแค่เรามีความจริงใจก็พอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ความคิดของคุณหนูฮุ่ยหนิงก็ไม่ดีเท่าใดนัก หากไม่ควบคุมเอาไว้ กลัวว่าอนาคตจะทำให้ฮูหยินน้อยาเ็ก็เป็ได้ ฮูหยินทำไปก็เพราะรักลูกนะเ้าคะ”
ฉินหยีหนิงเข้าใจและพยักหน้า นางนึกถึงท่าทางของซุนซื่อแล้ว จึงหัวเราะและเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ช่างเป็คนที่มีบุญวาสนาจริงๆ”
แม่นมเปาก็หัวเราะออกมาด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับฉินหยีหนิงแล้ว ซุนซื่อเป็คนที่มีบุญวาสนาล้นหลาม เพียงแต่ว่านางยังไม่รู้จักรักษา แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนนั้นเป็คนมีบุญวาสนาอีกด้วย นางมักจะน้อยใจอยู่บ่อยๆ
“คุณหนู เมื่อวานนี้ฮูหยินได้ส่งจดหมายให้ ‘เซียนกูกวน’ เพื่อบอกว่าวันนี้พวกเราจะไปทำพิธีทางศาสนา ทางนั้นบอกมาว่าได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อสักครู่นี้ฮูหยินได้มีคำสั่งให้คนไปรับคุณหนูถางที่โรงเตี๊ยมท่าหยุนให้มาที่นี่แล้ว อีกสักพักพวกเราก็สามารถเริ่มต้นเดินทางจากที่นี่ออกไปได้เลยเ้าค่ะ”
“ท่านยายคิดได้รอบคอบมากจริงๆ เลย”
เมื่อออกจากประตูมาแล้ว แม่นมเปาก็พาฉินหยีหนิงเดินไปยังรถม้าคันงามและโอ่โถงคันนั้น นางประคองมือแม่นมเปาเหยียบบันไดเก้าอี้ทาน้ำมันแดงเพื่อขึ้นรถ เมื่อเลิกผ้าม่านขึ้น ก็เห็นฮูหยินติ้งกั๋วกงสวมเสื้อคลุมลายดอกไม้สีน้ำเงิน กำลังนั่งอย่างสง่างามอยู่บนที่นั่งหลัก ส่วนถางเิยังคงใส่เสื้อนักบรรพชิตลัทธิเต๋าอยู่ นางนั่งอยู่ข้างๆ ฮูหยินติ้งกั๋วกง
“ท่านยาย ท่านก็มาแล้วด้วย” ฉินหยีหนิงเข้าไปนั่งอีกฝั่งหนึ่ง จากนั้นก็ดึงแม่นมเปาขึ้นมาด้วย
เนื่องจากรถม้าค่อนข้างกว้างใหญ่ ทำให้สี่คนนั่งอยู่บนรถม้าไม่รู้สึกว่าคับแคบเท่าใดนัก
แม่นมเปาบอกคนข้างนอกให้เริ่มเดินทาง
ฮูหยินติ้งกั๋วกงดึงมือฉินหยีหนิงและเอ่ยขึ้น “ทำไม? เ้าคิดว่าข้ากำลังรอเ้าอยู่ที่บ้านหรือ? ที่ข้าออกมาเลย เพื่อไม่ให้เ้าต้องลำบากเดินทางอีกระยะทางหนึ่ง ถึงอย่างไรต้องเดินผ่านที่นี่อยู่ดี ข้าก็เลยมารับเ้า แล้วก็ไปเลยจะดีกว่านะ”
ฉินหยีหนิงผงกศีรษะ นางเข้าใจฮูหยินติ้งกั๋วกงที่ไม่สะดวกเข้าไปในจวนฉิน จึงยิ้มและกล่าว “ท่านจะจัดการอย่างไรก็ดีทั้งหมด ตราบใดที่ท่านยอมพาข้าออกไปเดินเล่นก็เพียงพอเ้าค่ะ”
“เด็กคนนี้นี่” คำพูดของฉินหยีหนิงทำให้ฮูหยินติ้งกั๋วกงหัวเราะขบขันออกมา
การเดินทางไปเซียนกูกวนนั้น ถ้านั่งรถม้าไปจะต้องใช้เวลาประมาณสองชั่วยาม ถึงแม้ว่าอากาศหนาวเหน็บ แต่ยังโชคดีที่ไม่มีหิมะใน่สองวันที่ผ่านมา บวกด้วยต้าเยี่ยนอยู่ทางทิศใต้ แต่เดิมในฤดูหนาวมักจะมีหิมะตกโปรยปราย แต่การออกเดินในวันนั้นดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า ถนนสะอาด ในระยะทางการเดินทางหนึ่งชั่วยามนี้ก็ได้หยุดเพียงหนึ่งครั้งระหว่างทางเพื่อจัดของให้เรียบร้อย ส่วนเวลาที่เหลือได้มีการพูดคุยหัวเราะสนุกสนาน ไม่ได้รู้สึกว่าน่าเบื่อแต่อย่างใด
ฉินหยีหนิงและฮูหยินติ้งกั๋วกงต่างก็รู้เื่ครอบครัวของถางเิที่ได้รับโทษปะาเก้าชั่วโคตร แน่นอนว่านางไม่อาจได้เจอกับคนในครอบครัวได้อีกแล้ว และเนื่องจากกลัวว่านางจะเ็ปใจ ทำให้การพูดส่วนใหญ่นั้นเป็การพูดที่ดูแลถางเิอย่างดี ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกเสียใจแต่อย่างใด
เมื่อได้คุยกันตลอดระยะทางที่ผ่านมา ทำให้ถางเิรู้สึกนับถือในความฉลาดเฉลียวของฮูหยินติ้งกั๋วกง และรู้สึกใกล้ชิดกับฉินหยีหนิงมากยิ่งขึ้น
“ฮูหยิน พวกเราถึงแล้วเ้าค่ะ”
รถม้าหยุดลงอย่างช้าๆ มีบ่าวที่ติดตามมาด้วยกำลังรออยู่ข้างนอก คนดูแลเฝ้ารักษาความปลอดภัยยืนอยู่ไกลๆ ทั้งสองด้านเพื่อคุ้มครองความปลอดภัย
ฉินหยีหนิงและถางเิลงมาจากรถก่อน จากนั้นช่วยกันประคองฮูหยินติ้งกั๋วกงลงจากรถ คนขับรถม้าขับพาหนะออกจากประตู ระหว่างนั้นเหล่าบ่าวผู้หญิงซึ่งมีร่างกายแข็งแรงได้แบกของกำนัลมากมายขึ้นบันได
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าไม่ไกลนักมีบันไดกว้างประมาณหนึ่งร้อยเซี้ยะซึ่งคดเคี้ยวขึ้นไป ทั้งสองข้างมีต้นไม้ซึ่งใบร่วงจนเกือบหมดต้น นอกจากนั้นยังมีเงาไม้ไผ่ เห็นได้ชัดเจนว่าสถานที่แห่งนี้เงียบสงบมาก ปลายของบันได้าก็สามารถเห็นประตูทางเข้าแล้ว
ฉินหยีหนิงพูดขึ้นว่า “ท่านยาย เรียกให้พวกเขายกเกี้ยวขึ้นไปเถิดนะเ้าคะ ขั้นบันไดเยอะมากถึงเพียงนี้ ท่านจะเหนื่อยมากนะเ้าคะ”
“ไม่มีปัญหา ก็แค่สองร้อยแปดขั้นก็เท่านั้น จะเหนื่อยได้อย่างไรกัน? พวกเราปีนขึ้นช้าๆ เดี๋ยวก็ถึง”
ฮูหยินติ้งกั๋วกงคิดเช่นนั้นเสียแล้ว ต่อให้มีแม่นมเปาตักเตือนอยู่ข้างๆ จะเอ่ยเตือนนางเท่าใดก็ไม่ได้ผล ฉินหยีหนิงกับถางเิจึงทำได้เพียงประคองนางซ้ายขวาเพื่อเดินขึ้นไปข้างบน
เมื่อขึ้นไปแล้วหลายสิบขั้น ฮูหยินติ้งกั๋วกงก็เริ่มหายใจหอบ ครั้นเดินไปมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนขั้นบันไดทั้งหมด ใบหน้าของนางแดงขึ้นมาแล้วมากกว่าครึ่ง หน้าผากของนางมีเหงื่อซึม แต่พอมองมาดูฉินหยีหนิง ใบหน้าของนางไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด อีกทั้งใจของนางก็ไม่ได้เต้นแรงด้วย
ฮูหยินติ้งกั๋วกงเท้าเอวและหายใจ นางยิ้มและเอ่ยขึ้น “ดูหยีเจี่ยร์ของพวกเราสิ เกรงว่ามีขั้นบันไดเช่นนี้อีกสิบบันไดก็เล็กน้อยสำหรับนาง พวกเ้าในที่นี้ก็ไม่มีใครมาเปรียบเทียบความแข็งแรงกับนางได้”
บ่าววัยกลางคนที่เดินตามมาด้วยข้างหลังต่างก็หายใจเข้าออกถี่ๆ และต่างก็ชื่นชมฉินหยีหนิงว่าร่างกายแข็งแรงดีมาก
ฉินหยีหนิงยิ้มและเอ่ยขึ้น “ข้าเดินในป่าในเขามาั้แ่เด็กๆ เดินจนชินแล้ว แต่ว่าท่านยายสิเ้าคะ อายุมากแล้ว แต่ขาก็ยังเดินได้ว่องไวถึงเพียงนี้ หากว่าดูแลสุขภาพมากกว่านี้ ไม่เหนื่อยและไม่ครุ่นคิดมากเกินไป ร่างกายจะต้องดีกว่ามากเป็แน่นะเ้าคะ”
ฮูหยินติ้งกั๋วกงหอบหายใจอยู่สักพัก นางพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง จากนั้นก็โบกมือ “ไป ครั้งนี้พวกเราปีนขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดเลยนะ!”
ไต่บันไดขึ้นมาจนถึง้าแล้ว ใบหน้าของฉินหยีหนิงเพียงออกสีแดงระเรื่อเล็กน้อย แต่ทุกคนรอบตัวนางต่างก็หอบหายใจราวกับวัว ฉินหยีหนิงใช้โอกาสตอนที่ฮูหยินติ้งกั๋วกงและคนอื่นๆ กำลังพักเหนื่อยยืนอยู่ที่เดิม นางกวาดมองไปรอบๆ เพื่อสังเกต
กำแพงทั้งสองด้านของประตูนั้นทอดยาวออกไป ล้อมรอบลานกว้างไว้ พื้นเรียบด้านหน้าประตูถูกปูด้วยแผ่นหินสีน้ำเงินและสามารถมองเห็นหญ้าสีเหลืองแซมอยู่ในช่องว่างระหว่างก้อนอิฐสองก้อน
แผ่นโลหะสีทองแขวนอยู่บนประตูเขียนว่า ‘เซียนกูกวน’ สามคำและด้านหลังของประตู สามารถมองเห็นอาคารใหญ่โตงดงามและยังเห็นเจดีย์อยู่ที่มุมหนึ่งอีกด้วย
ในเวลานั้นบรรพชิตเต๋าหลายคนสวมเสื้อสีน้ำเงินเข้มออกมาทักทาย และเมื่อเห็นฮูหยินติ้งกั๋วกงแล้วก็ประสานมือเพื่อคารวะ
บรรพชิตเต๋าที่อยู่ในวัยสามสิบต้นๆ อธิบายได้ว่านางมีรูปร่างค่อนข้างผอม กำลังเดินออกมาด้วยรอยยิ้มและประสานมือเพื่อคารวะ จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “ด้วยพระนามเทพแห่งฟ้า อวยพรให้มีความสุขอย่างหาที่สุดมิได้ ฮูหยินสบายดีหรือไม่เ้าคะ? ไม่ได้เจอกันนาน ใบหน้าของท่านยิ่งนับวันยิ่งแดงระเรื่อนะเ้าคะ”
“ด้วยพรของท่าน หลิวเซียนกูอยู่หรือไม่?”
“ท่านอาจารย์รอมาั้แ่ก่อนนี้แล้วเ้าค่ะ ขอเชิญท่านทั้งหลายเดินตามมาทางนี้เ้าค่ะ”
ฉินหยีหนิงและถางเิประคองฮูหยินติ้งกั๋วกงพร้อมพาผู้คนทั้งหลายเดินผ่านประตูเข้าไป จากนั้นเดินผ่านหินกระเบื้อง แล้วเดินเข้าประตูพระจันทร์และเมื่อเดินผ่านอุโบสถ ในที่สุดก็มาถึงห้องโถงหลัก
แม่นมเปา รวมถึงบ่าวคนอื่นๆ รออยู่ข้างนอก มีเฉพาะฮูหยินติ้งกั๋วกง ฉินหยีหนิงกับถางเิเท่านั้นที่เข้าไปข้างในห้อง
ทันทีที่พ้นบานประตูก็เห็นบรรพชิตเต๋าอายุประมาณห้าสิบต้นๆ มีร่างสั้นๆ เป็บรรพชิตเต๋าวัยสูงอายุกำลังนั่งสง่าอยู่บนที่นั่งหลัก ข้างๆ บรรพชิตเต๋านั้นมีคนดูแลยกน้ำชาอยู่ด้วย แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีแขกที่เป็คุณชายวัยหนุ่มท่านหนึ่งกำลังนั่งอย่างผึ่งผายไม่ห่าง
คุณชายท่านนั้นมีขนคิ้วยาว จมูกโด่งและริมฝีปากบาง เขาสวมชุดยาวสีขาวและข้างนอกสวมเสื้อคลุมขนกระรอก เป็บุคคลที่มีความองอาจและความหล่อเหลาไร้คนเทียมทาน เมื่อเห็นฮูหยินติ้งกั๋วกงเดินเข้ามา เขาก็เหลือบมองและก้มสายตาลงอย่างมีมารยาท
เด็กหนุ่มผู้ติดตามอายุประมาณสิบเจ็บสิบแปดกำลังยืนอยู่ข้างหลังของเขา คนติดตามนี้ดูจะเป็ชายหนุ่มที่มีนิสัยร่าเริง เขามองมาที่ฉินหยีหนิงอยู่หลายครั้ง
ฮูหยินติ้งกั๋วกงรู้สึกไม่พอใจเท่าใดนัก “หลิวเซียนกู จดหมายที่ได้ส่งมาเมื่อวานนี้ไม่ทราบว่าได้รับหรือยังเ้าคะ?” เพื่อบอกเป็นัยว่า ในเมื่อได้บอกมาก่อนนี้แล้วว่าจะมีผู้หญิงมาด้วยทั้งหมดนั้น เหตุใดถึงได้ให้ชายหนุ่มคนนอกเข้ามาด้วย?
“ด้วยพระนามเทพแห่งฟ้าอย่างหาที่สุดมิได้ ฮูหยินสบายดีหรือไม่เ้าคะ? จดหมายนั้นข้าได้รับแล้วเมื่อวานนี้ เพียงแต่ว่าท่านนี้เป็แขกคนสำคัญของข้า ไม่มีปัญหาหรอกเ้าค่ะ”