ซุนซื่อเดินหน้าบึ้งตึงปากปิดสนิท เสมือนว่าหากนางปริเปิดปากออกมาเล็กน้อย ก็จะมีคำพูดที่ไม่น่าฟังเล็ดลอดออกมาด้วย
เมื่อเห็นซุนซื่อเป็เช่นนี้ดังนั้นแล้ว แม่นมจิน ฉ่ายหลานและฉ่ายจู๋วที่เดินตามมาด้วยนั้นก็ทำตัวเป็เสมือนจั๊กจั่นจักจั่นในฤดูใบไม้ร่วงที่กลัวและไม่กล้าพูดอะไรออกมาคำใดแม้แต่น้อย
บ่าวทั้งสองคนกำลังประคองซุนซื่ออยู่ซ้ายขวา กลัวว่าซุนซื่อจะรีบร้อนจนชนอะไรไป
แม่นมจินเดินตามข้างหลังอยู่หลายก้าว นางกะพริบตาให้กับฉินหยีหนิงเหมือนกำลังบอกอะไรอยู่
เมื่อฉินหยีหนิงเห็นแล้ว ก็รู้ในทันทีและพยักหน้า
แม่นมจินรู้สึกเหมือนว่ามีกระดูกสันหลังแล้ว จึงรู้สึกโล่งอกในทันทีขึ้นมาเล็กน้อย
หลายวันมานี้ นางเข้าใจแล้วว่า ฉินหยีหนิงในสายตาของล่าวไท่จุนกับฮูหยินติ้งกั๋วกงนั้นมีความสำคัญที่ไม่ธรรมดา บวกด้วยเ้านายของนางไม่ได้ฉลาดเฉลียวมาก หากว่าในอนาคตยังอยากจะใช้ชีวิตที่มั่นคงต่อไป แน่นอนว่าอย่างน้อยนางต้องไม่เป็ศัตรูกับฉินหยีหนิง
ส่วนหลานสาวของนางที่พูดมานั้น ต่างก็ทำเพื่อเ้านายของตัวเอง และเพื่อตัวเองด้วยกันทั้งนั้น นางก็ไม่ได้ไร้เดียงสามากพอที่จะคิดไปว่าลูกบุญธรรมที่แม้แต่ตัวเองยังปกป้องไม่ได้ จะให้อนาคตที่ดีกับนางได้อย่างไรกัน
ฉินฮุ่ยหนิงพาแม่นมช่าย ปี้ถงและปี้ถาวเถาเดินติดตามอยู่ข้างหลัง และนางก็เห็นความเคลื่อนไหวของแม่นมจินกับฉินหยีหนิงได้อย่างชัดเจน
ตอนนี้ใบหน้าของฉินฮุ่ยหนิงมีความอับอายอยู่ไม่น้อย หลายวันมานี้วันที่ผ่านกับเื่ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่มีสักหนึ่งเื่ที่มีประโยชน์ต่อตัวนางเลย นางทำได้เพียงเบิกตามองฉินหยีหนิงที่เหยียบหัวของนางแต่ละและก้าวขึ้นไปก็เท่านั้น ไม่ว่านางจะเอาใจล่าวไท่จุนอย่างไร เอาใจซุนซื่ออย่างไร ถึงอย่างไรกระนั้นความสัมพันธ์ทางสายเืก็จะกลายเป็กำแพงขวางกั้นพวกเขานางอยู่ดี
ฉินฮุ่ยหนิงหัวเราะเยาะตนเองแล้ว แต่เดิมนางถูกสลับตัวมา คนเหล่านี้จะจริงใจต่อนางได้อย่างไรกัน??
เมื่อกลับมาถึงบ้านสวนเรือนซิ่งหนิง ซุนซื่อไม่สนใจบ่าวที่คำนับให้ นางเดินอย่างรีบร้อนและเลิกผ้าม่านเข้าไปในห้อง นางกระแทกกระทั้นนั่งลงบนที่นั่งหลักอย่างแรง จากนั้นก็ได้เอ่ยถามขึ้น “ฮุ่ยเจี่ยร์ ตกลงเ้าเป็อะไรหรือ”
ฉินฮุ่ยหนิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็กัดริมฝีปากตนเอง นางน้อยใจจนหน้านิ่วคิ้วขมวด นางเดินช้าๆ เข้ามาตรงหน้าซุนซื่อพร้อมยกกระโปรงและคุกเข่าลงบนพื้น
“ท่านแม่ใจเย็นๆ อย่าโมโหจนสุขภาพไม่ดีเลย ทั้งหมดนี้เป็ความผิดของลูกเองเ้าค่ะ”
คำพูดประโยคนี้ทำให้ซุนซื่อรู้สึกหงุดหงิดและมีความทุกข์ เมื่อมองมาที่ฉินฮุ่ยหนิงอีกครั้ง ท่าทีน้อยใจของนางเหมือนกับเด็กสาวราวกับว่านางในฐานะแม่กำลังรังแกนางบุตรีอยู่ นางก็ยิ่งรู้สึกขุ่นเคืองมากขึ้น จึงยกมือขึ้นตบฉินฮุ่ยหนิงหนึ่งที
“เพี๊ยะ——” “เพียะ” เสียงตบดังขึ้นสนั่น ฉินฮุ่ยหนิงโดนตบจนหันหน้าไปอีกทางอื่น
“ใครอนุญาตให้เ้าพูดกับข้าเช่นนี้?? ทำไม? ต่อหน้าล่าวไท่จุนเ้าเสแสร้งแกล้งทำ ตอนนี้อยู่ต่อหน้าข้า เ้าก็เสแสร้งแกล้งทำอย่างนั้นหรือ”
ฉินฮุ่ยหนิงไม่อยากจะเชื่อ นางปิดใบหน้าของตนเองและแหงนหน้ามองซุนซื่อ แก้มทั้งสองข้างมีน้ำตาร่วงลงมา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงสะอึก “ท่านแม่ ท่านทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร”
ซุนซื่อเห็นท่าทีน้อยใจของฉินฮุ่ยหนิง นางยิ่งโมโหและเอ่ยตำหนิด้วยความเกรี้ยวกราด “เ้าน้อยใจ?? เ้าคิดว่าคนบนโลกนี้ต่างก็โง่เขลาทั้งหมดหรืออย่างไรกัน?? เ้าสนับสนุนข้ากลับไปกลับมา เื้ัก็ยั่วยุเื่เท็จเื่จริง เ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ?? ข้าเลี้ยงเ้ามา เลี้ยงดูเหมือนกับลูกในใส้ไส้ของตัวเอง แต่เ้ากลับทำร้ายข้า อย่างอื่นไม่พูด แต่เมื่อสักครู่นี้เ้าพูดต่อหน้าล่าวไท่จุน นั่นเป็สิ่งที่เ้าควรจะพูดหรือไม่”
ความน้อยใจของฉินฮุ่ยหนิงเมื่อสักครู่นี้ ตอนนี้ได้ถูกแทนที่ด้วยความกลัวเสียแล้ว
เป็เช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ซุนซื่อแค่เพียงกลับไปไม่กี่วัน เหตุใดกลับมาครั้งนี้เหมือนเปลี่ยนเป็คนอีกคน นึกไม่เลยถึงว่าจะเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงได้ง่ายถึงเพียงนี้
เป็เพราะฮูหยินติ้งกั๋วกงยั่วยุเป็แน่!
นางมีความรู้สึกััได้ถึงวิกฤติซึ่งถาโถมเข้ามาอย่างหนักอย่างและไม่เคยมีมาก่อน เมื่อก่อนนี้ฉินหยีหนิงเก่งกาจถึงเพียงไหน นางก็มีความมั่นใจที่จะบีบล่าวไท่จุนกับซุนซื่อได้ แต่นี่ก็เพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่านางกลับไม่สามารถบีบคนเหล่านี้ได้แล้ว
เมื่อก่อนนี้ซุนซื่อมักจะเชื่อในสิ่งที่นางพูด เพียงนางใช้อารมณ์และเหตุผล ซุนซื่อก็มีความเชื่อและทำตามแล้ว แต่ตอนนี้ล่ะ?? !
“ท่านแม่ ท่านอย่าเข้าใจข้าผิดเลย ข้า……”
“พอได้แล้ว!” ซุนซื่อไม่ได้อยากฟังสิ่งที่ฉินฮุ่ยหนิงตอบโต้แต่อย่างใด “ข้าเห็นกับตา เ้ากล้าที่จะยั่วยุข้อเท็จจริงต่อหน้าล่าวไท่จุน ทำให้ล่าวไท่จุนเกลียดชังข้า มันมีประโยชน์อะไรกับเ้าหรือ?? ฉินฮุ่ยหนิง ข้าผิดหวังกับเ้ามาก”
ซุนซื่อพูดพลาง นางรู้สึกน้อยใจและร้องไห้ขึ้น
“หลายปีมานี้ข้าใช้ชีวิตอย่างไร เ้าอยู่เคียงข้างข้า เ้าก็เห็นด้วยตาตนเองแล้ว ตอนนี้เ้ากลับทำเช่นนี้กับข้า เ้าจะให้ข้าทำอย่างไรหรือ”
ซุนซื่อน้อยใจ ฉินฮุ่ยหนิงยิ่งน้อยใจ นางนั่งอยู่บนพื้น พร้อมปิดใบหน้าที่ถูกตบจนบวม พลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
แม่นมจิน ฉ่ายจู๋ว ปี้ถงและคนอื่นๆอื่นๆ ต่างก็เข้าไปตักตือนตักเตือนและปลอบประโลม
ฉินหยีหนิงเดินออกจากเรือนอย่างเงียบๆ และกลับไปที่เรือนเสวี่ยลี่ไปแล้ว
ไม่ใช่เพราะนางไม่รักซุนซื่อ แต่นางเพียงแค่คิดว่านางไม่สามารถที่จะเข้าไปจัดการกับมารดาได้ แม้แต่บุคคลที่ฉลาดเฉลียวอย่างฮูหยินติ้งกั๋วกงก็ไม่สามารถสั่งสอนซุนซื่อได้ นางเป็เพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น จะสามารถทำอะไรได้หรือ??
สำหรับฉินฮุ่ยหนิงที่อยู่ที่นั่น การถูกตบเป็สิ่งที่สมควรได้รับ นางยังรู้สึกว่าตบน้อยไปเสียด้วยซ้ำ มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่นางถูกตบเพียงแค่คนเดียว แต่ฉินฮุ่ยหนิงไม่โดนตบบ้างหรือ
ฉินหยีหนิงคร้านที่จะสนใจสถานการณ์ของแม่ลูกที่เรือนซิ่งหนิงแล้ว นางเพียงแค่อยากจะมีชีวิตสบายๆ เหมือนดั่งทุกวัน กลางคืนนอนหลับฝันดีก็เท่านั้น
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ฉินหยีหนิงไปคำนับทักทายล่าวไท่จุนเหมือนกับทุกๆ เช้า อีกทั้งเมื่อคืนล่าวไท่จุนโกรธโมโหอยู่ จึงได้กล่าวออกปากไม่ให้ซุนซื่อมาคำนับตอนเช้า ฉินหยีหนิงเป็กังวล โดยกลัวว่าซุนซื่อจะคิดเป็จริงเป็จัง แต่วันนี้เมื่อมาถึง นางเห็นซุนซื่ออยู่ที่เรือนของล่าวไท่จุนแล้ว ถึงแม้ซุนซื่อไม่ได้มีความกระตือรือร้นและใกล้ชิดกับล่าวไท่จุนมากนัก แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด ฉินหยีหนิงเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกโล่งใจ
อย่างไรก็ดี ใบหน้าครึ่งหนึ่งของฉินฮุ่ยหนิงนั้นบวมพองราวกับหัวหมูอีกครั้ง และแม้กระทั่งมุมปากของนางก็เปลี่ยนเป็สีม่วงแล้ว นางทำให้ฉินหยีหนิงขบขันประสบความสำเร็จแล้ว
ดูเหมือนว่า เมื่อวานหลังจากที่นางเดินออกไปจากบ้านสวนพ้นเรือนซิ่งหนิงแล้วนั้น ฉินฮุ่ยหนิงคงโดนตบอีกรอบแล้ว
ความคิดของคนคนนี้ไม่ถูกต้อง และนางทำร้ายคนอื่นบ่อยๆ ถูกตบก็เป็เื่ที่สมควรแล้วอย่างที่สุด
ในวันนี้ฉินฮุ่ยหนิงเห็นใครๆ ก็ดูเหมือนว่าทำท่าคล้ายกับนางมีท่าทีที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ ราวกับว่าอยู่ในเรือนซิ่งหนิงนั้น นางถูกรังแกมามากมาย จนทำให้คุณหนูหกจ้องมองมาที่นางอยู่บ่อยๆ
ฉินหยีหนิงี้เีคร้านเกินไปที่จะใส่ใจกับท่าทางเช่นนี้ดังกล่าวของนาง
ตอนนี้ฉินฮุ่ยหนิงกระทำเช่นนั้น ก็เท่ากับว่านางกำลังขุดหลุมให้กับตัวของนางเอง
ก่อนหน้านี้ทุกๆ คนต่างก็เชื่อมั่นในสันดานของนาง แน่นอนว่าไม่สามารถทนได้ที่จะเห็นนางถูกรังแก
ยามนี้ล่าวไท่จุนกับซุนซื่อต่างก็มีความสงสัยในสันดานของนาง ในพื้นฐานของความสงสัยนั้น จะมีความรู้สึกสงสารได้อย่างไร?? แผนการที่ฉินฮุ่ยหนิงคิดไปเองว่าสำเร็จได้นั้นจะทำให้ยิ่งล้มเหลวเท่านั้น คาดว่านางยังสามารถทำสิ่งเลวร้ายได้ เพียงแต่ว่าเวลายังไม่มาถึงก็เท่านั้น
ฉินหยีหนิงไม่ได้รีบร้อนเลยแม้แต่น้อย
“ล่าวไท่จุน ล่าวไท่จุน” จี๋เสียงสาวใช้วัยกลางคนเข้ามาในห้อง นางยิ้มและเอ่ยขึ้น “แม่นมเปาบ่าวที่อยู่เคียงข้างฮูหยินติ้งกั๋วกงมาแล้วเ้าค่ะ”
ทุกคนในห้องเมื่อได้ยินเช่นนั้นต่างก็อึ้งทึ่งชะงักงัน
ล่าวไท่จุนนั่งหลังตรง นางยิ้มและเอ่ยขึ้น “รีบเข้ามาเถิด” พูดพลาง แล้วก็เหลือบมองไปที่ซุนซื่อเล็กน้อย
ซุนซื่อกัดฟัน ก้มหน้าก้มตาอดกลั้นไม่ะเิอารมณ์ออกมา
แม่นมจินเดินนำทางแม่นมเปาเข้ามาในห้อง เห็นเ้านายผู้หญิงทั้งหลายต่างก็อยู่ด้วย จากนั้นนางก็คำนับ
เ้านายผู้หญิงทุกคนต่างก็ไม่กล้าที่จะไม่รับคำนับจากแม่นมเปา จากนั้นพวกนางก็ทักทายแม่นมเปาอยู่หลายประโยค
ล่าวไท่จุนยิ้มและเอ่ยขึ้นถาม “วันนี้เหตุใดแม่นมเปาถึงได้มาที่นี่?” หรือว่ามาขอโทษอีกครั้ง?
“ตอบฮูหยินฉิน วันนี้ฮูหยินของพวกเราจะไปที่เซียนกูกวนเพื่อทำพิธีทางศาสนา จึงมีคำสั่งให้มาขอความเมตตาจากล่าวไท่จุนเป็พิเศษ ฮูหยินของพวกเราอยากจะพาคุณหนูฝ่ายนอกออกไปเดินเล่นข้างนอกด้วยเ้าค่ะ”
ล่าวไท่จุนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็อึ้งสักพัก จากนั้นนางก็ชะงักไป ก่อนส่งเสียงหัวเราะ “นี่ง่ายมาก ก็เรียกคุณหนูให้ไปเตรียมตัวและตามเ้าไปก็ได้แล้ว” และได้เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “ฮูหยินของพวกเ้าสบายดีหรือไม่?”
“เป็เพราะวาสนาของท่าน ฮูหยินสบายดีเ้าค่ะ”
แม่นมเปายิ้มและทักทายล่าวไท่จุนด้วยท่าทีที่เคารพนับถือ แต่นางก็ไม่ได้ดูถ่อมตนมากเกินไป และไม่ได้พูดถึงเื่การกลับไปของซุนซื่อ อีกทั้งไม่แสดงคำขอโทษใดๆ และไม่ได้ทำให้เกียรติของจวนติ้งกั๋วกงนั้นต้องลดลงเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้ฉินหยีหนิงรับเสื้อคลุมที่แม่นมฉินนำมา สวมใส่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ได้เอากระถางอุ่นมือเล็กๆ ที่คลุมด้วยผ้าฝ้ายสีเขียวอ่อนมาวางไว้ในมือนาง
รอให้แม่นมเปาขอตัวลาล่าวไท่จุนแล้ว ถึงได้ส่งยิ้มและคำนับล่าวไท่จุน
“ล่าวไท่จุน หลานขอตัวก่อนนะเ้าคะ”
ล่าวไท่จุนยิ้มและโบกมือ “ไปเถิด ดูแลท่านยายของเ้าให้ดีๆดีๆ ล่ะ”
แม่นมเปายิ้มและพลางคำนับอีกครั้ง จากนั้นก็ก้าวเท้าออกไปด้วยความเคารพ
ฉินหยีหนิงเดินตามไป นางเดินผ่านฉากไม้กั้นแกะสลักจนมาถึงหน้าประตู เห็นฉินฮุ่ยหนิงสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนเดินตามมาด้วย จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อแม่นมเปาเบาๆ
แม่นมเปาหันกลับมา ก็เห็นฉินฮุ่ยหนิงเดินตามมาด้วย นางเหมือนจะยิ้มก็ไม่ใช่ พลันเอ่ยขึ้น “โทษบ่าวเองที่พูดไม่เก่ง ที่ยังพูดได้ไม่เข้าใจนัก?ฮูหยิน ฮูหยินติ้งกั๋วกงอยากจะพาคุณหนูฝ่ายนอกไปที่เซียนกูกวนเพื่อทำพิธีทางศาสนา แต่ไม่ได้บอกว่าจะพาคุณหนูฉินฮุ่ยหนิงไปด้วยนี่เ้าคะ”
ตอนนี้ที่หน้าประตูมีฉากไม้กั้นแกะสลักกั้นอยู่ แต่น้ำเสียงนั้นดังชัดได้ยินไปถึงหูคนที่อยู่ข้างในห้อง
ฉินหยีหนิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกแล้วพานอยากจะหัวเราะ นางรู้สึกหน้าแตกแทนฉินฮุ่ยหนิงแล้ว
แต่เดิมหน้าของฉินฮุ่ยหนิงก็ค่อนข้างบวมช้ำ ตอนนี้ยังบวมเป่งจนจะกลายเป็สีผิวของมะเขือม่วงเสียแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างมีน้ำตาคลออยู่เต็มเบ้าตา นางมองแม่นมเปาด้วยความอยากกล่าวโทษ
ซุนซื่อไม่อาจทนได้และนางก็เดินผ่านฉากไม้กั้นออกมา “วันนี้ข้าไม่ได้ติดตามท่านแม่ออกไปด้วย หรือว่าให้ฮุ่ยเจี่ยร์ตามไปด้วยดีหรือไม่?? พี่สาวน้องสาวทั้งสองจะได้ดูแลให้กันด้วย”
แม่นมเปายิ้มและเอ่ยขึ้น “ฮูหยินน้อย ไม่ใช่ว่าบ่าวไม่รับฟังในสิ่งที่ท่านแจ้งนะเ้าคะ เพียงแต่ว่านี่เป็คำสั่งของฮูหยิน ที่บอกว่าให้พาคุณหนูฝ่ายนอกออกไปเท่านั้น จวนติ้งกั๋วกงของพวกเรามีหลานสาวฝ่ายนอกเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ในใจของท่านก็รู้ดีนี่เ้าคะ หากท่านอยากให้คุณหนูฮุ่ยหนิงไปด้วย หรือว่า ถ้าอย่างนั้นท่านก็ไปอธิบายให้ฮูหยินติ้งกั๋วกงดีฟังดีหรือไม่เ้าคะ?? ก็อย่าทำให้บ่าวที่เป็คนกลางต้องทำตัวลำบากเลยเ้าค่ะ”
ซุนซื่อเมื่อได้ยินคำอธิบายก็ยิ่งรู้สึกทำตัวไม่ถูก จึงปิดปากตนเอง ในเมื่อ เมื่อวานฮูหยินติ้งกั๋วกงก็ได้บอกต่อหน้านางไว้แล้วว่า วันนี้จะพาฉินหยีหนิงออกไปข้างนอกเพียงแค่คนเดียว
แต่ตอนนี้อีกด้าน ฉินฮุ่ยหนิงโกรธจนอยากจะฆ่าคนแล้ว
นี่หมายความว่าอย่างไร แม่นมเปาตบหน้านางต่อหน้าทุกๆ คนหรือ
ต่อหน้าคนจำนวนมากถึงเพียงนี้ ก็พูดออกมาได้ว่าฮูหยินติ้งกั๋วกงมีหลานสาวฝ่ายนอกเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ที่แท้ก็เอาเกียรติของนางเหยียบลงบนพื้น
และคำพูดของแม่นมเปานั้นยังพูดไม่จบ จากนั้นก็พูดกับฉินฮุ่ยหนิงอีกครั้ง “ยังมีอีกหนึ่งประโยค บ่าวขอพูดละเมิดคุณหนูหน่อยนะเ้าคะ”
ริมฝีปากฉินฮุ่ยหนิงสั่นระริก นางพยายามควบคุมความโมโหของตนเองอยู่ ก่อนเอ่ยขึ้น “เ้าพูดมา”
“จวนติ้งกั๋วกงของพวกเราไม่นิยมความชั่วช้าเช่นนั้น ฮูหยินกับนายท่านต่างก็เคยพูดแล้วว่า คนมีความสามารถ ก็ใช้ความสามารถข้างนอกโน้น เอาความสามารถมาใช้ต่อสู้กันในรังตนเอง นั่นไม่ได้เรียกว่าความสามารถหรอก แต่เรียกว่าความสกปรกและต่ำช้าต่างหาก ในจวนติ้งกั๋วกงไม่มีคนเช่นนี้และไม่้าคนเช่นนี้ด้วย คุณหนูเป็คนฉลาดเฉลียว เดินมาจนถึงตอนนี้ ก็ควรทบทวนแล้วว่าตนเองได้กระทำผิดอันใดบ้าง แล้วก็อย่าคิดเพียงว่าตนเองนั้นเป็คนที่ฉลาดที่สุดในโลก คนอื่นต่างก็หูหนวกตาบอดและโง่เขลากันหมดนะเ้าคะ”
เมื่อแม่นมเปาพูดจบ นางก็เหยียดหลังตรงและคำนับ ถึงแม้ว่านางคำนับแล้ว แต่ฉินฮุ่ยหนิงกลับรู้สึกว่าตนเองนั้นโดนดูถูกเหยียดหยามเสียแล้ว
ฉินฮุ่ยหนิงไม่สามารถควบคุมมันได้อีกแล้ว นางร้องไห้และวิ่งออกจากห้องไป
แม่นมเปาเอ่ยพูดกับฉินหยีหนิงด้วยความเคารพ “คุณหนู พวกเราไปกันเถิดเ้าค่ะ”