หลังประโยคดังกล่าวสิ้นสุดลง กลับไม่มีการเคลื่อนไหวจากชายหนุ่มผู้หล่อเหลาแต่อย่างใด เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางเกียจคร้านและไม่ปริปากสักถ้อยคำ เขาทำเพียงแค่มองหลิวเซียนกูโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ
เสี่ยวซือผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังเขานั้นมีท่าทีมั่นคงสงบนิ่งดุจเดียวกัน กำลังจับไหล่และยกคางราวกับกำลังรอให้หลิวเซียนกูเอ่ยพูดออกมา
หลิวเซียนกูถอนหายใจและพูดว่า “ที่จู่ตงพูดมานั้น เสี่ยวเต้ามีที่เคยไม่เชื่อฟังด้วยหรือ? จะต้องทำตามที่ท่านได้จัดแจงไว้เป็แน่”
เมื่อได้รับการยืนยันอย่างแน่ชัดแล้ว ในที่สุดชายหนุ่มก็ยืนขึ้น พลางจัดเสื้อคลุมตัวนอกให้เรียบร้อย จากนั้นกล่าวต่อ “ถ้าเป็เช่นนั้น ข้าจะออกไปชมทิวทัศน์รอบๆ แล้วกัน”
ยามนั้นฉินหยีหนิงได้ติดตามฮูหยินติ้งกั๋วกงมาถึงห้องกลางแล้ว ระหว่างทางนางเหมือนได้ยินเสียงต่ำแ่เบาของผู้ชาย ซึ่งให้ความรู้สึกคุ้นหูอยู่หลายส่วน แต่จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ดังนั้นนางจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก
“ท่านยาย พวกเราไปดูเจดีย์ก่อนดีหรือไม่เ้าคะ?” ฉินหยีหนิงประคองฮูหยินติ้งกั๋วกงออกจากประตูพระจันทร์ เลี้ยวไปที่ลานหน้าโถงใหญ่และเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ฮูหยินติ้งกั๋วกงกลับส่ายหน้าพลางพูดตอบ “หยีเจี่ยร์ หากว่าเ้าชอบก็ไปเดินเล่นเถิด ข้ารู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย อยากจะไปจุดธูปขอพรโต้วหมู่หยวนจวินเสียหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นข้าไปกับท่านนะเ้าคะ” ฉินหยีหนิงเห็นระหว่างคิ้วของฮูหยินติ้งกั๋วกงมีความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด จึงยกเลิกความคิดที่จะเดินเล่นรอบๆ
ฮูหยินติ้งกั๋วกงเห็นนางเป็เช่นนั้น รอยยิ้มของนางก็ยิ่งลึกมากขึ้นและเอ่ยขึ้น “เด็กสาวอย่างพวกเ้ายากมากที่จะได้ออกมาที่นี่ในแต่ละครั้ง พวกเ้าไปเดินเล่นเถิด ข้าอยู่ที่นี่มีแม่นมเปาคอยดูแลอยู่ ข้าจะไปจุดธูปขอพร จากนั้นจะไปที่รถม้าเพื่อพักผ่อนแล้ว พวกเ้าก็ไปเดินเล่นรอบๆ เถิด จะได้ไม่มาเสียเที่ยวเปล่าๆ อย่างไรเล่า?”
ความเป็จริงแล้วฉินหยีหนิงอยากจะไปดูโดยรอบ แต่เพราะเป็ห่วงสุขภาพของฮูหยินติ้งกั๋วกงมากกว่าอื่นใด
เห็นอากัปกิริยาท่าทางของนางดังนั้น ฮูหยินติ้งกั๋วกงจึงยื่นมือไปััแก้มของนางจากนั้นได้เอ่ยขึ้น “เ้าเด็กน้อย อายุก็ยังน้อย อย่าไปคิดอะไรมากเลย ข้าจะเป็อะไรไปได้หรือ? เ้ากับคุณหนูถางไปดูเจดีย์ด้วยกันเถิด อีกสักพักค่อยมาที่ห้องโถงใหญ่เพื่อจุดธูปขอพรก็ยังได้ ตกลงตามนี้ก็แล้วกันนะ” นางพูดพลางโบกมือทำท่าทางให้คนออกไป ส่วนตัวนางเองนั้นจับมือแม่นมเปาเดินตรงไปยังห้องโถงใหญ่
ถางเิเดินไปกับฉินหยีหนิง นางยิ้มแย้มชวนคุย “คุณหนูอย่ากังวลเลย ข้าเห็นร่างกายของฮูหยินติ้งกั๋วกงไม่มีปัญหาอะไรใหญ่มาก เพียงแค่เป็โรคทางใจก็เท่านั้น คิดว่าน่าจะเป็เพราะวิตกกังวลเื่ในครอบครัวน่ะเ้าค่ะ”
ฉินหยีหนิงพยักหน้า นางคิดว่าที่ฮูหยินติ้งกั๋วกงเป็เช่นนั้นก็เพราะถูกคำพูดของหลิวเซียนกูทำให้ใกังวลเป็แน่
นางรู้เกี่ยวกับโหราศาสตร์ไม่มากเท่าใดนัก แถมนางยังเชื่อครึ่งและไม่เชื่อครึ่งหนึ่ง นึกถึงคำพูดที่ว่า ‘ดวงเนื้อคู่โคจรมาเจอกันแล้ว’ นั้น ใบหน้าของฉินหยีหนิงพลอยรู้สึกร้อนฉ่าขึ้นมาทันที นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคนที่กระโจนลงมาจากท้องฟ้าในวันนั้น เขาฉวยปิ่นปักผมของนางอย่างเดียวจะไม่ว่า แต่ยังััใบหน้าของนางอีกด้วย
ฉินหยีหนิงรู้สึกร้อนบนใบหน้า นางขมวดคิ้วและกระแอมไอเบาๆ พร้อมเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เดินไปดูรอบๆ ก่อนเถิด เ้าคุ้นเคยกับที่นี่ มีวิวทิวทัศน์ที่ใดสวยงามบ้าง?”
จากนั้นถางเิก็พาฉินหยีหนิงเดินดูทิวทัศน์รอบเซียนกูกวน
วันนั้นฉินหยีหนิงยังคงสวมเสื้อคลุมขนกระต่ายขาวและขนลิงอุรังอุตังสีแดง วิวทิวทัศน์ในฤดูหนาวที่เป็สีขาวเทา ทำให้ภาพของนางที่กำลังเยื้องย่างอยู่นั้นเหมือนกำลังเดินบนรูปวาดสีหมึก และเงาของนางกลายเป็สีสดใสที่เด่นชัดออกมา
ผางเซียวกับเสือน้อยมาถึงที่ว่างใกล้ๆ ห้องโถงใหญ่ มองเห็นแผ่นหลังบอบบางของฉินหยีหนิงกับถางเิกำลังเดินไปในทิศทางที่ตั้งเจดีย์
“นายท่าน ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้เจอคุณหนูฉินที่นี่ ท่านจะเข้าไปคุยด้วยหรือไม่ขอรับ?” เสือน้อยขยิบตาและเอ่ยขึ้น “คำพูดของล่าวเต้ากูเมื่อสักครู่นี้ มีความหมายบอกเป็นัยแล้ว โอกาสดีๆ เช่นนี้ จะไปดีหรือไม่ขอรับ...”
ผางเซียวนิ่วหน้าหันกลับไปจ้องมองหน้าเสือน้อย
เสือน้อยกระแอม ในที่สุดก็ปิดปากไม่พูดอะไรเลื่อนเปื้อนอีกแล้ว
ผางเซียวยืนอยู่ที่เดิม เขามองไปที่เงาข้างหลังของฉินหยีหนิงนิ่งๆ โดยไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
ไม่มีใครอยู่รอบๆ หากมีคนอยู่ด้วย ก็สามารถมองเห็นชุดเสื้อคลุมกระรอกสีขาวที่สง่างามนี้เป็แน่ ลมหายใจคมกริบของเขาเปิดเผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ในขณะเดียวกันนั้น ทั้งสองได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้คนกำลังเดินเข้ามาใกล้ ผางเซียวกับเสือน้อยรีบหลบเข้าไปข้างหลังต้นไม้ใหญ่
ได้ยินเสียงฮูหยินติ้งกั๋วกงกับแม่นมเปาเดินออกจากห้องโถงใหญ่ เดินไปที่ประตู เดินไปพลางพูดไปพลาง “...หยีเจี่ยร์เป็เด็กที่เชื่อฟังและรู้ความ เห็นแล้วว่ากวานจู่แสดงออกมาเช่นนั้นเป็เพียงแค่การทดสอบก็เท่านั้น หากว่าแค่การทำทาน นางก็ยังเสียดายที่จะให้ ถ้าอย่างนั้นจะดูแลคุณหนูถางได้อย่างไรเล่า?”
“ท่านคงไม่คิดว่าท่านผู้นั้นสูงส่งเกินไปหรอกนะเ้าคะ? บ่าวเห็นนางหน้าตาเหมือนเป็คนหน้าเืนะเ้าคะ”
“สิ่งเ่าั้เป็รูปลักษณ์ภายนอกทั้งสิ้น แต่ข้าคิดว่านางดูหยาบช้าแค่ภายนอกเท่านั้น แต่ภายในมีความเมตตากรุณา ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น นางจะรับคุณหนูถางมาอยู่ที่นี่หรือ? คิดว่าหน้าเืนั้นเป็เพียงการแสดงปลอมๆ ก็เท่านั้น...”
ฮูหยินติ้งกั๋วกงกับแม่นมเปาและบ่าวคนอื่นๆ เดินออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ เสียงพูดคุยก็ค่อยๆ เบาลงตามระยะทางที่ห่างออกไป
ตอนนี้ผางเซียวกับเสือน้อยถึงได้ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่
“นายท่าน ไม่คิดเลยว่าฮูหยินท่านนี้จะมองคนได้ลึกซึ้งชัดแจ้งยิ่งนัก” เสือน้อยมีความรู้สึกที่ดีต่อฮูหยินติ้งกั๋วกงอย่างมาก
ผางเซียวพยักหน้า หลังจากตั้งใจทำสมาธิ เขาได้ข่มประกายคมกริบสำหรับการต่อสู้เอาไว้ จากนั้นสายตาแข็งกร้าวแฝงความดุดันโเี้จึงได้เบาบางลงเล็กน้อย หลังของเขาไม่ได้เหยียดตรงอีกต่อไปแต่กลับค่อมต่ำลงมา
ด้วยเหตุที่ว่า ทำให้ิญญานักรบที่แสดงออกตลอดมาถูกเก็บงำและแปรเปลี่ยนให้เขากลายเป็คุณชายที่สง่างาม
“ไปกันเถอะ พวกเราไปที่ห้องโถงใหญ่กัน” ผางเซียวก้าวเท้านำไปก่อน
เสือน้อยพยักหน้าพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราไปจุดธูปขอพรด้วยเถิด ตอนนี้ล่าวไท่แหย่ ไท่ฟูเหรินกับล่าวฟูเหรินอยู่ในวัง ไม่รู้ว่าจะเป็อย่างไรกันบ้างแล้ว หวังว่าในครั้งนี้พวกเราจะจัดการธุระให้สำเร็จแล้ว ก็จะสามารถทำให้ฮ่องเต้หายโกรธได้”
เมื่อพูดถึงการถูกขังตัวไว้ในวัง ซึ่งมีทั้งท่านแม่ของ ‘เสี่ยวจู้’ และท่านตากับท่านยายแล้ว สีหน้าของผางเซียวมีความวิตกกังวลอยู่หลายส่วน
รูปปั้นสีทองของโต้วหมู่หยวนจวินในห้องโถงใหญ่นั้น มีความน่าเกรงขามและสง่างามอย่างมาก
ผางเซียวกับเสือน้อยต่างจุดธูป และคุกเข่าด้วยวิธีการของลัทธิเต๋าอย่างสง่างาม พวกเขาก้มกราบพร้อมขอพร “ขอโต้วหมู่หยวนจวินช่วยคุ้มครองท่านแม่กับทุกคนในครอบครัวของลูกศิษย์ให้ปลอดภัย ความผิดที่ลูกได้ฆ่าคนนั้น ลูกขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว อย่าได้ให้ผลกรรมนี้ทำร้ายครอบครัวของลูกเลย”
หน้าผากก้มจรดติดพื้น ผางเซียวอธิษฐานสวดมนต์ภาวนาด้วยความจริงใจ ท่าทางของเขาที่ปรากฏให้เห็นเจือความอ่อนแออยู่หลายส่วน ทำให้เสือน้อยซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ข้างๆ เกิดความรู้สึกสงสารท่วมท้น
เขาติดตามผางเซียวมาโดยตลอด และเข้าใจถึงความเ็ปของเ้านายดีที่สุด ทุกคนต่างรู้ว่าท่านอ๋องผางเซียวนั้นเป็คนสูงส่งและมีอำนาจ เขาฆ่าคนด้วยความเด็ดขาด แต่จะมีใครเห็นเขาหนาวเหน็บอยู่บนยอดเขาสูงนั่นบ้าง?
สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับผู้คนก็คือ ทั้งๆ ที่ทุ่มเทไปแล้วมากมาย แต่ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ และยังถูกตำหนิต่างๆ นานา เนื่องจากความดุเดือดของท่านอ๋องน้อย บางครั้งแม้แต่ล่าวไท่แหย่ ไท่ฟูเหรินกับล่าวฟูเหรินก็ตีเขา ด้วยความหวังว่าไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตตนเองเช่นนั้น
แต่จะมีใครสามารถเข้าใจพวกเขาที่ไม่มีทางให้เลือกได้บ้าง?
บางครั้ง พวกเขาก็เหมือนกำลังขี่อยู่บนหลังเสือ ยากที่จะลงมาได้
“แกร๊ก แอ๊ด!”
เสียงประตูถูกผลักทำให้ความนิ่งเงียบในห้องโถงใหญ่นั้นหายไป
ผางเซียวกับเสือน้อยต่างหันหลังมอง เห็นฉินหยีหนิงที่สวมเสื้อคลุมขนกระต่ายขาวและขนลิงอุรังอุตังสีแดงกับนักบรรพชิตเต๋าน้อยถางเิเดินจับมือเข้ามา
คะเนว่าอารมณ์น่าจะดีอยู่ไม่น้อย เพราะฉินหยีหนิงมีรอยยิ้มที่สดใส จนปรากฏลักยิ้มบนแก้มทั้งสองข้าง ดวงตาหยีลงทำให้นางดูน่ารักเป็พิเศษ
ผางเซียวนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันกลับมาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้หูของเขาจะเริ่มเปื้อนสีแดง แต่เขายังคุกเข่าอย่างมั่นคง มองขึ้นไปยังรูปปั้นของโต้วหมู่หยวนจวินราวกับกำลังสวดมนต์ขอพรอย่างจริงใจ
บนพื้นมีเบาะรองอยู่สามใบ
ก่อนหน้านี้ เสือน้อยคุกเข่าอยู่ด้านขวา เพียงพริบตาเขากลับลุกมายืนอยู่ข้างๆ แล้ว ส่วนผางเซียวยังคงอยู่ที่ตำแหน่งตรงกลาง และมีเบาะว่างซ้ายขวาพอดี
ฉินหยีหนิงมีความลังเลเล็กน้อย แต่วัดลัทธิเต๋านี้เป็ที่สาธารณะ นางไม่มีสิทธิ์ที่จะไล่คนออกไปได้ ทำได้เพียงแสร้งทำเป็มองไม่เห็นชายหนุ่มผู้นั้น จากนั้นนางกับถางเิก็ได้จุดธูป นางย่อตัวลงคุกเข่าบนเบาะรองด้านขวา ปิดตาทั้งสองและสวดมนต์ขอพรด้วยความจริงใจ
ถางเิคุกเข่าอยู่บนเบาะด้านซ้าย ทำการคำนับด้วยวิธีของลัทธิเต๋าเช่นกัน
ถึงแม้ว่าผางเซียวจะคุกเข่าอยู่ แต่ว่าหางตาของเขานั้นกำลังชำเลืองมองฉินหยีหนิงซึ่งอยู่ข้างๆ แล้วก็ไม่ได้มองที่อื่นอีกเลย
นางเกิดมามีความอ่อนโยนและน่ารักเช่นนี้ แต่ว่าโชคชะตาของนางนั้นกลับมีอุปสรรค...
ตอนนี้นางน่าจะมีอายุสิบสี่ปีแล้วสินะ?
ตอนที่เขาและนางพบกันครั้งแรก เขามีอายุพอๆ กับนางในตอนนี้
เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งทว่าสะอาดสะอ้าน นางมักจะเจรจาขอเลื่อนการจ่ายค่ายากับเ้าของร้านขายยาเพื่อรักษาแม่บุญธรรมของนาง แต่กลับโดนไล่ออกมา ถูกคนงานผลักหกล้มอยู่บนพื้น
ตอนนั้นเขาติดตามท่านเจิ้งกับทหารรักษาการณ์จ้าว มองดูนางอยู่ไม่ไกล ทหารรักษาการณ์จ้าวหัวเราะออกมาหลังจากได้เห็นฉินหยีหนิงโดนรังแก แต่ในใจของเขากลับรู้สึกไม่ดีเลย
แต่เดิมเขาคิดว่านางคงต้องร้องไห้ ความจริงแล้วนางก็สมควรที่จะร้องไห้ แต่เด็กหญิงเพียงแค่ลุกขึ้นยืน ตบฝุ่นที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าของนางออก จากนั้นนางก็หยิบตะกร้าที่ขาดรุ่งริ่งอย่างดื้อรั้น นางใช้เงินทองแดงที่เหลือซื้อซาลาเปาไส้เนื้อสองก้อน นำมันกลับบ้านไปเพื่อให้แม่บุญธรรมได้กิน
ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ลืม ใบหน้าเล็กจ้อยและตาโตสดใสของนาง นางตบท้องแห้งๆ ของตนเพื่อบอกแม่บุญธรรมว่า ได้กินแล้วด้วยรอยยิ้ม
ตอนนั้นเขาทนไม่ได้แล้ว จึงเดินผ่านบ้านของนาง และได้ขอน้ำดื่ม
เมื่อเด็กน้อยเห็นเขา ก็มองดูเขาพักใหญ่ จากนั้นยิ้มตาหรี่เล็กและพูดว่า “พี่ชายคนสวย” ก่อนไปต้มน้ำให้
เขาดื่มน้ำเสร็จแล้ว จึงหยิบเงินในกระเป๋าเสื้อออกมาให้นาง ในนั้นมีประมาณสิบเหลียงและยังมีเงินทองแดงอีกด้วย
นางเห็นเงินเยอะแยะจึงตกตะลึง และไม่ยอมรับมันไว้
เขาแกล้งทำหน้าเหมือนรู้บุญคุณ บอกไว้ว่าเป็การให้รางวัล ท่านเจิ้งและทหารรักษาการณ์จ้าวถึงกับโกรธมากก่อนออกจากบ้านของนางไป
ท่านเจิ้งกับทหารรักษาการณ์จ้าวเป็เพื่อนร่วมงานของท่านพ่อ เมื่อเดินออกมาจากบ้านของนางแล้วก็เอ่ยถามเขาเสียงสูง
“เหตุใดเ้าถึงได้ช่วยเหลือลูกสาวของศัตรู”
“สุนัขลอบกัดอย่างฉินหวยหยวนสมควรตาย ถ้าไม่ใช่เพราะการทรยศของเขา ตอนนั้นแม่ทัพผางก็คงไม่ตายด้วยความอยุติธรรม จนต้องโดนหั่นเนื้อเป็ชิ้นให้สุนัขกิน นั่นคือไม่มีอะไรเหลือไว้สำหรับครอบครัวผางเลย...”
ตอนนั้นเขาอายุได้สิบห้าปี ถูกหลีฉิเทียนหาเจอและให้เข้าเป็ทหาร หลีฉิเทียนยกธงของแม่ทัพผางขึ้นพร้อมแต่งตั้งเขาเพื่อแก้แค้นแทนบิดา อีกเป้าหมายหนึ่งคือเพื่อล้มล้างทรราช
ไม่มีใครเคยถามเขาเลยว่าเขายินดีที่จะทำหรือไม่ กองทหารเ่าั้แค่ตั้งแถวขวางหน้าบ้านของท่านตาซึ่งเปิดเป็ร้านอาหารเล็กๆ ก่อนพวกนั้นจะจับตัวเขามา...
และไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็เพียงแค่ผลงานชั่วข้ามคืนของแม่ทัพผางผู้โด่งดัง แม้กระทั่งตัวแม่ทัพผางเองอาจจะจำไม่ได้แล้วว่าเขายังมีตัวตนอยู่หรือไม่
แต่ท่านย่าตระกูลผางถ้าเป็คนดีจริงๆ เหตุใดถึงได้ไล่ท่านแม่ของเขาอย่างเืเย็นเล่า?
เขาเกิดมาก็ถูกคนอื่นตัดสินโชคชะตาแล้ว
และเด็กผู้หญิงคนนี้ ไม่ใช่ว่าเกิดมาแล้วถูกคนอื่นกำหนดชะตาไว้เช่นกันหรือ?
ตอนนั้นเขาได้ถามท่านเจิ้ง “เด็กหญิงคนนี้รู้อันใด? พวกเขาลักพานางออกมา ทำให้นางได้รับความยากลำบาก นี่ก็หลายปีมาแล้วก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ? ถ้ามีความสามารถจริงๆ เหตุใดพวกเ้าไม่ไปหาบิดาของนางเพื่อแก้แค้นเล่า เหตุใดถึงได้ทำร้ายเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์คนนี้ด้วย?”
ท่านเจิ้งพูดออกมาเพียงแค่ประโยคเดียวว่า ...พ่อติดหนี้ไว้ ลูกจะต้องชดใช้
ความคิดของพวกเขามีความแตกต่างกัน ทะเลาะกันไปก็แก้ปัญหาไม่ได้
หลังจากนั้นผ่านไปหนึ่งปี เขามีอำนาจและความน่าเชื่อถือในกองทัพ ได้กลายเป็คนที่ฆ่าคนอย่างเืเย็นไปแล้ว
เพียงแต่ทุกครั้งที่เขานึกถึงเด็กผู้หญิงคนนั้น ความเ็าและแข็งกร้าวของเขาดูเหมือนว่าจะบรรเทาแปรเปลี่ยนเป็ความอ่อนโยนอยู่หลายส่วน
เขาพาคนไปหานาง อยากจะช่วยนาง
แต่ว่าเมืองเหลียงได้กลายเป็เมืองที่ถูกปล้นสะดมไปแล้ว ทำให้บ้านของนางเหลือเพียงแค่ความว่างเปล่า
เขาจับคนเพื่อมาสอบถาม ถึงได้รู้ว่าเมื่อเดือนก่อนแม่ของนางได้ตายไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่านางหายไปที่ใด
เขาคิดว่านางได้ตายแล้ว
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้ความ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เรียกเขาว่า ‘พี่ชายคนสวย’ อย่างอ่อนโยน เด็กผู้หญิงที่ทำให้เขามีความรู้สึกละอายใจและสงสาร ต้องมาตายจากอย่างน่าเวทนาและไม่มีข่าวคราวใดๆ หรือ
เพียงแต่ไม่คิดเลยว่า เจ็ดปีหลังจากนั้น เขาจะได้เจอนางอีกครั้ง นางโตเป็สาวแล้ว ทำให้ทุกๆ ครั้งที่เขาเจอนาง หัวใจของเขาเต้นไม่ปกติ