บทที่ 68 แบบนี้สิถึงจะหวาน
ไม่ไกลจากประชาคมชีหลี่เท่าไหร่ก็มีสถานีรถไฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่รถไฟที่ลู่จิ่งซานจะขึ้นนั้นไม่ได้จอดที่นี่ ดังนั้นเขาจึงบอกว่าจะออกเดินทางตอนบ่าย แต่ความจริงแล้วตอนเช้าต้องไปที่ตัวอำเภอก่อน จากนั้นนั่งรถบัสไปยังเมืองฉิน แล้วต่อรถไฟอีกสองวันถึงจะไปถึงเขตเมืองที่กองทัพตั้งอยู่
เมื่อคืนตอนที่ทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านก็ดึกมากแล้ว อาบน้ำล้างหน้าเสร็จก็เข้านอน แน่นอนว่าลู่จิ่งซานยังคงปูเสื่อนอนที่พื้นเหมือนเดิม
ตอนเช้าพอสวี่จือจือตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นลู่จิ่งซานอยู่ในห้องแล้ว ผ้าปูที่นอนบนพื้นถูกเขาเก็บใส่ตู้เรียบร้อย
เธอเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูเหมือนว่ายังเช้าอยู่ เธอจึงลุกขึ้นจากเตียง
ในครัวลู่ซือหยวนกำลังก่อไฟอยู่ พอเห็นอีกฝ่ายเข้ามาก็พูดว่า “จิ่งซานออกไปวิ่งแล้ว นอนต่ออีกหน่อยไหม?”
บนใบหน้าของลู่ซือหยวนยังคงมีรอยฟกช้ำอยู่บ้าง แต่ไม่ร้ายแรงเท่าเมื่อวานแล้ว
“ไม่เป็ไรค่ะพี่” สวี่จือจือยิ้มแล้วพูดว่า “เช้านี้กินอะไรดีคะ?”
“อ้าว?” ลู่ซือหยวนพูด “ฉันก็ไม่รู้ว่าจะกินอะไรดีเหมือนกัน”
ถ้าเป็บ้านตระกูลจ้าว เธอจะรู้ว่าต้องทำอะไร
“งั้นเดี๋ยวฉันทำเอง” สวี่จือจือพูดพลางรวบแขนเสื้อขึ้น “ฉันจำได้ว่าคุณย่าบอกว่าตอนเด็กๆ จิ่งซานชอบกินข้าวหมากเหรอคะ?”
“คุณย่าเล่าเื่นี้ให้ฟังด้วยเหรอ?” ลู่ซือหยวนหัวเราะคิกคัก “ถ้าจิ่งซานรู้เข้าคงทำหน้าบูดอีกแน่ๆ”
“ทำไมล่ะคะ?” สวี่จือจือแช่ข้าวเหนียวในน้ำอุ่น
“เขารู้สึกว่ามันไม่แมน” ลู่ซือหยวนเติมไฟพลางหัวเราะ “รู้สึกว่าผู้ชายอกสามศอกที่ไหนเขาชอบกินของหวานกัน?”
สวี่จือจือขำ
ตอนที่จ้าวลี่เจวียนเข้ามาในครัว สวี่จือจือกำลังนึ่งข้าวหมากอยู่ในหม้อ “ป้าสะใภ้ใหญ่ เช้านี้หนูทำข้าวหมากค่ะ”
เธอบอกให้อีกฝ่ายรู้ล่วงหน้า
“จิ่งซานนี่มีบุญจริงๆ” จ้าวลี่เจวียนพูดพลางยิ้ม
พอถึงเวลากินข้าวเช้า ลู่จิ่งซานเห็นข้าวหมากบนโต๊ะแถมยังเห็นสวี่จือจือที่ยิ้มให้ เขาก็ก้มหน้าก้มตากินข้าว ทำเหมือนมองไม่เห็นมันยังไงยังงั้น
สวี่จือจือหัวเราะเบาๆ พอลู่จิ่งซานกินข้าวเสร็จแล้วเข้าไปในห้อง สวี่จือจือก็ตามเข้าไปด้วยพร้อมกับถือชามเล็กๆ ในมือ
“ฉันทำเป็ครั้งแรก ลองชิมดูหน่อยสิว่าอร่อยไหม?” เด็กสาวพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้าของลู่จิ่งซานแดงขึ้นเล็กน้อย เขากำลังเก็บของพลางแสร้งทำเป็ไม่ได้ยินความหมายแฝงของเธอ “คุณอยากได้หนังสือใช่ไหม? เดี๋ยวผมไปหาที่เมืองฉินแล้วส่งมาให้”
“อ้อ ใช่แล้ว” สวี่จือจือพยักหน้า เอียงคอถามเขา “คุณยังไม่ได้ตอบตกลงฉันเลยนี่ มานี่ก่อนสิ อย่าเพิ่งรีบเก็บของ ลองชิมดูสิว่าหวานไหม?”
ลู่จิ่งซานหยุดมือที่กำลังเก็บของอยู่ เขามองเธอด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง พร้อมกับเผยรอยยิ้มแบบที่สวี่จือจือไม่คุ้นเคยนัก “คุณจะให้ผมชิมจริงๆ เหรอ?”
สวี่จือจือกะพริบตาแล้วยิ้มหวาน “อืม ลองชิมดูสิ”
น้ำเสียงของเธอไพเราะราวกับเสียงเพลงที่เธอร้อง แถมยังมีความออดอ้อนเล็กน้อย
“งั้นคุณมานี่สิ” ลู่จิ่งซานพิงโต๊ะ พลางมองเธอด้วยสีหน้าจดจ่อ “ผมจะลองชิมดูว่าหวานไหม?”
น้ำเสียงของเขาแหบพร่าและมีเสน่ห์ ราวกับจะดึงดูดให้คนหลงใหล
น่าสงสารสวี่จือจือเหลือเกิน ไม่ทันได้รู้ตัวว่าลู่จิ่งซานเริ่มเผยความอันตรายออกมาแล้ว เธอยังคงยิ้มแป้นเหมือนกระต่ายน้อย แล้วยื่นข้าวหมากที่เธอตั้งใจเหลือไว้ให้
มือเรียวขาวถือชามเล็กๆ ยื่นไปตรงหน้าเขา “ลองชิมดูว่าอร่อยไหม ฉันทำตั้งนาน คุณยังไม่ได้ชิมสักคำเลย”
ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อบ่นงุบงิบ รู้สึกไม่พอใจที่เขาไม่สนใจความตั้งใจของเธอ
“ได้สิ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าแล้วรับชามและตะเกียบจากมือเธอ แต่ไม่ได้ทำตามอย่างที่เธอคิดว่าจะกินข้าวหมากที่เธอทำ
ตรงกันข้าม เขากลับใช้แขนอีกข้างคว้าตัวเธอเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขน
“เอ๊ะ?” สวี่จือจือประหลาดใจเล็กน้อย
ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตั้งตัว ริมฝีปากสีแดงที่ยื่นออกมาของเธอก็ถูกลู่จิ่งซาน
ตอนที่ริมฝีปากของเขาแตะกับริมฝีปากที่นุ่มนวลและเป็สิ่งที่เขาปรารถนา ลู่จิ่งซานก็นึกถึงตอนที่เขากินข้าวหมากเป็ครั้งแรก
วันนั้นเขาท้องหิวมาก ตอนที่กินคำแรกเข้าไป รสชาติหวานละมุนที่ััได้ ทำให้ทุกอณูรับรสเต็มไปด้วยความหวาน เป็สิ่งที่เขาจะไม่มีวันลืมได้ เหมือนกับเขาในตอนนี้
ฟันของเขาแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากอันบอบบางของเธออย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนที่จะระงับใจแล้วค่อยๆ ถอยออกมาอย่างระมัดระวัง
สวี่จือจืออยู่ในอาการมึนงง ความรู้สึกร้อนผ่าวที่ริมฝีปากเหมือนกับสวิตช์ที่เปิดออก จุดประกายไฟในหัวใจ
เธอลืมตาขึ้นมองเขาด้วยดวงตาที่ชื้นแฉะ ใบหน้าที่แดงระเรื่อด้วยความเขินอาย แม้แต่ปลายคิ้วก็ยังเป็สีชมพู
หลังจากที่เขาถอยออกไป สวี่จือจือก็เอามือแตะตรงที่เขาเพิ่งจูบเธออย่างงุนงง ราวกับว่าตรงนั้นถูกไฟลวก ยังคงร้อนผ่าวจนถึงตอนนี้
เสียงหายใจที่หนักหน่วงของลู่จิ่งซานแสดงให้เห็นว่าลมหายใจของเขาเริ่มไม่ปกติ สมาธิที่เขาภาคภูมิใจเหมือนจะพังทลายลงในพริบตาเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ แต่เขาก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ค่อยๆ จับมือเธอแล้วดึงให้เธอเข้ามาใกล้เขามากขึ้น
จูบแรกที่สวี่จือจือใฝ่ฝัน ตอนนี้เธอก็ยังคงอยู่ในอาการมึนงง ปล่อยให้เขาดึงเธอเข้าไปใกล้ๆ ได้กลิ่นอายที่คุ้นเคยจากตัวเขาทำให้เธออดตัวสั่นไม่ได้
เธอได้ยินเพียงเสียงแหบพร่าของชายหนุ่มที่กระซิบข้างหูเธอว่า “หวานมาก”
ราวกับมีะเิลง
ใบหน้าของสวี่จือจือแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม ริมฝีปากสีแดงระเรื่อเม้มเข้าหากัน ดวงตากลมโตที่สดใสและไร้เดียงสาเต็มไปด้วยความเขินอาย ขนตางอนยาวสั่นระริก
เธอให้เขาชิมสิ่งนี้ที่ไหนกัน เธอแค่อยากให้เขากินข้าวหมากที่เธอทำด้วยมือแท้ๆ แต่คนไม่ดีคนนี้ ทำไมถึงกลายเป็แบบนี้ไปได้?
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อกี้เขาถึงพูดแบบนั้น
ลู่จิ่งซานจ้องมองเธอตาไม่กะพริบ เห็นเพียงใบหน้าเล็กๆ ของเธอที่แสดงอารมณ์ทั้งโกรธทั้งเขินอาย เขาจึงรู้สึกว่าจูบเมื่อกี้สั้นเกินไป อยากจะดึงเธอเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนแล้วทะนุถนอมให้เต็มที่ แต่ก็กลัวว่าเธอจะใจึงได้แต่อดกลั้นไว้ เขาก้มลงมองเธอแล้วพูดว่า “คุณรู้ไหม เมื่อก่อนตอนที่ได้ยินทหารแก่ๆ พวกนั้นบอกว่าเยี่ยมญาติแล้วไม่อยากกลับไป ผมยังหัวเราะเยาะพวกเขาในใจว่าขี้ขลาด”
“แต่ตอนนี้...ผมก็ไม่อยากกลับไปเหมือนกัน”
ถึงขั้นนึกถึงเื่ที่ฮ่องเต้ในยุคโบราณละทิ้งราชกิจ เขายังคิดว่านั่นเป็สิ่งที่คนโง่เท่านั้นที่จะทำ แต่ตอนนี้เขาคิดว่าพวกเขาไม่ต่างกันเท่าไหร่
สวี่จือจือได้ยินเขาพูดแบบนั้น ดวงตากลมโตก็เบิกกว้างมองเขา ไม่กล้าเชื่อว่าเขาจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกหวานชื่นอยู่ในใจ อดไม่ได้ที่จะเอามือลูบริมฝีปากของตัวเองอีกครั้ง
ปลายลิ้นเล็กๆ แตะเลียตรงที่เขาเพิ่งจูบอย่างไม่รู้ตัว เหมือนว่าตรงนั้นยังคงมีกลิ่นอายของลู่จิ่งซานหลงเหลืออยู่
เธอยกเปลือกตาขึ้นมองเขา เห็นเพียงดวงตาลึกซึ้งของเขากำลังมองมาที่เธอด้วยความอ่อนโยน
สวี่จือจือส่งยิ้มหวานให้เขา
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังตะลึง เธอก็โอบรอบคอเขาด้วยแขนเรียวเล็ก เขย่งปลายเท้าขึ้น และเงยหน้าขึ้น...
แบบนี้สิถึงจะหวาน!
แต่พอทุกอย่างจบลง สวี่จือจือสาบานว่าต่อไปเธอจะไม่เริ่มก่อนอีกแล้ว
ฮือๆ...ผู้ชายคนนี้จะน่ากลัวเกินไปแล้ว!
ยั่วไม่ได้เลยจริงๆ!
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้