ในขณะที่ฟางหยวนกำลังร้องไห้อยู่คนเดียว ประตูห้องก็ถูกเปิดออกจากด้านนอก เสิ่นิเดินเข้ามาพร้อมกับอาหารเช้า
“เธอสร่างเมาแล้วหรือ? เมื่อวานเธอเมาเละเลย ครูก็เลยตามคุณครูเซี่ยวจิ้งมาช่วย เธอนี่นะ คอไม่แข็งแล้วยังจะดื่มพรวดๆ อีก สุราเป็พิษเลย ทำเอาครูใแทบแย่ โชคยังดีที่คุณครูเซี่ยวจิ้งเธอรู้วิชาปฐมพยาบาล เธอควรจะขอบคุณ และเลิกหาเื่ครูเซี่ยวจิ้งได้แล้วนะ
เออ ใช่ ครูซื้ออาหารเช้ามาด้วย จะทานเท่าไรก็ได้ นี่คือกุญแจสำรองห้องของเธอ ครูวางไว้ตรงนี้นะ วันนี้วันเสาร์ เธอก็พักผ่อนเถอะ” เสิ่นิพูดจาอย่างกับตนเป็แม่บ้าน พูดไปก็วางอาหารเช้าลงบนโต๊ะไป ก่อนจะหมุนตัวเตรียมจากไป
“เดี๋ยวค่ะครู” ฟางหยวนเช็ดน้ำตาออกจากหางตา ก่อนจะลุกพรวดในขณะที่ยังกอดรูปแม่อยู่ เธอพุ่งตัวเข้าไปในห้องนอน สักพักเธอก็กลับออกมาพร้อมกับกระเป๋าสะพายนักเรียน หญิงสาวยัดมันใส่ในอ้อมแขนของเสิ่นิ “ให้ครูค่ะ”
เสิ่นิเปิดซิปออกดู แม่เ้า ในกระเป๋ามีแต่ธนบัตรสีแดง อย่างน้อยๆ ก็น่าจะ 3 หมื่นได้ บ้านไหนเขาพกเงินสดกันโดยที่ไม่ใส่ตู้เซฟบ้าง เก็บในกระเป๋านักเรียนแบบนี้ก็ได้เหรอ?
“ให้เงินครูทำไม?” เสิ่นิแปลกใจ
“เพราะเมื่อคืนครูช่วยหนูไว้” สำหรับฟางหยวนแล้ว นี่เป็ตรรกะอันสมเหตุสมผลที่สุด “หรือว่าไม่พอ? หนูยังมีอีกใบนะ หนักกว่าใบนี้อีก”
เด็กที่โตมาบนกองเงินกองทอง รู้จักแต่วิธีการใช้เงินเพื่อแสดงความรู้สึกขอบคุณ มองทุกอย่างเป็ตัวเลข ขนาดเงินยังนับกันที่น้ำหนัก จู่ๆ เสิ่นิก็รู้สึกว่าเด็กสาวตรงหน้านั้น...ช่างน่าเวทนา
ฟางหยวนหมุนตัวหมายจะไปหยิบอีกใบออกมา แต่ทันใดนั้น เสิ่นิก็คว้ามือเธอเอาไว้
“ฟางหยวน ถ้าเธออยากแสดงความขอบคุณล่ะก็ ความจริงแล้วไม่จำเป็ต้องใช้เงินเลย” เสิ่นิสอน
“ต้องทำยังไงคะ?”
“ก็บอกว่าขอบคุณ หรือแค่กอดอย่างอบอุ่น ก็เท่านั้น” เสิ่นิอมยิ้ม
“ขอบ...” ฟางหยวนพยายามพูดมันออกมา แต่เหงื่อเย็นผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก เมื่อหวนคิดถึงตอนที่เธอเคยเรียนการใช้คำพวกนี้ มันก็ั้แ่สมัยอนุบาล เธอไม่เคยเอามันมาใช้เลยทั้งชีวิต
เมื่อก่อนตอนอยู่ที่บ้าน เธอมีคนคอยรับใช้ คนพวกนั้นได้รับเงินเดือน ทำไมถึงต้องขอบคุณด้วยล่ะ? ที่โรงเรียน เวลาเธอแจกเงิน แจกของขวัญเพื่อนๆ เธอก็เห็นว่าพวกเขาดูมีความสุขดี ทำไมถึงต้องพูดขอบคุณด้วยล่ะ? พอขึ้นมัธยมปลาย เธอก็ไม่ได้สนิทสนมกับใคร เธอก็เลยยิ่งไม่เห็นความจำเป็ที่จะต้องกล่าวขอบคุณ...
ลิ้นของฟางหยวนแทบจะขมวดเป็ปม ทันใดนั้น เธอก็ตัดสินใจก้าวไปข้างหน้า และโค้งลำตัวลงเพื่อโอบรอบเอวเสิ่นิอย่างทื่อๆ ท่าทางนั้นเหมือนกับท่ากอดจู่โจมในแม่ไม้มวยไทย
“สหาย เธอทำอะไรน่ะ?” เสิ่นิกล่าวอย่างขุ่นเคือง
“ก็ครูบอกว่ากอดก็ได้ไม่ใช่เหรอ?” ฟางหยวนทำปากจู๋ หน้าของเธอแทบจะติดกับลำตัวของเสิ่นิ
“ครูหมายถึงกอด ไม่ใช่ฆ่าครู ที่เธอทำอยู่น่ะ มันไม่เหมือนการขอบคุณ แต่เหมือนว่าเรามีความแค้นฝังลึกกันมากกว่า” เสิ่นิคิดว่าตนเองไกลห่างจากสามัญสำนึกทางสังคมมากแล้ว แต่แม่สาวตรงหน้านี้ ราวกับว่าเธอเป็ ET ซึ่งเพิ่งจะเหยียบถึงพื้นโลก
“ทำไมครูต้องเยอะขนาดนี้ด้วย ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณให้ถึงบรรพบุรุษเลย ใช้ได้หรือยัง?” ฟางหยวนผู้มีทิฐิในที่สุดก็กล่าวคำขอบคุณเป็ครั้งแรกในชีวิตได้สำเร็จ
“ใช้ได้แล้ว ทานอาหารเช้าแล้วก็พักผ่อนซะ” เสิ่นิถอนหายใจ
“ห้องน่าเวียนหัวอย่างนี้จะไปนอนพักได้ยังไง?”
“น่าเวียนหัว? ไอ้ของที่พังครูก็ซ่อมให้หมดแล้วนี่? อันไหนที่ซ่อมไม่ได้ก็ทิ้งไปแล้ว” เสิ่นิยุ่งจนหัวหมุนทั้งคืน
“หนูหมายถึงครูติดกาวซะเหม็นจนน่าเวียนหัว กลิ่นแรงขนาดนี้ จะไปนอนหลับลงได้ยังไง ของพังแล้วก็เอาไปทิ้ง เื่ธรรมดาจะตาย” ฟางหยวนรวบรวมความกล้าก่อนจะถามออกไป “วันนี้ครูมีเวลาว่างหรือเปล่า?”
“เธอคิดจะทำอะไร?”
“ไป Ceccotti กันเถอะ ไปเลือกเฟอร์นิเจอร์กับของตกแต่งบ้านกัน ที่สำคัญที่สุดคือเลือกกรอบรูปอันใหม่ให้แม่” ฟางหยวนยกกรอบรูปแตกๆ แหว่งๆ ในมือขึ้นมาอย่างเขินอาย
“Ceccotti คืออะไร?” เสิ่นิไม่เคยได้ยินชื่อ
“ร้านเฟอร์นิเจอร์นำเข้าจากอิตาลี ของเขาสวยมาก ไม่แพงด้วย เก้าอี้ไม้สักแค่ตัวละ 3 หมื่นกว่าหยวนเอง” ในขณะที่ฟางหยวนพูดออกมานั้น เสิ่นิก็รู้สึกปวดตับ
“ที่รัก ครูไปช้อปปิ้งเป็เพื่อนเธอก็ได้ แต่ว่าเราไปที่ที่มันธรรมดาๆ กว่านั้นหน่อยได้ไหม?”
“ที่ไหน?”
“IKEA เธอเคยได้ยินไหม?”
“ใช่ร้านเฟอร์นิเจอร์ที่เหมือนห้าง Wal-Mart หรือเปล่า? สินค้าที่นั่นมีคนไปลองใช้วันละกี่ร้อยคน จะซื้อได้เหรอ? จะไม่ติดเชื้อโรค เชื้อไวรัสมาใช่ไหม?!” ฟางหยวนแสดงสีหน้ารังเกียจราวกับว่าครูบังคับให้ทานอาหารผิดสำแดง
“ฟังครูนะ เราแค่ไปเลือกของ หลังจากนั้นก็จะมีคนส่งของใหม่มาให้ เธออยากจะเป็อิสระจากเงินของพ่อมาโดยตลอดไม่ใช่เหรอ อยากมีชีวิตแบบที่คนธรรมดาทั่วไปมีไม่ใช่หรือไง? ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มจากการลองใช้เฟอร์นิเจอร์แบบคนทั่วไปเขาดูก่อนสิ” เสิ่นิใช้เหตุผลจัดการกับอารมณ์ ราวกับกำลังเกลี้ยกล่อมเด็กน้อยให้ทานยา
“ฟังดูมีเหตุมีผลดีนะ แต่ครูรับรองได้ไหมว่า สินค้าที่ส่งมาจะเป็ของใหม่แกะกล่อง?” ฟางหยวนยังคงอึดอัดใจ
“ครูรับรอง ถ้าไม่ใช่ของใหม่ เราก็ส่งคืนเขาได้ ทานเสร็จแล้วก็ออกเดินทางเลยนะ” เสิ่นิสอนบทเรียนแรกในการกลับมาใช้ชีวิตเช่นปุถุชนให้กับคุณหนูใหญ่
“เสิ่นิ ไม่ต้องให้ฉันเตือนนายใช่ไหมว่า IKEA น่ะคนเยอะแค่ไหน? สถานการณ์ของฟางหยวนในตอนนี้เหมาะที่จะไปในที่ที่คนพลุกพล่านหรือ?” น้ำเสียงที่ห่วงใยของเซี่ยวอี๋ลอดผ่านเข้ามาในหูฟัง ยิ่งนานวัน เธอยิ่งปรับตัวให้เข้ากับการเป็บอดี้การ์ดได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ
“อันตรายนิดหน่อยก็ถือว่าคุ้ม...” เสิ่นิตอบกลับไปเบาๆ ก่อนจะตัดการสื่อสาร
นับว่าวันนี้ฟางหยวนให้เกียรติเสิ่นิมาก เธอสวมกระโปรงที่ประดับด้วยดอกไม้เล็กๆ ความยาวของกระโปรงคลุมแค่ครึ่งต้นขา เรียวขาขาวนวลทั้งคู่ปะทะอากาศภายนอก ความจริงฟางหยวนเกลียดการใส่กระโปรงมาก เพราะมันทำให้ถีบเตะไม่ค่อยถนัด แม้กระทั่งกระโปรงนักเรียน เธอก็มักจะสวมกางเกงขายาวไว้ข้างใน
“สะ...สวยไหม?” ฟางหยวนซึ่งเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วถามเสิ่นิด้วยความเขินอายในขณะที่จับกระโปรง
“ไม่เลวเลย ความจริงแล้วเธอก็มีเสื้อผ้าแบบคนทั่วๆ ไปเขาเหมือนกัน” เสิ่นิกล่าวชมจากใจจริง
“ก็แน่ล่ะ นี่มัน Chanel คอลเล็กชั่นเก่า ก็เลยเหมือนของคนทั่วๆ ไป หนูซื้อมาแค่หมื่นสองนิดๆ เอง เป็กระโปรงที่หนูซื้อมาได้ถูกที่สุดเลยนะ” ฟางหยวนกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“ถือว่าครูไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน...” เสิ่นิได้แต่ถอนหายใจให้กับความเหลื่อมล้ำของผู้คน
ในเมื่อคุยกันแล้วว่าจะใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดาหนึ่งวัน แน่นอนว่าจึงไม่ควรที่จะขี่มอเตอร์ไซค์หรูไป เสิ่นิขับรถ Alto มือสองของเขาออกมารับฟางหยวน และในตอนที่ฟางหยวนเห็นรถคันนั้น เธอก็ยังคิดว่านั่นเป็รถขนขยะประเภทหนึ่ง...
ในขณะที่ฟางหยวนกำลังใว่าทำไมรถถึงเล็กขนาดนี้? ทำไมกระจกรถต้องใช้มือหมุนเปิด? ทำไมแอร์ถึงไม่เย็น? ทำไมเบาะนั่งถึงได้แข็ง? มีคำถามนับร้อยพันเต็มไปหมด เสิ่นิก็เคลื่อนรถเข้าไปยังลานจอดรถของ IKEA รถของเซี่ยวอี๋มาถึงเร็วกว่า เธอเข้าไปจอดรอก่อนแล้ว
IKEA เป็เหมือนอย่างที่ฟางหยวนว่าไว้ ร้านขายผลิตภัณฑ์ใช้สอยภายในบ้านซึ่งเหมือนกับ Wal-Mart ราคากันเอง สินค้าครบครัน ขึ้นชื่อเื่การเปิดให้ทดลองใช้สินค้าได้อย่างเต็มรูปแบบ เป็แหล่งที่ผู้คนชอบเดินช้อปปิ้งและพักผ่อนกันใน่วันหยุด เพราะด้านในไม่ได้มีแค่เพียงเฟอร์นิเจอร์เท่านั้น แต่ยังมีของกินอร่อยๆ อีกมากมาย ช้อปได้ั้แ่เช้าจรดเย็นโดยที่ไม่ต้องแบกของให้หนัก
ปู่ย่าตายายก็ชอบพาหลานๆ มาวิ่งเล่น ราวกับว่าเป็วันเฉลิมฉลองพิเศษแห่งชาติ บางครั้งถึงขั้นต้องเข้าแถวเป็ชั่วโมงๆ ถึงจะได้เข้าไป
วันนี้ถึงคนจะไม่ได้แน่นขนาดต้องต่อแถวเข้า แต่คนก็ค่อนข้างเยอะ
“อยู่ใกล้ครูไว้นะ อย่าเดินหลงล่ะ” เสิ่นิจับมือฟางหยวนไว้
“ครูทำอะไรน่ะ? ครูนักเลง หนูแค่ให้ครูมาช้อปปิ้งเป็เพื่อน ไม่ได้ชวนมาออกเดต อย่ามาหลอกแต๊ะอั๋งหนูนะ เดี๋ยวเตะคว่ำเลย!” ฟางหยวนดึงมือกลับด้วยความระมัดระวัง
ในขณะที่เสิ่นิกำลังเคอะเขินอยู่นั้น จู่ๆ ฟางหยวนก็ควงแขนของเสิ่นิอย่างเป็ธรรมชาติ “ไปกัน”
“ทำไมจับมือไม่ได้ แต่ควงแขนได้ล่ะ?” เสิ่นิสับสน
“เพราะจับมือหมายถึงการเป็คู่รักกัน แต่ควงแขนอาจจะหมายถึงควงลุงไปชอปปิ้งกันก็ได้” ฟางหยวนแสดงตรรกะเหนืุ์
“ยอมเธอเลย ครูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ?” เสิ่นิพลันหัวเราะ
นานแล้วที่ฟางหยวนไม่ได้ชอปปิ้งกับใคร ครั้งล่าสุดก็คือเมื่อสองปีก่อน เธอไปกับผู้ช่วยคนใช้ ที่แท้เธอก็รู้แล้วว่าการเลือกซื้อของโดยที่มีคนช่วยออกความคิดเห็นนั้นเป็อย่างไร...ช่างน่ารำคาญ
เสิ่นิเที่ยวบอกกับเธอว่าอะไรเหมาะ อะไรไม่เหมาะ ยกตัวอย่างเช่น โซฟากว้าง 1 เมตร ต่อให้สวยก็ไม่ควรซื้อ เพราะประตูบ้านกว้างแค่ 90 เิเ มันลอดผ่านเข้าไปไม่ได้ อีกอย่างก็อย่าซื้อโต๊ะกาแฟที่ทำจากแก้ว เพราะฟางหยวนชอบเหวี่ยง เกิดพลั้งเอาขาฟาดเข้าไปรอบหนึ่ง ก็อาจจะทำให้เจ็บตัวได้ง่ายๆ
“ทำไมครูพูดเยอะจัง ถ้าชอบก็ซื้อเลย จ่ายๆ เงินไปแค่นี้ไม่ได้เหรอ?” ฟางหยวนบ่น
“ไม่ได้แน่นอน ของอย่างเฟอร์นิเจอร์พวกนี้ ซื้อทีก็ใช้อีกหลายปี ฉะนั้นต้องเลือกให้เหมาะสมที่สุด” เสิ่นิว่าพลางบีบจับพนักพิงของโซฟาตัวหนึ่ง
“ใครเขาซื้อเฟอร์นิเจอร์แล้วใช้ทีละหลายๆ ปีกัน?” ฟางหยวนไม่เข้าใจ
“ทุกคนเขาก็ทำกัน” เสิ่นิอมยิ้มก่อนจะหันกลับไปมองพนักงานขาย “ถามหน่อยครับ เ้านี่ลดราคาอยู่หรือเปล่า?”
“ใช่ครับ ตอนนี้มีโปรโมชั่น ลด 30%” พนักงานขายตอบอย่างกระตือรือร้น
“ไม่เอาหรอก เราไปกันเถอะ” ฟางหยวนลากเสิ่นิออกไปข้างนอก
“ทำไมไม่เอาล่ะ เธอบอกว่าชอบไม่ใช่เหรอ?”
“ครูไม่ได้ยินที่พนักงานขายพูดเหรอ? มันลดราคาอยู่! แสดงว่าต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ หรือไม่ก็ขายไม่ออก หนูถึงไม่ชอบซื้อของลดราคาไง” ฟางหยวนยังคงอธิบายตรรกะเหนืุ์ต่อไป
“ครับคุณหนู คุณหนูช่างรวยล้นฟ้า เอาที่สะดวกใจเลยครับ” พูดไป เสิ่นิก็แทบจะร้องไห้
IKEA ที่เมืองหลินไห่แบ่งออกเป็ห้าชั้น แต่ละชั้นกว้างสามในสี่ส่วนของสนามฟุตบอล พื้นที่เป็ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีบูธขายของทานเล่นหลายสิบแห่ง คนแน่นขนัด ชั้นบนสุดมีร้านอาหารอยู่หลายร้าน ราคาค่อนข้างสูง และนั่นจึงทำให้ที่นั่นคนบางตา
ฟางหยวนและเสิ่นิเดินชอปกันั้แ่ 9 โมงเช้าจนถึงเที่ยง ในที่สุดก็เดินมาถึงร้านขายกรอบรูปคริสตัลอันหรูหรา ร้านนี้น่าจะแพงที่สุดใน IKEA แล้ว ในร้านไม่มีลูกค้าเลยสักราย กรอบรูปแบบแสดงภาพดิจิทัลขนาดเล็กอันหนึ่งก็ปาเข้าไปหลายพันหยวน สินค้าหลายชิ้นมีข้อความที่เขียนไว้บนป้ายราคาว่าให้สอบถามพนักงาน คงกลัวว่าปู่ย่าตายายทั้งหลาย พอเห็นราคาแล้วจะพากันเป็ลม
“คุณผู้หญิงคะ กรอบรูปนี้ประดับด้วยคริสตัลของ Swarovski ซึ่งนำเข้าจากอิตาลี แต่ละเม็ดประกอบไปด้วย หน้าตัดขนาดมาตรฐาน 72 หน้า จากฝีมือของช่างตัดเพชร คุ้มค่าแก่การมีไว้ค่ะ!” พนักงานขายรุกหนัก
“นำเข้าแค่ส่วนประกอบ ถ้าอย่างนั้นก็เป็สินค้าที่ผลิตในจีนสิ ดีไซเนอร์โนเนมสินะ ราคาเท่าไรล่ะ?” ฟางหยวนชำนาญในการหาจุดบกพร่อง
“19,800 หยวนค่ะ...” พนักงานขายโดนว่าเสียจนรู้สึกขายหน้า
“ถูกจัง ใช้ไม่ได้ ไปกันเถอะค่ะ หนูว่าเราเปลี่ยนไปที่ Ceccotti ตามที่หนูบอกดีกว่า” ฟางหยวนพูดพลางถอนหายใจ
“เอาอันนี้ก็แล้วกัน ถือว่าเป็ของขวัญที่ครูมอบให้คุณป้า” เสิ่นิรีบควักเศษเงินที่ฟางหยวนให้เขาออกมา เขาไม่แน่ใจว่าเขานับดีแล้วหรือยัง รวมกับที่ให้เซี่ยวอี๋ไปสองร้อย เท่ากับว่าเขาใช้เงินหมดเกลี้ยงแล้ว
“เข้าเนื้อไหมล่ะ?” เซี่ยวอี๋หัวเราะแบบสมน้ำหน้าใส่หูฟัง
“เข้าไปถึงตับเลย...” เสิ่นิรู้สึกเจ็บจี๊ดแต่ใบหน้าก็ยังคงยิ้มอยู่