ในห้องอันเงียบสงัด มีเพียงแค่ฟางซื่อเฉวียนเท่านั้นที่หอบหายใจสะอื้น มือของเขาสั่นเทาในขณะที่ถอดแว่นกรอบทองออก น้ำตาซึ่งไม่เคยไหลมานานหลายปี จู่ๆ ก็เอ่อท่วมรูม่านตา “พ่อ...ไม่ได้ตั้งใจ”
ลูกสาวที่อยู่ตรงเบื้องหน้าจับจ้องมาที่เขา หญิงสาวร้องไห้ไปหัวเราะไป “ฟางซื่อเฉวียน คุณแก่แล้วนะ ขนาดตบฉันให้เจ็บ คุณก็ยังทำไม่ได้เลย ถ้ามีเวลาก็หัดกลับไปดูแลตัวเองซะบ้าง จะโหมทำงานหนักทั้งชีวิตเพื่ออะไร? เมียก็ตายแล้ว ลูกสาวก็เกลียดคุณ นอกจากเงินกับตำแหน่ง ชีวิตคุณเหลืออะไรอีกบ้าง?
ที่ฉันเกลียดคุณไม่ใช่เพราะว่าคุณไม่ได้ไปเฝ้าแม่ใน่สุดท้ายของชีวิต แต่เพราะคุณไม่ได้พยายามทำตัวเป็พ่อหรือเป็สามีที่ดีเลย ฉันยินดีที่คุณจะไม่รวยขนาดนี้ เป็แค่พนักงานออฟฟิศธรรมดาๆ คนหนึ่ง เข้างานเก้าโมงเช้าเลิกงานห้าโมงเย็น ไม่ทำโอที ถูกผู้จัดการกลั่นแกล้งสารพัดเวลาที่อยู่ในบริษัท
แต่อย่างน้อย คุณก็จะกลับบ้านมากอดภรรยาและลูก และพร่ำบ่นว่าชีวิตมันลำบากขนาดไหนทุกวัน”
“คนในโลกธุรกิจ ถ้าไม่ใช่ผู้นำ ก็จะตกเป็เหยื่อ ขอโทษนะที่พ่อหยุดไม่ได้ คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพ่อมีเป็ร้อยเป็พันครอบครัว พวกเขาร่วมกินข้าวหม้อเดียวกันกับพ่อ ถ้าผิดพลาดไปแม้แต่ครั้งเดียว แค่ล้มเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น พ่อก็จะสูญเสียเสียยิ่งกว่าการล้มละลาย หนำซ้ำยังจะต้องแบกรับภาระหนี้ซึ่งสิบชั่วอายุคนก็ไม่มีทางใช้คืนได้หมด
พ่อยินดีให้ลูกเกลียดพ่อ แต่พ่อจะไม่ยอมให้ลูกโดนพวกเ้าหนี้จับหรือถูกทำร้าย” ฟางซื่อเฉวียนพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ เขาหันหลังและหมายจะเดินออกจากประตูไป แต่เขาก็กลับหยุดอยู่ตรงนั้น
“วันนี้ที่พ่อมาหาลูก เพราะว่ามีมือปืนคนหนึ่งปลอมตัวเป็ลูกเพื่อมาลอบสังหารพ่อ พ่อถึงขนาดจำผิด และนั่นทำให้พ่อได้รู้ตัวว่า ที่แท้พ่อก็เกือบจะจำรูปลักษณ์ของลูกสาวพ่อไม่ได้แล้ว” ฟางซื่อเฉวียนกระซิบ
“มือปืนอ่อนหัด ถ้าเป็ฉันลงมือล่ะก็ คุณไม่มีทางรอดแน่” ฟางหยวนกล่าวอย่างใจไม้ไส้ระกำ
“พ่อก็คิดว่าอย่างนั้น ถ้าพ่อตายไปแล้วจริงๆ ก็ได้โปรดอย่ามาดูพ่อเป็ครั้งสุดท้ายเลย เพราะพ่อกลัวว่าพ่อจะทนไม่ไหว” ฟางซื่อเฉวียนเดินออกจากห้องไปหลังจากพูดจบ
“อ้า!” ฟางหยวนคำรามพร้อมกับเตะโต๊ะกาแฟในห้องนั่งเล่น เธอขว้างปาของทุกอย่างอย่างบ้าคลั่ง ของพวกนี้ล้วนซื้อมาด้วยเงินของฟางซื่อเฉวียน เธอเกลียดพ่อ แล้วเธอก็ยิ่งเกลียดตัวเองที่ไม่สามารถอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องอาศัยเงินจากพ่อ เธอเคยลองหางานทำ ปฏิเสธเงินจากพ่อ แต่สุดท้ายเธอก็ต้องยอมแพ้ เธอทนกับการที่ต้องคอยก้มศีรษะโค้งคำนับให้ผู้คนเพียงเพื่อเงินไม่กี่สิบหยวนไม่ไหว เธอไม่สะดวกใจที่จะต้องใช้ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าร่วมกับพนักงานซึ่งเหงื่อโชกเหม็นไปทั้งตัว
เธอทนสวมชุดพนักงานซึ่งตัดเย็บมาจากผ้าใยสังเคราะห์ไม่ได้ แม้แต่จะแจกรอยยิ้มให้กับลูกค้า เธอก็ยังทำไม่ได้เลย
ฟางซื่อเฉวียนไม่เพียงแต่ทำลายครอบครัวของเธอเท่านั้น แต่เขายังเป็อุปสรรคต่อการใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดาของเธอด้วย ั้แ่เด็กๆ เธอไม่มีวันได้ใช้สินค้าชิ้นนั้น หากสินค้านั้นไม่ใช่แบรนด์ระดับ GUCCI เสื้อผ้าอาภรณ์ ถ้าไม่ใช่รุ่นใหม่ เขาก็ไม่ให้เธอใส่ อาหารทุกจานต้องมีมูลค่า 200 หยวนขึ้นไปเท่านั้น หากถูกกว่านี้ถือว่าเป็อาหารหมู แม้แต่อาหารสำเร็จรูปแช่แข็งของเธอก็ผูกปิ่นโตกับที่ภัตตาคารอ้าวกวนไห่
“บอส ตอนนี้เราไปไหนดีครับ?” เมื่อกลับมาถึงรถ อีชางซูก็เอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ
“กลับบริษัท แจ้งผู้จัดการฝ่ายและเลขาฝ่ายบริหารให้ทราบว่าแผนของโครงการล่าสุดจะต้องสรุปเสร็จภายในวันนี้” ฟางซื่อเฉวียนใช้ทิชชูซับน้ำตาที่ขอบตา ก่อนจะกลับมาวางมาดท่านประธานในชั่วพริบตา
“แต่ตอนนี้สองทุ่มแล้วนะครับ...” อีชางชูกล่าวอย่างเป็กังวล
“บอกให้แจ้งก็แจ้ง! จะมัวไร้สาระอยู่ทำไม! ผมไม่มีครอบครัวแล้ว! ไอ้พวกบ้านั่นเอาเงินของผมไปเสวยสุขอยู่กับลูกที่บ้าน มันยุติธรรมหรือไง? บอกให้พวกมันมาเข้าประชุม! ใครมาถึงช้ากว่าผม ไล่ออกให้หมด!” ฟางซื่อเฉวียนคำรามอย่างเกรี้ยวกราด เห็นได้ชัดว่าความโมโหร้ายของฟางหยวนนั้นได้มาจากพ่อ เพียงแต่เธอไม่ได้ลอกเลียนแบบความนิ่งสงบและความรู้จักยับยั้งชั่งใจมาจากพ่อเลย
“เสิ่นิ...” เซี่ยวอี๋เห็นการเคลื่อนไหวของฟางหยวนในห้องผ่านกล้องโทรทรรศน์
“ผมรู้ เธอทำร้ายตัวเองหรือเปล่า?” แค่เพียงกำแพงกั้น เสิ่นิได้ยินการเคลื่อนไหวนั้นแล้ว
“เธอขว้างปาของ เมื่อครู่ก็เพิ่งจะพังไอโฟนไปเครื่องหนึ่ง ตอนนี้ก็กำลังจะพัง MacBook อีกเครื่องแล้ว ผู้หญิงคนนี้มีความแค้นอะไรกับเงินหรือเปล่าเนี่ย?” เซี่ยวอี๋แลดูทุกข์ใจแทนเธอ
“เปล่า ปล่อยให้เธอระบายไปเถอะ บางครั้งการได้ร้องไห้ก็เป็หนทางเยียวยาจิตใจเหมือนกัน สมัยก่อนตอนที่ผมหดหู่ ผมก็ชวนเพื่อนร่วมทีมออกไปซัดกันตัวต่อตัวเหมือนกัน ฟัดกันจนต่างคนต่างลุกไม่ขึ้น นั่นก็พอจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง” เสิ่นิยิ้มอ่อน
“อย่าเอาไปเปรียบกับประสบการณ์ของนายเลย นายมันไม่ใช่มนุษย์ ไม่ได้การล่ะ! เธอออกจากบ้านไปแล้ว!” เซี่ยวอี๋ะโ
เสิ่นิใ และในขณะที่กำลังจะหันกายเตรียมวิ่งออกไปไล่ตาม ที่ประตูกลับมีเสียงเคาะดังขึ้น ปัง! ปัง! ปัง!
พอเปิดประตูออก ฟางหยวนก็กำลังร้องไห้อยู่จนหน้ายับยู่ยี่ เธอทำท่าฟุดฟิดเหมือนกับหายใจไม่ออก หญิงสาวผลักเสิ่นิและพุ่งตรงไปยังตู้เย็นที่อยู่ในครัว เธอคุกเข่าลงบนพื้น ก่อนจะยกกระป๋องเบียร์ขึ้นมาเทเบียร์ลงคอ
ของเหลวซึ่งเป็ฟองไหลไปตามลำคอจนเปียกโชก เสื้อชั้นในสีชมพูน่ารักโผล่ทะลุเสื้อยืดรัดรูปยี่ห้อ CK ของฟางหยวนขึ้นมา
หญิงสาวดื่มเบียร์อย่างบ้าคลั่ง พอหมดแล้วก็โยนทิ้ง จากนั้นก็เปิดกระป๋องใหม่ เธอดื่มจนอาเจียนเลอะไปทั้งห้อง แต่นั่นก็ยังไม่พอ เธอเอามือเช็ดปาก ก่อนจะเปิดกระป๋องใหม่แล้วยกซดต่อ
เบียร์ 10 กระป๋องหมดเกลี้ยงภายในคราเดียว แต่ฟางหยวนก็ยังไม่เมา เธอเหลือบไปเห็นขวดวิสกี้ที่อยู่ชั้นล่างของตู้เย็น เธอจึงดึงมันออกมา
“พอได้แล้ว!” เสิ่นิคำราม
“แค่เบียร์ไม่กี่กระป๋องเองไม่ใช่หรือไง? หนูจ่ายเงินให้ครูได้หรอกน่า กระป๋องละหมื่นพอไหม?” ฟางหยวนหัวเราะอย่างดูแคลน หญิงสาวยกขวดวิสกี้ขึ้นเตรียมจะเปิด แต่ก็กลับถูกเสิ่นิคว้าขวดไป
“เอาคืนมา!” ฟางหยวนลุกขึ้นยืน ในขณะที่หญิงสาวคิดจะชกใครสักคน แต่เท้าเ้ากรรมก็ดันเหยียบอาเจียนของตัวเองจนลื่นล้ม ก้นกระแทกพื้นอย่างรุนแรง
“ทำไม? ทำไม? ทำไมหนูต้องเป็ลูกเขาด้วย? ทำไมหนูถึงซื้อทุกอย่างได้ แต่ไม่สามารถมีครอบครัวธรรมดาๆ ได้? ทำไมถึงเกลียดพ่อแต่ก็หนีจากเงินพ่อไม่พ้น? แม่คะ หนูคิดถึงแม่ หนูอยากไปหาแม่มาก...” ฟางหยวนที่กองอยู่บนพื้นพยายามจะลุกขึ้นยืน เธอร้องไห้จนตัวสั่น เสียงของเธอเบาลงไปเรื่อยๆ
“ฟางหยวน? ฟางหยวน!” เสิ่นิเคลื่อนตัวไปช้อนร่างของหญิงสาวขึ้นมา เขาพบว่าฟางหยวนหมดสติ สีหน้าขาวซีด ริมฝีปากเขียว ตัวเย็นชืด
เสิ่นิออกแรงหยิกแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว จังหวะการหายใจติดๆ ขัดๆ
“เธอเป็ไงบ้าง?” เซี่ยวอี๋กระวนกระวาย
“ภาวะแอลกอฮอล์เป็พิษเฉียบพลัน.....เซี่ยวอี๋ คุณช่วยไปซื้อของให้ผมหน่อย ขวด หลอดฉีดยา ยาฆ่าเชื้อ กลูโคส วิตามิน B6 และ วิตามิน C เอาโพแทสเซียมคลอไรด์ที่ใช้ทางการแพทย์มาด้วยนะ แรนิทิดีน จำหมดไหม?” เสิ่นิถอดเสื้อเชิ้ตบนตัวออก เผยให้เห็นเรือนร่างซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลเป็รอยแล้วรอยเล่า
“จำได้ แต่ว่าเสียงหายใจของเธอฟังดูแปลกๆ นะ เธอจะไม่ตายใช่ไหม?!” เซี่ยวอี๋เกิดเป็ห่วงนักเรียนคู่ปรับขึ้นมาอย่างจริงจัง
“มีผมอยู่ เด็กนี่ไม่ตายหรอก มีอาเจียนเข้าไปอุดตันหลอดลม ต้องรีบปฐมพยาบาล” เสิ่นิพูดพลางประสานมือทั้งสองข้างและออกแรงกดลงบน่อกของฟางหยวน ศีรษะของฟางหยวนผงกขึ้นตามแรงกด และก่อนที่ศีรษะของเธอจะตกลง เสิ่นิก็ประกบปากเธอ เขาคล่องมากเสียจนดูเหมือนเคยชิน ไม่เหลือช่องว่างระหว่างริมฝีปากเลยแม้แต่น้อย
ยี่สิบวินาทีถัดมา เสิ่นิวางสาวน้อยผู้หมดสติลง เธอกลับมาหายใจได้อย่างราบรื่น เสิ่นิเอียงหัวแล้วบ้วนสิ่งสกปรกออกมา
เซี่ยวอี๋จ้องกระบวนการที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างไม่วางตา เธอไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนช่วยผู้หญิงได้อย่างหน้าตาเฉยแบบนี้มาก่อน
“เฮ้ คุณไปหรือยัง?” เสิ่นิถามพลางเช็ดสิ่งสกปรกออกจากมุมปาก
“จะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” และนั่นเอง เซี่ยวอี๋ก็วิ่งออกจากบ้านไป
ยี่สิบนาทีให้หลัง เซี่ยวอี๋ก็วิ่งกลับมาถึงหน้าห้องของเสิ่นิ อย่างกับการทดสอบสมรรถภาพร่างกายอีกรอบแน่ะ เซี่ยวอี๋วิ่งไปหอบไป
“เข้ามาสิ” เสิ่นิรับกระเป๋าในมือมา ราวกับเป็การกล่าวต้อนรับแขก
“เด็กนั่นล่ะ?” เซี่ยวอี๋ห่วงว่าตัวตนของเธอจะถูกเปิดเผย
“ดื่มจนน็อคไปแล้ว ไม่ได้ยินที่เราคุยกันหรอก” เสิ่นิเอ่ยก่อนที่จะเดินไปยังโต๊ะในห้องรับแขก เขาผสมยา 5 ถึง6 ชนิดตามสัดส่วนลงในขวด เทคนิคมีความเป็มืออาชีพเสียยิ่งกว่านางพยาบาล “ผมอาบน้ำเย็นให้เธอแล้ว (น้ำร้อนจะยิ่งเร่งการแพร่กระจายของแอลกอฮอลล์) เลยพาเธอมานอน ให้วิตามินแก้เมาค้างทางสายน้ำเกลือ พรุ่งนี้ก็น่าจะดีขึ้น”
“นายอาบน้ำให้เธอเหรอ?” เซี่ยวอี๋อ้าปากค้าง “ไม่ได้ทำอย่างอื่นด้วยใช่ไหม?”
“แน่นอนว่าป๊าบไปสิบสามรอบแล้ว ผมยังดูดซิการ์หลังป๊าบเสร็จด้วยนะ...จะบ้าเรอะ? เวลาแค่ 20 นาที อาบน้ำให้เธอก็เทพแล้ว!” เสิ่นิคือชายที่เพิ่งกลับมาจากสมรภูมิรบ ณ สถานที่เช่นนั้น ชายหญิงไม่มีความแตกต่าง ทหารชายหรือทหารหญิงต่างก็อาบน้ำร่วมกันจนเป็เื่ปกติ
“นายนี่ไม่มีความละอายแก่ใจเลยสักนิด แม่เด็กนั่นอายุแค่ 18 เองนะ ต้องโป๊ให้นายเห็นจนหมด” เซี่ยวอี๋รู้สึกไม่สบายใจ
“จริงสิ ผมทำลายความบริสุทธิ์ของเธอไป คงต้องขอเธอแต่งงานแล้วสินะ? ผมน่ะยิ้มเลย เด็กนั่นทั้งสวยทั้งรวย จะทิ้งโอกาสนี้ให้โง่ได้ยังไง” เสิ่นิพูดอย่างเพ้อเจ้อในขณะที่ใช้ไม้แขวนเสื้อแขวนขวด เขาจับมือของฟางหยวน หลังจากฆ่าเชื้อแล้ว เขาก็แทงเข็มเข้าไป ไม่เจ็บเลยสักนิด “ไม่เอาน่า คุณอายุเท่าไรแล้ว ถ้าผู้ชายคิดจะหาสาวพรหมจรรย์มาแต่งงานด้วย คงต้องไปจองตัวที่โรงเรียนอนุบาลแล้วล่ะ ผมทำไปเพราะช่วยเธอ คุณเฝ้าเธอต่อนะ
ผมมีเื่ต้องไปทำ ถ้าเธอตื่นขึ้นมาแล้วถาม...”
“ฉันก็จะบอกว่าฉันเป็คนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอเอง นายคิดว่าฉันจะแฉความบ้าบิ่นของนายหรือไง? ถึงฉันจะอยากแฉมากก็ตามเถอะ” เซี่ยวอี๋กอดอก
“ว่าง่าย” เสิ่นิแย้มยิ้มก่อนจะออกจากบ้านไป
เช้าตรู่ แสงพระอาทิตย์สาดส่องลอดผ่านช่องว่างระหว่างม่านเข้ามาจนถึงบนเตียง ฟางหยวนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดศีรษะ หญิงสาวพยายามจัดระเบียบความทรงจำอยู่ในใจ เธอนึกย้อนกลับไปได้แค่เพียงตอนที่ตัวเองพยายามหาเหล้าดื่ม จนท้ายที่สุด เธอก็เข้ามาในห้องของคุณครูเสิ่นซาน หลังจากนั้น...
ฟางหยวนลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยความใ ผ้าปูที่นอนเคลื่อนตกจากหน้าอก เผยให้เห็นร่องอกน้อยอันน่ารักของเธอ
“อ้า!” ฟางหยวนร้องลั่นพลางดึงผ้าปูที่นอนมาปิดหน้าอกไว้
“ยังเช้าอยู่เลย อย่าส่งเสียงสิ” เซี่ยวอี๋ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เตียงเหยียดตัวขึ้นหาวหวอดๆ
“ครูเองเหรอ? ครูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“คุณครูเสิ่นซานเขาโทร.หาครูกลางดึก บอกว่าเธอสุราเป็พิษ ให้ครูช่วยซื้อยาและมาคอยดูแลเธอหน่อย ครูก็เลยอยู่ลากยาวมาทั้งคืน เธอบอกว่าครูติดค้างคำขอโทษเธออยู่ไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้เธอเองก็ติดค้างที่ครูมาเฝ้าพยาบาลเธอทั้งคืนเหมือนกัน ถือว่าเจ๊ากันแล้วนะ” เซี่ยวอี๋ลุกขึ้นขยับตัวบิดเอว ก่อนจะโยนเสื้อผ้าที่สะอาดลงบนเตียง “ใส่ซะสิ เสิ่นซานเอามาจากห้องของเธอ ตอนนี้เธอฟื้นแล้ว งั้นครูไปก่อนล่ะ วันเสาร์ทั้งที ขอครูนอนี้เีต่ออีกหน่อยก็ไม่ได้?”
เซี่ยวอี๋ถอนหายใจในขณะที่เดินออกมาจากบ้านของเสิ่นิ ฟางหยวนซึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็กลับไปยังบ้านของตนเอง เธอไม่อยากจะคิดถึงสภาพบ้านซึ่งเธอจำได้ว่าเธออาละวาดพังข้าวของในบ้านจนเละเทะ แต่มันกลับถูกเก็บกวาดไปจนหมด ดูสะอาดสะอ้าน ของที่แตกพังก็ถูกประกอบขึ้นมาเป็ชิ้นใหม่โดยใช้กาวใสแปะประสานมันเอาไว้ ที่มันสามารถกลับสู่สภาพเดิมได้ก็ด้วยน้ำมือของความเพียรพยายาม ที่ฟางหยวนตื่นเต้นที่สุดก็คือกรอบรูปภาพที่เธอกับแม่ถ่ายร่วมกันภาพสุดท้าย แน่นอนว่าเมื่อวานมันก็ถูกเธอขว้างจนกลายเป็เศษเล็กเศษน้อย แต่มันก็ถูกประกอบกลับเข้าไปด้วยกันใหม่ด้วยฝีมืออันไม่ธรรมดาของเสิ่นิ ที่ด้านหลังของกรอบรูปยังมีโน้ตแปะไว้ด้วยว่า “ต่อให้โมโหก็อย่าทำร้ายข้าวของอันมีค่าเหล่านี้ ต่อให้โกรธก็อย่าลืมนึกถึงคนที่รักเราเหล่านี้ ให้หนนี้เพียงหนเดียวเท่านั้น ครูขอโทษแม่แทนเธอแล้ว”
ฟางหยวนกอดกรอบรูปแน่น เธอทรุดเข่าลงกับพื้นแล้วร้องไห้อีกครั้ง...