หนิงมู่ฉือนวดแป้ง ไม่เพียงแค่นวดจนตรงกับหลักการสามข้อที่ว่ามานี้ สีของแป้งยังสวยสด บรรดาขันทีพ่อครัวทั้งหลายจึงต่างเข้ามามุงดู
ส่วนน้ำหูหลัวปอ มะเขือเทศ จื่อเป้ยเทียนขุยที่เหลือ นางก็นำมานวดกับแป้งเช่นกัน รวมทั้งหมดเป็ห้าสีด้วยกัน แต่ละสีเป็ก้อนแป้งกลมๆ เล็กๆ มีสีส้มของหูลัวปอ สีแดงของมะเขือเทศ สีม่วงของจื่อเป้ยเทียนขุย สีเขียวของปวยเล้ง และสีสุดท้ายคือสีขาว ซึ่งนางใช้แค่น้ำเปล่าผสมกับแป้งเท่านั้น ไม่ได้ใส่สีใดๆ ลงไป
“วันนี้ข้าจะสอนวิธีนวดแป้งให้แก่ทุกคน การนวดแป้งไม่จำเป็ต้องใช้น้ำเปล่าเสมอไป สามารถใช้น้ำจากผักมานวดแป้งได้ วันนี้เป็วันคล้ายวันเกิดของพระสนม ข้าจึงจะทำบะหมี่อายุยืนห้าสีแห่งแสงสิริมงคลถวาย!”
นางพูดพร้อมกับใช้น้ำลูบไปตามก้อนแป้งแต่ละก้อน ก่อนจะนำกะละมังมาปิดกะละมังมีที่ก้อนแป้งอยู่เพื่อหมักแป้ง!
การหมักแป้งใช้เวลาครึ่งชั่วยาม ภายในครึ่งชั่วยามนี้แป้งจะผสมกับน้ำที่ใส่ลงไปจนรวมเป็เนื้อเดียวกัน ทำให้แป้งค่อยๆ พองขึ้น การหมักแป้งจะช่วยทำให้แป้งแข็งแรงและมีความเหนียวนุ่ม
นางอาศัย่เวลาที่รอให้แป้งหมักได้ที่ก็เดินไปดูน้ำแกงกระดูกหมูที่กำลังเคี่ยว น้ำแกงกระดูกหมูกำลังเดือดปุดๆ มีฟองสีขาวขึ้นเต็มไปหมด นางใช้กระบวยอันใหญ่ตักฟองออกมา พร้อมกับเอ่ยสั่งขันทีพ่อครัวอายุน้อยผู้หนึ่งที่นางใช้ให้เคี่ยวน้ำแกงกระดูกหมูว่า เวลาเคี่ยวน้ำแกง หากเจอฟองสีขาวเช่นนี้ให้ตักออก
หัวข้อหลักของน้ำแกงในวันนี้คือ ขอบคุณบุญคุณของมารดา เช่นนั้นก็ต้องมีสัญลักษณ์ของมารดาอยู่ด้วย เป็ของใช้หรือของกินล้วนได้ทั้งสิ้น ทว่าเื่นี้ก็เป็เื่ที่ยากอยู่เหมือนกัน
ระหว่างนี้นางทำได้แค่รอ รอน้ำแกงที่กำลังเคี่ยว และรอแป้งที่กำลังหมัก เมื่อไม่มีอะไรให้ทำ นางจึงเดินสำรวจไปรอบๆ ห้องเครื่องพร้อมกับใช้สมองขบคิดว่าจะใช้สิ่งใดมาเป็สัญลักษณ์แทนมารดาดี
จะบอกว่านางโชคดีหรือโชคของนางดีดี ระหว่างที่เดินสำรวจไปรอบๆ สายตานางเหลือบไปเห็นบรรดากระถางต้นไม้ที่วางตั้งอยู่ด้านหลังห้องเครื่อง ดอกสีส้มเหลืองคล้ายๆ กับดอกไป่เหอ[1] นางรู้จักดอกไม้ชนิดนี้ดี ไม่ใช่ดอกไม้ที่หาได้ยากแต่อย่างใด เป็ดอกไม้ที่หาได้ง่ายตามป่า นั่นก็คือดอกเซวียนเฉ่า[2]นั่นเอง
ดอกเซวียนเฉ่าได้ชื่อว่าเป็ดอกไม้วันแม่ เคยมีคนผู้หนึ่งแต่งบทกลอนให้ว่า เซวียนเฉ่ากำเนิดบันไดห้องโถง บุตรเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วหล้า มารดายืนพิงประตูห้องโถง กลับไม่พบดอกเซวียนเฉ่า
เมื่อบุตรต้องเดินทางไกล มักจะปลูกดอกเซวียนเฉ่าไว้ด้านหน้าประตูห้องของมารดา เพื่อที่มารดาเห็นดอกไม้นี้จะได้เหมือนเห็นคน พระสนมอาศัยอยู่ในวังมาเนินนาน ถูกขังโดยกำแพงวัง ยากนักที่จะได้เจอหน้าคนในครอบครัว แบบนี้จะแตกต่างอย่างไรกับบุตรที่ต้องเดินทางไกล
คิดถึงตรงนี้นางอดตาแดงไม่ได้ มันทำให้นางนึกถึงบิดามารดาของนางเอง เพียงแต่ตอนนี้นางไม่มีทั้งบิดาและมารดาแล้ว ต่อให้นางกลับบ้านได้ ก็ไม่มีใครรอนางอยู่ทางนั้น
นางถอนหายใจ สะกดความรู้สึกเศร้าลงไป เดินไปที่บรรดากระถางดอกไม้พลางเอ่ยว่า “วันนี้ข้าจะใช้เ้านี่แหละ” เอ่ยจบนางก็เด็ดดอกเซวียนเฉ่าที่กำลังบานได้ที่ลงมาดอกหนึ่ง เพื่อไว้ใช้ตกแต่งจานอาหาร เป็ดอกเล็กๆ ไม่ได้ใหญ่มาก
ที่ต้องระวังคือรากของดอกไม้ชนิดนี้มีพิษ แม้จะมีพิษแค่เล็กน้อย หากััเป็ระยะเวลานานจะทำให้คนผู้นั้นกลายเป็คนสติไม่ดี พิษชนิดนี้จะส่งผลต่อสมองอย่างรุนแรง แต่โชคดีที่ส่วนก้านที่ติดกับดอกไม่มีพิษ นางจึงกล้าเอามาใช้ประดับตกแต่งจาน
พอคิดถึงว่างานเลี้ยงเย็นนี้ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินจะเสด็จไปร่วมงานด้วย นางเกิดความคิดที่อยากจะวางยาพิษสังหารฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินขึ้นมา แต่พอมาคิดดูอีกที หากนางวางยาพิษในบะหมี่อายุยืน คนที่ทานไม่ใช่ฮ่องเต้แต่เป็พระสนม เยี่ยงนั้นคนที่จะถูกพิษจึงไม่มีทางใช่ฮ่องเต้
และถ้าหากวางยาพิษในอาหารธรรมดา ต่อให้ทดสอบพิษผ่าน คนที่จะเดือดร้อนก็คือบรรดาขันทีพ่อครัวที่ทำงานในห้องเครื่อง คิดได้เช่นนั้นนางจึงได้แต่ต้องสละโอกาสอันดีงามครั้งนี้ทิ้งไปด้วยความจนปัญญา
นางเดินกลับเข้าไปในห้องเครื่อง นำถ้วยใบเล็กๆ มาเติมน้ำแล้วใส่ดอกไม้ที่เด็ดมา เพื่อที่ดอกไม้จะได้ไม่เหี่ยวเฉาไปเสียก่อน งานเลี้ยงเริ่มตอนเย็น หากไม่ทำเช่นนี้ดอกไม้ได้เหี่ยวแห้งก่อนแน่
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม แป้งหมักได้ที่แล้ว นางชโลมน้ำมันลงบนแผ่นนวดแป้ง เพื่อไม่ให้แป้งติดแผ่นนวดแป้ง
นางยกกะละมังที่ครอบกะละมังที่ใส่แป้งทั้งห้าเปิดออกดู แป้งทั้งห้าก้อนเรียบเนียนสวยงาม เพื่อให้แป้งนุ่มเหนียว การนวดแป้งก็เป็สิ่งสำคัญเช่นกัน การนวดแป้งต้องใช้แรงมาก นางมีแค่สองมือจึงนวดแป้งได้แค่ก้อนเดียว นางจึงต้องเรียกให้ขันทีพ่อครัวคนอื่นมาช่วย หนึ่งคนรับผิดชอบนวดแป้งหนึ่งก้อน
ขันทีพ่อครัวต้องเรียนรู้วิธีการนวดแป้งจากหนิงมู่ฉือเสียก่อน จึงจะลงมือนวด การนวดใช้เวลาหนึ่งก้านธูป หากแรงไม่พอแป้งก็จะใช้ไม่ได้ นางนวดจนปวดแขนไปหมดกว่าแป้งจะได้ที่
ในสายตาคนอื่นบะหมี่อายุยืนก็แค่บะหมี่ถ้วยหนึ่ง แต่สำหรับนาง มันไม่ใช่แค่บะหมี่ธรรมดาถ้วยเดียว นาง้าทำบะหมี่อายุยืนจากก้อนแป้งแค่หนึ่งก่อน
นางนวดแป้งทั้งห้าก้อนให้เป็แผ่นยาวๆ ตัดแบ่งเป็เส้นๆ แล้วคลึงให้เป็เส้นกลมๆ ยาวๆ ก่อนจะนำเส้นแป้งแต่ละสีมารวมกัน นางไม่ได้นวดจนแป้งทั้งห้าเส้นผสมเป็เนื้อเดียวกัน แค่นวดให้ทั้งห้าเส้นติดกัน หนาประมาณสองนิ้วมือ
วิธีการนวดของหนิงมู่ฉือทำให้ขันทีพ่อครัวคนอื่นถึงกับได้เปิดหูเปิดตา ทุกคนต่างนึกว่าหญิงสาวจะนำเส้นแป้งทั้งห้าเส้นมารวมกันเสียอีก
“แม่นางหนิง เหตุใดถึงไม่รวมแป้งทั้งหมดเข้าด้วยกันเล่า แบบนั้นมันไม่ประหยัดเวลากว่าหรือ” นี่คือความคิดของคนทั่วไป แต่หนิงมู่ฉือใช่คนทั่วไปหรือ
“พ่อครัวหลัก มีเื่หนึ่งไม่ทราบว่าท่านรู้หรือไม่ แต่ละสีล้วนมีความงามในตัวของมันเอง หากเอาทุกสีมารวมกัน มันจะกลายเป็สีดำทันที ข้าไม่ได้หมายความว่าหากนำทั้งห้าสีมารวมกันแล้วจะเปลี่ยนเป็สีดำ แต่ถ้านำมารวมกันสีของมันก็คงจะไม่น่าดูเท่าไหร่ สู้แยกสีเช่นนี้ไม่ดีกว่าหรือ ให้มันยังคงสีสันเดิมของมัน”
ได้ยินคำอธิบายของหนิงมู่ฉือ พ่อครัวหลักนับว่าได้ความรู้เพิ่มขึ้น ครั้นเห็นว่าพระอาทิตย์กำลังตก ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็สีส้ม น้ำแกงกระดูกหมูก็เคี่ยวได้ที่แล้ว เช่นนั้นก็ถึงเวลาที่เทพแม่ครัวต้องแสดงฝีมือแล้วสิ
หนิงมู่ฉือเดินไปเปิดฝาหม้อน้ำแกงกระดูกหมู กลิ่นหอมของกระดูกหมูพวยพุ่งออกมาทันทีที่เปิดฝาออก น้ำแกงกำลังร้อนได้ที่ นางเลื่อนแผ่นนวดแป้งให้เข้าไปใกล้หม้อน้ำแกงกระดูกหมู
นางคลึงเส้นแป้งฝั่งหนึ่งให้เล็กลงอีกนิด ให้เท่ากับเส้นบะหมี่ทั่วไป จากนั้นใช้มือซ้ายจับฝั่งหนึ่งของเส้นแป้งเอาไว้ ส่วนมือขวาเหวี่ยงเส้นแป้งขึ้นไปบนอากาศ ก่อนที่เส้นแป้งจะตกลงไปในหม้อกระดูกหมูพอดิบพอดี
มือซ้ายจับเส้นแป้ง มือขวาเหวี่ยงขึ้นไปบนอากาศ โดยที่เส้นแป้งไม่ขาดเลยสักเส้น เส้นแป้งที่ถูกเหวี่ยงขึ้นไปบนอากาศโค้งเป็เส้นสวยงาม ดึงดูดให้ขันทีพ่อครัวทุกคนเข้ามามุงดู
[1] ดอกไป่เหอ คือดอกลิลลี่
[2] ดอกเซวียนเฉ่า คือดอกเดย์ลิลลี่