บทที่ 85 ถ้าท้องได้จะยิ่งดีเลย
หลังกลับจากอำเภอ สวี่จือจือก็ชวนลู่ซือหยวนมาช่วยกันคิดเื่ทำขนมไหว้พระจันทร์
ถั่วแดงถูกลู่ซือหยวนนำไปต้มจนเปื่อยล่วงหน้าแล้ว จากนั้นก็นำมาบดจนละเอียดเป็ไส้ถั่วแดง ตอนที่บดนั้นกลิ่นหอมหวานของถั่วแดงก็อบอวลเตะจมูก ชวนให้น้ำลายสอ
แม้แต่เจินเจิน เด็กน้อยก็ยังอดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าเล็กๆ มาแอบดูตรงประตูห้องครัวอยู่เรื่อยๆ
“มานี่สิ” สวี่จือจือยิ้มแล้วกวักมือเรียกอีกฝ่าย แล้วใช้ชามตักไส้ถั่วแดงให้เล็กน้อย “เอาไปให้คุณย่าลองชิมดูนะ”
เจินเจินแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างเกรงใจ แล้วหอมเข้าที่แก้มของสวี่จือจือฟอดหนึ่ง “ขอบคุณน้าสะใภ้ค่ะ”
“น่ารักจริงๆ” สวี่จือจือพูดกับลู่ซือหยวนด้วยรอยยิ้ม
“ถ้างั้นเธอก็รีบมีให้ลู่จิ่งซานสักคนสิ” ลู่ซือหยวนพูดพลางนวดแป้งที่นึ่งสุกแล้วคลุกเคล้ากับน้ำมันหมู “ไม่งั้นฉันจะไปบอกคุณย่าว่าใกล้จะถึงวันไหว้พระจันทร์แล้ว พวกเราทำขนมไหว้พระจันทร์ให้เธอเอาไปให้ลู่จิ่งซานชิมหน่อย”
มีลูกกับลู่จิ่งซานเหรอ?
สวี่จือจือยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของอีกฝ่าย “พวกเธอนี่จริงๆ เลย แต่งงานกันยังไม่ทันไรก็ต้องแยกจากกันแล้ว”
“ฉันจะบอกอะไรเธอให้นะ ฉันได้ยินมาว่าที่หน่วยงานของเขามีผู้หญิงเยอะแยะ ทั้งพนักงานรับโทรศัพท์ ทั้งนักแสดง” เธอเหลือบมองสวี่จือจือแล้วพูดต่อ “เธอต้องใส่ใจหน่อยนะ ถึงฉันจะรู้ดีว่าน้องชายฉันเป็คนยังไง คงไม่ทำอะไรไม่ดีแน่ แต่ก็ไม่แน่ว่าคนอื่นจะไม่ทำ”
เื่นี้ก็จริง สวี่จือจือหัวเราะเบาๆ
“เธอนี่มันซื่อบื้อจริงๆ” ลู่ซือหยวนเห็นท่าทางของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกหงุดหงิด เอานิ้วที่เปื้อนแป้งแตะหน้าผาก “ใส่ใจหน่อยสิ”
“รู้แล้วค่ะ” สวี่จือจือปัดมือของอีกฝ่ายออกอย่างไม่เต็มใจ
“ถ้างั้นวันไหว้พระจันทร์ก็ไปเลย” ยิ่งคิดลู่ซือหยวนก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดนี้ดี รีบพูดด้วยความตื่นเต้น “พวกเราทำขนมไหว้พระจันทร์เอาไปให้ เื่ที่บ้านมีฉันเอง เธออยู่ที่นั่นนานๆ หน่อยก็ได้”
ถ้าท้องก็จะยิ่งดีเลย
สวี่จือจือไม่รู้เลยว่าลู่ซือหยวนคิดอะไรอยู่ในใจ เธอชิมรสชาติของไส้ถั่วแดงแล้วถามว่า “พี่นวดเสร็จหรือยัง?”
พอนวดเสร็จก็เอาแป้งดิบมาปั้นเป็ก้อนเล็กๆ แล้ววางแป้งสุกที่เล็กกว่าลงไปข้างบน กดแล้วคลึงให้เป็แผ่นกลมยาว จากนั้นก็ม้วนขึ้น สุดท้ายก็นำไส้มาใส่ข้างใน
ถ้ามีเตาอบก็จะดีมาก ใส่เข้าไปอบยี่สิบนาทีก็ใช้ได้แล้ว แต่ชนบทไม่มีเตาอบอะไรแบบนั้น แต่สามารถนำไปทอดในกระทะด้วยไฟอ่อนๆ ได้ แต่วิธีนี้ต้องใช้ความชำนาญในการควบคุมไฟสูง
สวี่จือจือเป็คนก่อไฟ ส่วนลู่ซือหยวนก็ใช้ตะหลิวตักขนมไหว้พระจันทร์ที่ทำเสร็จแล้ววางลงในกระทะที่มีน้ำมันอยู่เล็กน้อย ทั้งสองคนทำงานเข้าขากันได้ดี เพียงแต่ลู่ซือหยวนต้องคอยพลิกขนมอยู่ตลอดเวลา ทำให้เหนื่อยหน่อย
“เป็ยังไง อร่อยไหม?” ลู่ซือหยวนมองสวี่จือจือด้วยความหวัง
“อร่อย” ไม่แข็งและไม่นิ่ม รสชาติกลมกล่อม หอมหวาน อร่อยสุดๆ ไปเลย
สวี่จือจือจึงไปหาจานสวยๆ มาใส่ขนมไหว้พระจันทร์ แล้วยกไปให้คุณนายลู่และจ้าวลี่เจวียนกิน
“ตายแล้ว นี่มันขนมไหว้พระจันทร์เหรอ?” จ้าวลี่เจวียนชิมไปหนึ่งคำก็ร้องออกมาว่าอร่อย “ฉันไม่เคยกินขนมไหว้พระจันทร์ที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย”
“ปีที่แล้วฉันโชคดีได้ชิมขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นหนึ่ง แข็งจนเกือบทำฟันฉันหัก” จ้าวลี่เจวียนพูดไปก็กินไปหนึ่งชิ้น “แล้วก็ไอ้พวกไส้เปลือกส้มเชื่อมอะไรนั่น ทำไมต้องใส่ไอ้เส้นๆ สีเขียวสีแดงนั่นลงไปด้วยนะ? ไม่อร่อยเลย”
สวี่จือจือหัวเราะ “คุณย่าคิดว่ายังไงคะ?”
“อร่อย นิ่มดี ไม่เลว” หญิงชราพยักหน้าอย่างพอใจ พลางกินไปด้วยพูดไปด้วย “เธอทำเพิ่มให้ฉันเยอะๆ หน่อยนะ ฉันจะเอาไปให้พวกพี่น้องแก่ๆ ของฉัน”
ความจริงแล้วทุกปีทางอำเภอจะส่งขนมไหว้พระจันทร์มาให้ที่บ้านพวกเขาบ้าง แต่ว่ามันแข็งเกินไปไม่อร่อย หญิงชราจึงไม่เคยกินเลย
“คุณย่า” ลู่ซือหยวนพูดขึ้นมาว่า “วันเทศกาลทั้งที ให้จือจือเอาขนมไหว้พระจันทร์ไปเยี่ยมลู่จิ่งซานหน่อยดีไหมคะ”
“ความคิดนี้ดี” หญิงชราพูดด้วยรอยยิ้ม
สวี่จือจือเองก็อยากไป ตอนที่ลู่จิ่งซานจากไป ทั้งสองคนเพิ่งจะตกลงเป็คนรู้จักกันได้ไม่นาน พอจากกันไปหลายเดือน กลับมาเจอกันอีกครั้งคงจะรู้สึกแปลกหน้ากันไปแล้ว
ว่าไปแล้วสถานที่ที่เธอเคยไปไกลที่สุดั้แ่ทะลุมิติมาก็คือในอำเภอ ถ้ามีโอกาสได้ออกไปเดินเล่นบ้างก็คงจะดีไม่น้อย แต่ว่าวันที่โทรศัพท์ไป ลู่จิ่งซานบอกว่ายุ่งมาก จึงพูดว่า “งั้นเดี๋ยวอีกสองสามวันหนูไปโทรศัพท์ถามเขาที่ในอำเภออีกทีดีกว่า เผื่อว่าหนูไปแล้วเขาไม่อยู่ที่นั่นก็คงไม่ดี”
ทุกคนคิดว่าก็จริง
“น้าสะใภ้ๆ”
คนที่อยู่ในบ้านกำลังกินกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงของเจินเจินดังมาจากหลังบ้าน
“ลืมหนูเจินเจินของพวกเราไปเลย” สวี่จือจือพูดด้วยรอยยิ้ม “เด็กคนนี้คงไปให้อาหารกระต่ายอีกแล้ว”
กระต่ายที่เธอจับมาได้ตอนที่กำลังจะคลอดถูกเลี้ยงไว้ที่หลังบ้าน โดยมอบหมายหน้าที่ให้อาหารให้กับเจินเจิน
“น้าสะใภ้ กระต่ายหายไปแล้วค่ะ” เจินเจินวิ่งร้องไห้เข้ามา “เมื่อกี้หนูยังเห็นมันอยู่เลย หนูแค่ไปหาหญ้ามาให้มัน มันก็หายไปแล้ว”
กระต่ายหายไปแล้ว? รอยยิ้มบนใบหน้าของสวี่จือจือหายไปในทันที ย่อตัวลงพูดกับเจินเจิน “อย่าร้องไห้เลย น้าสะใภ้จะพาไปหา” แล้วก็พูดกับลู่ซือหยวนว่า “พี่หยวนหยวนไปปิดประตูหน้าบ้านที”
เธอกลัวว่ากระต่ายจะวิ่งหนีออกไปข้างนอก
เจินเจินร้องไห้สะอึกสะอื้นพาจือจือไปที่หลังบ้าน
ปรากฏว่ากระต่ายหายไปจริงๆ ประตูของกรงกระต่ายที่พวกเขาทำให้ก็เปิดอยู่
“เมื่อกี้ตอนที่ให้อาหารเธอเปิดประตูเหรอ?” สวี่จือจือถาม
เจินเจินส่ายหน้า เธอให้อาหารกระต่ายไม่เคยเปิดประตูเลย เธอจะคุยกับกระต่ายไปด้วยให้อาหารพวกมันไปด้วย
ถ้างั้นก็แปลกแล้ว ทันใดนั้นสวี่จือจือก็หรี่ตาลง
เธอเห็นรอยเท้าอยู่ข้างกรงกระต่าย เป็รอยเท้าของผู้ใหญ่ และดูจากสภาพแล้วน่าจะเป็รอยที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
มีคนเคยมาที่นี่ เธอคิดในใจ
“กระต่าย” เจินเจินพูดพลางร้องไห้ “มันกำลังจะคลอดลูกแล้ว”
สวี่จือจือลูบศีรษะอีกฝ่าย คว้าท่อนไม้ขนาดแขนมาอันหนึ่งแล้วเดินสำรวจไปทั่วหลังบ้าน
ถ้ามีคนขโมยกระต่ายไป บางทีตอนนี้อาจจะยังซ่อนตัวอยู่ในบ้านก็ได้ แต่คนคนนั้นเป็ใครกัน? ถึงแม้ว่าประตูบ้านของพวกเขาจะเปิดอยู่ แต่ห้องของหญิงชราอยู่ตรงหน้าประตู ในห้องของท่านติดกระจก คนเข้ามาเธอก็ต้องเห็น ต่อให้ท่านไม่เห็น เธอกับลู่ซือหยวนก็วุ่นวายอยู่ในห้องครัว ถ้ามีคนเข้ามาก็ต้องสังเกตเห็นอยู่แล้ว
สวี่จือจือมองไปรอบ
“บ้านเรามีรูอะไรบ้างไหม?” ลู่ซือหยวนก็ตามหากระต่ายไปด้วยแล้วถามว่า “มันจะไม่มุดหนีไปตามรูอะไรพวกนั้นใช่ไหม?”
“อาจจะใช่มั้ง” สวี่จือจือพูดไปอย่างนั้นแต่ก็ส่ายหน้า เื่นี้เธอค่อนข้างมั่นใจ
ลู่ซือหยวนเห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็เริ่มจริงจังขึ้นมา ท่าทางจะมีคนเข้ามาในบ้านจริงๆ ใครกันที่กล้าทำอะไรแบบนี้! เธอจึงคว้าเสียมมาอันหนึ่ง
สวี่จือจือ “...” สุดยอดไปเลยพี่หยวนหยวน!
และในขณะนั้นเอง ทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากด้านหลังรถเข็นที่วางอยู่หลังบ้าน มองหน้ากันก่อนสวี่จือจือจะชี้ไปที่ข้างๆ แล้วทำท่าทาง ลู่ซือหยวนพยักหน้า
ทั้งสองคนคนหนึ่งถือท่อนไม้ อีกคนถือเสียมเตรียมจะฟาด แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ลงมือก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังมาจากด้านหลัง
“อ๊า...”
ทั้งคู่หันกลับไปดูก็เห็นเหอเสวี่ยฉินกรีดร้องแล้วะโขึ้น “เื...เื...อ๊า...”
.............................