“เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้น”
“สายตาของคุณหนู ฉายแววบางอย่างที่ข้าไม่เคยเห็น และไม่รู้สึกคุ้นเคย” หวางฟางเฟยได้ยินดังนั้น จึงยื่นหน้าไปใกล้อีกฝ่าย
“เ้าคิดว่าข้าเป็ผีรึ” คำพูดของนางทำให้หลินหลินรีบถอยหลังหนึ่งก้าว ด้วยความหวาดหวั่น ท่าทางของอีกฝ่ายทำให้หวางฟางเฟยหลุดยยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้น
“เอาล่ะ พรุ่งนี้เ้าก็จะรู้เอง ว่าข้าจะตอบแทนสองแม่ลูกเช่นไร” หลินหลินทำท่าอึกอัก ก่อนรอยยิ้มหวานของหวางฟางเฟยจะเผยออกมาเบา ๆ
“หน้าของเ้า ดูตลกไม่น้อยเชียว” พูดจบ หวางฟางเฟยก็เดินกลับมายังเตียงนอนของตัวเอง ก่อนหลินหลินจะเดินตามมาคลุมผ้าให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
“เช่นนั้นคุณหนูพักผ่อนเถอะนะเ้าคะ พรุ่งนี้ยังต้องเจออะไรอีกมาก” คำพูดของหลินหลินทำให้หวางฟางเฟยยิ้มตอบ เื่กระจอกเพียงนั้น ไม่ทำให้นางหวาดหวั่นได้
ท่ามกลางอาหารมื้อเช้า บนโต๊ะมีอาหารมากมายหลายอย่างวางไว้ สายตาของหวางฟางเฟยเลื่อนมองไปยัง ชายหนุ่มในสุดสีขาวสะอาด ใบหน้างดงามราวกับรูปปั้น ทว่ามองภายนอกยากที่จะหยั่งความรู้สึกในใจของอีกฝ่ายได้ อยู่ ๆ ความทรงจำของเ้าของร่างเดิมก็ไหลเข้ามาในหัวอีกครั้ง
จิวอี้ซิงเป็บุตรชายคนโตของสกุลจิว เกิดจากภรรยาคนแรกที่เสียชีวิตไปั้แ่ยังเด็ก เขาเติบโตขึ้นจากการเลี้ยงดูของจิวฮูหยิน ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่ดีเท่าใดนัก เพราะนิสัยต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่างของฮูหยิน ทำให้จิวอี้ซิงมักปลีกตัวออกห่างไม่เข้าใกล้ หลายครั้งที่หวางฟางเฟยได้รับการช่วยเหลือจากเขา ทำให้นางรู้สึกพิเศษเกินกว่าคำว่าพี่ชาย
ทว่าจิวอี้ซิงไม่ได้คิดเช่นนั้น เขามองนางเป็เพียงน้องสาวคนหนึ่งที่น่าเวทนา เพราะเขามีคนรักแล้วอย่าง หวังเถียนหลัน แม้ว่านางจะถูกแต่งตั้งขึ้นเป็พระสนมไปแล้ว แต่ดูเหมือนจิวอี้ซิงยังไม่อาจทำใจได้
‘หวางฟางเฟย ข้าไม่แปลกใจที่เ้าจะหลงในรูปลักษณ์ของชายผู้นี้ แต่หญิงที่เขารักได้เป็ถึงพระสนม นั่นหมายความว่าหญิงผู้นั้นต้องมีความสามารถ ถึงดึงดูดใจเขาได้ เ้าเป็เพียงแค่หญิงสาวธรรมดา ๆ ที่หวาดกลัวไปหมดทุกสิ่ง เช่นนี้แล้วจะคว้าใจของเขาได้อย่างไร’ หญิงสาวขบคิด อย่างเงียบ ๆ
ก่อนฝีเท้าของเสนาบดีจิวหยางเหรินจะเดินเข้ามา แล้วย่อตัวลงนั่ง ทอดสายตามองอาหารอย่างเงียบ ๆ
“ท่านพี่กลับมาแล้ว เช่นนั้นพวกเรากินอาหารกันพร้อมหน้าเถอะเ้าค่ะ” จิวฮูหยินรีบลุกขึ้นไปรินชาให้ด้วยกิริยาอ่อนน้อม รอยยิ้มราบเรียบของนางทำให้เสนาบดีจิวหยางเหรินยิ้มตอบเบา ๆ พลันหันมายังหวางฟางเฟย
“ร่างกายแข็งแรงดีแล้วเหรอ จึงลุกขึ้นมากินอาหาร เหตุใดไม่ให้หลินหลินเตรียมไปให้ที่ห้อง” ทุกคนหันมองมายังหวางฟางเฟย ก่อนนางจะยิ้มตอบ
“ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว อยากมาร่วมโต๊ะอาหารกับทุกคน ดีกว่าอุดอู้อยู่แต่ในห้อง” คำตอบยาว ๆ ของนางทำให้จิวอี้ซิงเลื่อนสายตามองนาง ก่อนจะก้มตักอาหารต่อโดยไม่พูดอะไร
“เ้าตกน้ำได้อย่างไร” คำถามของเสนาบดีจิวหยางเหริน ทำให้เยว่หลิวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ หันมองไปยังมารดาด้วยความหวาดหวั่น
“ท่านพี่ ข้าได้สอบถามนางแล้ว นางพลัดตกลงไปในสระระหว่างไปตักน้ำเ้าค่ะ ข้าพูดถูกหรือไม่ หวางฟางเฟย” สายตาบังคับจับจ้องมายังหญิงสาวที่นั่งนิ่ง ก่อนหวางฟางเฟยจะเปลี่ยนสีหน้าเป็อึดอัด วางตะเกียบลงแล้วก้มหน้านิ่ง
“เป็อะไร” เสนาบดีจิวหยางเหริน ขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทางหวาดหวั่นของอีกฝ่าย
“ข้า..” นางพูดพลางหลบสายตาของจิวฮูหยิน นั่นทำให้ชายกลางคนวางตะเกียบลง แล้วข่มเสียงเข้ม
“หรือว่าเ้าไม่ได้พลัดตกน้ำเอง”
“ข้า...” นางยังคงอึกอัก
“พูดความจริงออกมา หากเ้าอึกอักเช่นนี้ ข้าจะให้ความเป็ธรรมกับเ้าได้อย่างไร หวางฟางเฟย แม้เ้าจะไม่มีสายเืสกุลจิว แต่ข้าก็รักเอ็นดูเ้าเหมือนลูกสาวคนหนึ่งของตัวเอง สกุลหวางเองก็ทำความดีความชอบไว้มาก แค่เ้าคนเดียวเหตุใดข้าจะให้ความเป็ธรรมไม่ได้” หญิงสาวน้ำตารื้นขึ้นมา แล้วตอบอีกฝ่ายเบา ๆ
“ข้าซาบซึ้งในบุญคุณของท่านพ่อ แต่ว่า...” หญิงสาวเลื่อนสายตาหวาดหวั่นไปยังจิวฮูหยิน ก่อนจะหลบสายตานางอีกครั้ง นั่นทำให้เสนาบดีจิวหยางเหรินจับพิรุธบางอย่างได้ จึงเอ่ยขึ้น
“พูดความจริงออกมา ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ข้าจะปกป้องเ้าเอง”
“วันนั้นข้าไปตักน้ำที่สระ อยู่ ๆ ท่านแม่กับพี่รองก็เดินเข้ามา แล้วทำร้ายข้า” หญิงสาวหยุดพูด แล้วหันสายตาหวาดหวั่นไปยังจิวฮูหยิน ขณะที่อีกฝ่ายนิ่งอึ้ง กำมือแน่นพร้อมหัวใจเต้นรัวถี่ ไม่คาดคิดว่าคนอ่อนแอเช่นนาง จะกล้าพูดความจริงออกมา
“มองหน้าข้า แล้วพูดความจริง!” ชายกลางคนเรียกสตินาง ก่อนหญิงสาวจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ท่านแม่ต่อว่า และตบหน้าข้า เื่ที่ข้าปักผ้าเช็ดหน้าให้พี่ใหญ่” จิวอี้ซิงชะงักนิ่ง ทว่าเขายังคงเงียบขรึมไม่กล่าวสิ่งใดออกมา
“หลังจากนั้น ก็เทน้ำราดใส่ตัวข้าจนเปียกชุ่ม แล้วสั่งให้ข้าไปตักน้ำในสระ ระหว่างนั้นพี่รองก็ถีบข้าลงสระน้ำเ้าค่ะ”
“เหลวไหลสิ้นดี!” ชายกลางคนตบโต๊ะดังลั่น ทำให้ทุกคนนิ่งเงียบไม่มีผู้ใดกล้าปริปาก จิวฮูหยิน กลืนน้ำลายอึกใหญ่ รีบปฏิเสธในทันที