เมื่อเห็นเช่นนี้ มู่อวิ๋นจิ่นจึงแสดงท่าทีเยาะเย้ยแล้วพูดกับฉู่ลี่ที่อยู่ข้าง ๆ นางด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “เ้าดูสิ แม่ของข้ามีความสามารถจริง ๆ นางสามารถคาดเดาได้ว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ใต้เตียง”
หลังจากมู่อวิ๋นจิ่นพูดจบ ก็เห็นว่าซูปี้ชิงหยิบหมอนของมู่อวิ๋นจิ่นขึ้นมา และเมื่อซูปี้ชิงพบว่า ไม่มีอะไรอยู่ใต้หมอน นางก็ยกผ้าปูที่นอนทั้งผืนของมู่อวิ๋นจิ่นสะบัดขึ้นลงอย่างเอาเป็เอาตาย
เห็นดังนั้นมู่อวิ๋นจิ่นจึงพูดกับฉู่ลี่ว่า “ไปกันเถอะ”
" ได้สิ"
...
ภายในโรงน้ำชาิเสี่ยน
มู่อวิ๋นจิ่นดื่มน้ำชาไปสามแก้ว จากนั้นวางถุงที่นางหยิบออกมาจากห้องนอนไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเปิดปากถุงและเล่นกับมีดสั้นที่อยู่ข้างใน
“แม่ของเ้า้าฆ่าเ้าอย่างนั้นหรือ?” ฉู่ลี่จิบชาสายตาก็จับจ้องไปที่มู่อวิ๋นจิ่น และพูดกับนางเบา ๆ
“มันควรจะเป็เช่นนั้น” มู่อวิ๋นจิ่นแย้มยิ้มที่มุมปาก ในน้ำเสียงก็ล้วนสงบนิ่ง
ฉู่ลี่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด “แล้วเ้ารู้ล่วงหน้าได้อย่างไร”
“ใครให้นางใช้ลูกไม้เดิมๆ บ่อยครั้งนักเล่า ที่สำคัญลูกไม้เหล่านี้น่าเบื่อจำเจเหลือเกิน” มู่อวิ๋นจิ่นกล่าวเหยียดหยาม
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่อวิ๋นจิ่นฉู่ลี่ก็คลี่ยิ้มเบา ๆ ก่อนจะมองไปที่ดวงตาของมู่อวิ๋นจิ่นด้วยความสนุกสนาน และคิดในใจว่าบางทีอาจเป็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้นางกลายเป็จิ้งจอกน้อยอย่างที่เป็อยู่ทุกวันนี้
ไม่มีสิ่งใดทำร้ายนางได้เลย
“เงินสามหมื่นตำลึงอยู่นี่” หลังจากนั่งเฉย ๆ สักพัก ฉู่ลี่ก็หยิบเงินออกมาอีกครั้ง แล้วส่งไปที่โต๊ะข้างหน้ามู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นก้มมองตั๋วเงินสักพักก็หยุดชะงักงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับฉู่ลี่ “องค์ชายหก มีสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ”
“ เื่อันใดที่ไม่เข้าใจกัน?” เสียงที่ไม่แยแสของฉู่ลี่ตอบกลับมา
“"ข้าไม่มีเื่ข้องใจกับเ้าแท้ๆ แต่ทำไมถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับข้า" เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นพูดถึงเื่นี้ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางก็ดูหม่นลงไปบ้าง
“แค่กๆๆๆ”
ฉู่ลี่ไม่ได้ตอบคำถามนั้น ทว่าเขากลับได้ยินเสียงสำลักน้ำของติงเสี่ยนแทน
เมื่อมาถึงจุดนี้มู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่มองดูติงเสี่ยน ด้วยสายตาไม่สบอารมณ์
“โอ้… จริงสิ พวกม้าตัวเล็ก ๆ ด้านล่างยังไม่ได้ให้อาหารเลยนี่! ข้าน้อยขอตัวไปให้อาหารม้าก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ" หลังจากพูดจบ ติงเสี่ยนก็รีบวางถ้วยน้ำชา แล้วเผ่นออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากติงเสี่ยนออกไปแล้ว ภายในห้องกลับมาสงบเงียบดังเดิม
ฉู่ลี่มองมู่อวิ๋นจิ่นนิ่งๆ แล้วเอ่ยอย่างใจเย็น “เ้าเคยคิดไหมว่าการแต่งงานกับองค์ชายอย่างข้าจะทำให้เ้าหลบหนีจากจวนเสนาบดีมู่ได้ ข้าว่าเื่นี้ก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก"
“ “นี่ข้าหลวมตัวเข้าไปอยู่ในวังวนความวุ่นวายของจวนองค์ชายแล้วหรือเนี่ย?” มู่อวิ๋นจิ่นพึมพำ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของฉู่ลี่ก็หม่นลง รอยยิ้มจาง ๆ พลันปรากฏขึ้นที่มุมปาก “เ้าคิดว่าองค์ชายหกผู้นี้้าแต่งงานกับเ้าจริง ๆ เหรอ?”
หลังจากที่ฉู่ลี่พูดจบเขาก็แค่นเสียงเบาๆ ว่า “การแต่งงานครั้งนี้เป็แค่การแลกเปลี่ยน เ้ากับข้า… เราต่างก็ได้สิ่งที่้า”
มู่อวิ๋นจิ่นผงะเล็กน้อย “เราทั้งสองต่างก็ได้สิ่งที่้าใช่หรือไม่…”
หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มู่อวิ๋นจิ่นก็นึกถึงใครบางคน แล้วเลิกคิ้วขึ้นทันที “เ้าแต่งงานกับข้าเพื่อหนีฉินมู่เยว่?”
“ข้าไม่้าเกี่ยวข้องกับตระกูลฉิน” ฉู่ลี่พูดช้า ๆ และเมื่อกล่าวถึงตระกูลฉิน ในดวงตาของเขาก็ไม่สามารถซ่อนความรังเกียจเอาไว้ได้
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นได้ยินเช่นนั้น นางก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย ตระกูลฉิน เป็ตระกูลของนายพลและมีอำนาจทางการทหารที่ยิ่งใหญ่ หากฉู่ลี่ ยอมแต่งงานกับฉินมู่เยว่ก็จะมีตระกูลฉินเป็ฝ่ายสนับสนุน ซึ่งจะช่วยได้มากในการขึ้นสู่บัลลังก์ในอนาคตของฉู่ลี่
แต่สิ่งที่ฉู่ลี่แสดงให้เห็นในตอนนี้ ดูเหมือนจะเป็ศัตรูกับตระกูลฉิน มากกว่า ถึงขั้นดูถูกเหยียดหยามก็ว่าได้?
มู่อวิ๋นจิ่นหยุดคิดเกี่ยวกับเื่นี้ก่อนจะยื่นมือดันตั๋วเงินบนโต๊ะต่อหน้าฉู่ลี่ และยิ้มเบา ๆ “ข้าจะฝากจี้หยกเก็บไว้ที่เ้าเพื่อความปลอดภัย แต่เมื่อวันใดที่้ามันข้าจะมาขอมันคืนจากเ้า”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ มู่อวิ๋นจิ่นมองไปที่ฉู่ลี่และกล่าวเสริมว่า “ไยท่านถึงมีสีหน้าบึ้งตึงเช่นนั้น จี้หยกนี้เกี่ยวข้องกับความเป็ตายของข้า และมันสำคัญสำหรับข้ามาก"
ฉู่ลี่ชำเลืองมองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในดวงตา ถึงกระนั้นเขาก็ยังพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นว่าการตกลงครั้งนี้เป็ไปอย่างราบรื่น มู่อวิ๋นจิ่นมองที่ฉู่ลี่อีกครั้ง นางรู้สึกพอใจมากขึ้นในทันที หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง มู่อวิ๋นจิ่นก็จำได้ว่าจื่อเซียงยังคงอยู่ที่เรือนมวลบุปผา นางจึงดูเวลาแล้วลุกขึ้น
“ข้าจะกลับไปที่จวนก่อน และข้าก็ไม่รู้ว่ามีอะไรรอข้าอยู่ที่นั่นบ้าง” มู่อวิ๋นจิ่นกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ฉู่ลี่ก็ฮัมเพลงเบา ๆ
มู่อวิ๋นจิ่นเดินออกจากโรงน้ำชา ฉู่ลี่ยืนอยู่ที่หน้าต่างบนชั้นสอง ดวงตาคู่นั้นมองส่งมู่อวิ๋นจิ่นจนลับตา ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น “ติงเสี่ยน...”
...
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นกลับไปที่จวนของอัครเสนาบดีมู่ นางเห็นว่าศพของชายในชุดดำ และซากแมวถูกนำออกไปแล้ว ปล่อยให้เฉินพู่ ผู้ดูแลศาลต้าหลี่คุยกับผู้เป็บิดาต่อ
“ท่านอัครเสนาบดี ข้าได้ค้นหาในจวนทั้งหมดแล้ว แต่กลับไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด” เฉินพู่กล่าวอย่างรู้สึกผิด
อัครเสนาบดีมู่ถอนหายใจพลางพยักหน้า “ใต้เท้าเฉินอย่าโทษตัวเองเลย ข้าเดาว่าฆาตกรคงเ้าเล่ห์มากเสียจนไม่ทิ้งร่องรอยไว้”
หลังจากพูดจบ มู่อวิ๋นจินก็เดินเข้าประตูมาแล้ว
หลังจากเข้าประตู มู่อวิ๋นจิ่นเหลือบไปเห็นซูปี้ชิงและมู่หลิงจูนั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยความรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เมื่อทั้งสองเห็นมู่อวิ๋นจิ่น ในดวงตาของพวกนางก็เต็มไปด้วยความคิดที่ซับซ้อน
“แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าทำไม” มู่อวิ๋นจิ่นมองไปที่เฉินพู่ทันทีที่นางเข้ามา
เฉินพู่ชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะพูดกับมู่อวิ๋นจิ่นว่า “เรียนคุณหนูสาม กล่องของกำนัลที่วางอยู่ในเรือนบุปผาภิรมย์ปนเปื้อนไปด้วยยาพิษ เ้าแมวที่ซุกซนตัวนั้นคงวิ่งเข้าไปในจวน และบังเอิญต้องพิษจนถึงแก่ความตาย”
“เอ๊ะ? อย่างนั้นหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วมองยังซูปี้ชิง “กล่องของกำนัลเ่าั้ ได้รับคำสั่งจากท่านแม่ของข้าให้วางไว้ในเรือนบุปผาภิรมย์หลังจากวางมันลง ข้ารู้สึกว่ามันตั้งระเกะระกะขวางทางไปยังห้องนอนของข้า ข้าจึงกลับไปนอนที่เรือนมวลบุปผาแทน"
เมื่อได้ยินมู่อวิ๋นจิ่นพูดถึงซูปี้ชิงดังนั้น ทุกคนก็ผงะเล็กน้อยพลันหันมองไปที่ซูปี้ชิงในทันที
ก่อนที่ซูปี้ชิงจะทันได้พูดอะไรป้าหลี่ที่อยู่ข้าง ๆ ซูปี้ชิงก็พูดขึ้นก่อน “เป็ไปได้ไหมว่าคุณหนูสามสงสัยในตัวฮูหยิน? ถ้าคุณหนูบอกบ่าวชราคนนี้ว่ากล่องของกำนัลเหล่านี้ขวางทาง บ่าวผู้นี้สามารถบอกให้บ่าวรับใช้ที่จวนช่วยทำความสะอาดให้ได้ แต่ทำไมคุณหนูถึงได้ไปอาศัยอยู่ในเรือนมวลบุปผาที่ว่างเปล่าอย่างนั้นเล่าเ้าคะ”
คำพูดของป้าหลี่ทำให้สีหน้าตึงเครียดของซูปี้ชิงผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“ต่อหน้าคนนอก ป้าหลี่ควรหยุดพูดเื่ไร้สาระ ใครบ้างที่ไม่รู้สถานะของข้าในจวนเสนาบดีแห่งนี้ ข้าถูกคุมขังในเรือนมวลบุปผาั้แ่ยังเด็กและจื่อเซียงเป็คนเดียวที่คอยปรนนิบัติข้า คนในจวนรวมทั้งคนรับใช้บางคน มีใครที่เห็นข้าแล้วไม่แสดงสีหน้าเหยียดหยามบ้าง?”
“แม้ว่าข้าจะย้ายไปที่เรือนบุปผาภิรมย์ในภายหลัง แต่ข้าไม่เห็นพ่อของข้าแต่งตั้งคนดูแลข้าเพิ่มแม้แต่คนเดียว ป้าหลี่จะบอกให้คนรับใช้สองสามคนมาช่วยทำความสะอาดเรือน คิดว่าคนพวกนั้นจะรับฟังข้าหรือไม่?”
คำพูดของมู่อวิ๋นจิ่นทำให้ป้าหลี่พูดไม่ออก นางลดสายตาลง และมองไปที่ซูปี้ชิง
“เอาล่ะ เื่นี้จบแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรต่อ เื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกคนมามากพอแล้ว แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ”” ซูปี้ชิงถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะโบกมือให้ทุกคนและกำลังจะลุกขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นดังนั้นจึงคิดว่าหากปล่อยให้ซูปี้ชิงจากไปง่าย ๆ ก็กระไรอยู่ เมื่อคิดได้ดังนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่นางจะมองไปยังเฉินพู่ เนื่องจากมีการกล่าวว่ากล่องของกำนัลเ่าั้มีพิษร้ายแรง เช่นนั้นใต้เท้าเฉินอาจส่งคนไปตรวจสอบว่าเป็พิษชนิดใด แล้วสั่งให้คนไปร้านขายยาใหญ่ ๆ เพื่อพิจารณาดูว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้มีใครซื้อยาพิษหรือส่วนผสมของยาพิษหรือไม่”
“นอกจากนี้… ใต้เท้าเฉินสามารถหาจิตรกรเพื่อวาดใบหน้าของชายในชุดดำผู้นี้ได้โดยละเอียด และติดประกาศบนถนน ผู้ที่ให้เบาะแสจะได้รับรางวัล!”
คำพูดของมู่อวิ๋นจิ่นทำให้อัครเสนาบดีมู่รู้สึกชื่นชม
อันที่จริงแล้วเื่ที่เกิดขึ้นกะทันหันในจวน โดยที่ไม่สามารถตามสืบได้ถึงคนที่ชักใยอยู่เื้ันั้น วิธีการที่มู่อวิ๋นจิ่นเสนอมา ฟังดูก็นับว่าเข้าท่า
“ใต้เท้าเฉิน ทำตามที่มู่อวิ๋นจิ่นแนะนำเถอะ” มู่เฉิงเซี่ยงเปลี่ยนเื่ และมองไปที่เฉินพู่
เฉินพู่พยักหน้าและโค้งคำนับมู่เฉิงเซี่ยง “ ข้าขอตัวลา”
“เอาล่ะ เดี๋ยวตาแก่อย่างข้าจะออกไปส่งเ้าเอง” อัครเสนาบดีมู่เอ่ยพลางเดินไปส่งเฉินพู่ถึงด้านนอกประตู
คนกลุ่มหนึ่งออกไปที่ห้องโถงด้านหน้า เหลือเพียงซูปี้ชิงและมู่หลิงจู่
มู่อวิ๋นจิ่นชำเลืองมองสองแม่ลูก แล้วหัวเราะออกมาด้วยใบหน้ามืดครึ้ม “ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว เมื่อก่อนประโยคนี้ข้าไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก ทว่ามาวันนี้ขอบคุณท่านแม่และน้องสาวด้วยที่แสดงออกมาให้เห็น”
หลังจากพูดอย่างนั้น มู่อวิ๋นจิ่นกำลังจะเดินไปที่สวนด้านหลัง และหลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าวนางก็หยุดฝีเท้าอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมามองคนสองคนที่ยังคงนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ
“ก่อนที่ใต้เท้าเฉินจะค้นพบกลอุบายใด ๆ พวกท่านควรคิดถึงแผนการตอบโต้ก่อน มิฉะนั้นแม้แต่เหล่าทวยเทพก็คงไม่อาจปกป้องพวกท่านได้”
...
หลังจากเข้าไปในสวน มู่อวิ๋นจิ่นยืนกอดอก ที่มุมปากโค้งขึ้นเป็รอยยิ้ม “ออกมา!”
หลังจากพูดอย่างนั้น ครู่ต่อมาร่างหนึ่งก็ลงมาจากท้องฟ้า มายืนอยู่ตรงหน้ามู่อวิ๋นจิ่น “วิชากังฟูของข้าจัดว่าสงบนิ่งและเงียบงัน คนส่วนใหญ่ไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นการมีอยู่ของข้า แต่คุณหนูสามรู้ได้อย่างไรขอรับ?”
“ทำไมเ้าถึงไม่ทำตามคำสั่งขององค์ชาย เ้ามาทำอะไรที่นี่” มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย และเงยหน้าขึ้นมองติงเสี่ยนที่อยู่ตรงหน้า
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ติงเสี่ยนก็ยิ้มและเลิกคิ้วขึ้น “กระผมเป็องครักษ์ขององค์ชาย การมาปรากฏตัวที่นี่จะหมายความว่าอย่างไรอีกล่ะขอรับ”
“ฉู่ลี่ขอให้เ้ามา?” มู่อวิ๋นจิ่นถาม
“องค์ชายทรงเกรงว่าคุณหนูสามจะจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นภายในจวนไม่ได้ จึงส่งข้าตามมาดูแล ใครจะคิดว่าคุณหนูจะทั้งหลักแหลมและทรงอำนาจขนาดนี้!” ติงเสี่ยนกล่าวพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย
คำพูดของติงเสี่ยนทำให้ดวงตาของมู่อวิ๋นจิ่นสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนนางจะถามติงเสี่ยนด้วยความประหลาดใจ “ฉู่ลี่เป็คนจิตใจดีอย่างนั้นเชียวหรือ?”
“อย่ามององค์ชายที่มักจะเ็าเพียงด้านเดียวเลย ท่านทำดีต่อคุณหนูสามเช่นนี้ คุณหนูสามก็อย่าได้ลำบากใจในการแต่งงานกับองค์ชายของเราเลยขอรับ” ติงเสี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
พอติงเสี่ยนเอ่ยถึงเื่แต่งงานขึ้นมา มู่อวิ๋นจิ่นรีบยกมือขึ้นมาทำท่าจะตีหัวเขาทันที “หากเื่ที่เ้าเล่าให้ข้าฟังเป็ความจริงที่ว่า ฉู่ลี่มองไม่เห็นในที่มืด ข้าก็ย่อมไม่มีทางแต่งกับเขาแน่”
ติงเซี่ยนชะงักงันรีบยกมือกุมหัวเพราะกลัวว่ามู่อวิ๋นจิ่นฟาดลงมาจริงๆ การที่ได้ยินนางพูดอย่างไร้เหตุผล เขาทำได้เพียงงึมงำด้วยความรู้สึกไม่เป็ธรรม “กระผมไม่เคยเอ่ยถึงคุณหนูต่อหน้าองค์ชายเลยสักนิดขอรับ...”
มู่อวิ๋นจิ่นก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว จากนั้นดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ ก่อนจะมองไปที่ติงเสี่ยน “จริงสิ… เ้ามาตรงนี้ก่อนสิ”
“คุณหนูสามจะทำอะไรหรือขอรับ”
“ช่วยข้าจับตาดูซูปี้ชิงและมู่หลิงจูอย่างลับ ๆ จงระวังว่าพวกนางจะเล่นเล่ห์แบบไหนลับหลังข้าอีก ครั้งนี้ข้า้าให้พวกนางล้มลงอย่างสิ้นเชิง!” มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มอย่างนึกสนุก ทั้งดวงตายังเต็มไปด้วยความเ้าเล่ห์
ติงเสี่ยนใอีกครั้ง และพูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “แต่องค์ชาย...”
“มันยังไม่จบ ฉู่ลี่จะไม่มีปัญหาอะไรอีกสักพัก นอกจากนี้ทักษะการต่อสู้ของเขาก็เหนือกว่าของเ้าไม่ใช่หรือ?”