3
“มึงโกรธกูหรือเปล่า”
“เปล่า”
“กูขอโทษนะมึง เมื่อวานกูไม่น่ายุให้มึงทำเลย” ขนุนพูดขอโทษผมเป็รอบที่ร้อยของวันและคาดว่ามันคงจะพูดแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ อันที่จริงแล้วเื่นี้ไม่ใช่ความผิดของมันเลย ผมก็บ้าจี้ไปทำตามที่มันท้าจนกลายเป็เื่ขึ้นมา
“ช่างมันเถอะ” ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น ตอนนี้ผมกับขนุนกำลังเดินไปตามทางเดินเพื่อไปเรียนที่ตึกคณะ ขนุนมีเรียนเช้าและบ่าย ส่วนผมมีเรียนแค่ตอนบ่ายเท่านั้น แต่ที่ผมมาพร้อมมันเพราะผม้าจะมาดักรอใครบางคน
เมื่อวานหลังจากถูกจับได้โดยที่หลักฐานยังคาอยู่ในมือ ผมกับขนุนก็ถูกพี่ปรงถีบออกมาจากห้องนั้นแล้วเขาก็ไล่ให้ผมกลับหอไปพร้อมกับบอกให้ผมเตรียมตัวไว้ด้วย เพราะเขาจะเอาเื่ผมไปบอกอาจารย์ แถมยังทิ้งท้ายไว้อีกว่าไม่ว่ายังไงเขาก็จะเอาเื่ผมให้ได้ เขาจะไม่มีวันปล่อยผ่านเื่นี้ไปเด็ดขาด
ผมก็ทำใจไว้ส่วนหนึ่งแล้วล่ะว่ายังไงผมก็ต้องถูกทำโทษ เพราะผมก็ทำผิดจริง ๆ แต่ในใจก็ยังแอบหวังว่าถ้าผมลองไปคุยกับพี่ปรงอีกครั้ง บางทีสุดท้ายเขาอาจจะยอมใจอ่อนให้ผมก็ได้
“มึงไม่โกรธกูแน่นะ ทำไมตอบห้วนจัง” ขนุนถามย้ำอีกรอบ เราทั้งสองคนเดินมาหยุดที่หน้าห้องเรียนของขนุน แต่มันก็ยังไม่ยอมเข้าไปเพราะรอคำตอบจากผมอยู่
“ไม่โกรธจริง ๆ แค่คิดอะไรนิดหน่อย”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก พี่ปรงเขาเป็คนใจดี”
“เอาอะไรมาใจดี กูเจอเขามาสองครั้ง ก็ไม่เห็นว่าจะใจดีเลยสักครั้ง” ผมตอบกลับไปพร้อมกับถอนหายใจออกมา ขนุนมันเอาแต่พูดปลอบใจผมว่าพี่ปรงเขาเป็คนใจดี ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่ผมได้ประสบพบเจอมากับตัวเองมันไม่ใช่แบบนั้นเลย
“ไม่เป็ไรนะมึง ถ้ามึงโดนอาจารย์เรียกไปคุย มึงก็โทษกูมาได้เลย เดี๋ยวกูยอมรับผิดเอง” ขนุนยื่นมือมาบีบไหล่ผมอย่างเบามือ น้ำเสียงที่จริงจังของมันทำให้ผมคลายกังวลไปได้เล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเพราะมันจะยอมรับผิดแทนผมหรืออะไรนะ แต่ที่ผมสบายใจขึ้นก็เพราะว่าผมยังมีคนที่คอยอยู่ข้าง ๆ ต่างหาก
“ขอบใจนะมึง”
“เชื่อกูดิว่าคงไม่โดนอะไรหรอก อย่างมากก็แค่เรียกไปด่าแค่นั้นแหละ แล้วเราก็เอาเห็ดคืนพี่ปรงไปหมดแล้วด้วย” พอขนุนพูดมาแบบนั้น ผมก็ชะงักไปเล็กน้อย
“…”
เมื่อวานผมคืนเห็ดพี่ปรงไปแค่ต้นที่ผมกำอยู่ในมือต้นเดียว แต่ยังมีอีกสองต้นที่ผมลืมว่าผมเอาใส่กระเป๋ากางเกงไว้ ผมมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กลับมาถึงห้องแล้ว ตอนที่ล้วงกระเป๋าแล้วเจอเห็ดอยู่ในกระเป๋ากางเกง ใจผมนี่ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเลย ลังเลอยู่นานว่าควรเอามาคืนพี่ปรงหรือเปล่า แต่พอคิดไปคิดมาก็เลยตัดสินใจว่าไม่ดีกว่า แค่นี้เขาก็โกรธมากแล้ว
“ทานตะวัน! มึง…”
“ตอนนั้นกูใจนลืมอะ แต่ถ้าจะให้กูเอาไปคืนตอนนี้นะ มีหวังเขาไม่ยกโทษให้กูแน่” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลงในตอนที่มีคนเดินผ่านพวกเราสองคนไป ขนุนมองหน้าผมด้วยสีหน้าที่เหมือนอยากจะเด็ดก้านมะยมมาตีให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่สุดท้ายมันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ถ้างั้นมึงก็เก็บเห็ดไว้ให้ดี ๆ แล้วกัน”
“กูแช่ตู้เย็นไว้ที่ห้อง”
“ยังจะเก็บไว้อีก”
“มึงบอกว่าเื่เห็ดยามาบูฯมันดังในมหา’ลัยมากไม่ใช่หรือไง ถ้ากูทิ้งไปแล้วมีคนมาเจอจะทำยังไง”
“งั้นรอให้เื่มันเงียบแล้วมึงค่อยเอาไปทิ้งไกล ๆ หรือเอาไปเผาเลยก็ได้ จะได้ไม่เหลือซากไม่เหลือหลักฐาน” ขนุนพูดออกมาอย่างยืดยาว ก่อนที่มันจะเลื่อนสายตาที่ด้านหลังของผมและทำตาโตเหมือนคนเห็นผี
อย่าบอกนะ
ว่ามีคนยืนอยู่ข้างหลังผมน่ะ
“เผาอะไรกัน” เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของผม น้ำเสียงนุ่ม ๆ ที่ผมจำได้เป็อย่างดี พอหันไปก็พบกับพี่อูนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างหลังของผม ใบหน้าของเขายังคงแจ่มใสเหมือนทุก ๆ วัน พอเห็นท่าทีของเขาที่ดูเหมือนไม่ได้จะมาเอาเื่อะไร ผมจึงลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“อ๋อ เผาต้นไม้ที่มันเป็โรคน่ะค่ะพี่อูน พอดีว่าข้าวโพดของขนุนมันเป็โรคเยอะเลยต้องรีบเผาทิ้ง ไม่งั้นเชื้อโรคคงลามไปแปลงอื่นแน่ ๆ เลยค่ะ” ขนุนตอบกลับไปอย่างรู้งาน น้ำเสียงและท่าทางการพูดของมันเป็ปกติมากจนผมยังแปลกใจ
“แย่เลยแบบนี้ ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะ”
“ได้เลยค่ะ”
“มีอะไรให้พี่ช่วยมาบอกได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบคุณมากเลยค่ะ ยังไงเดี๋ยวหนูขอตัวไปเรียนก่อนนะคะ” ขนุนหันไปพูดและยิ้มให้พี่อูนเล็กน้อย ก่อนที่มันจะขยับมาใกล้ ๆ ผมและพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “โชคดีนะมึง”
ขนุนเดินหายเข้าไปในห้องเรียนทันทีที่พูดจบ ตรงบริเวณนี้จึงเหลือแค่ผมและพี่อูนเท่านั้น เขาส่งยิ้มมาให้ผมแบบที่เขาชอบทำ ดูเหมือนว่าพี่อูนคงยังไม่รู้เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เขาถึงได้ทำตัวปกติกับผมขนาดนี้
แล้วถ้าเกิดว่าเขารู้ขึ้นมาล่ะ
เขาจะเกลียดผมหรือเปล่า
“แล้วเราไม่เข้าไปเรียนเหรอ” พี่อูนเอ่ยถามหลังจากที่เห็นว่าผมยืนนิ่ง ๆ อยู่ที่เดิมมาเป็นาที ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับเขาได้เพียงครู่เดียวก็ต้องหลบตา สายตาของเขาที่มองมาทางผมมันมีผลต่อใจของผมจริง ๆ นะ
“ผมไม่มีเรียนเช้าหรอกครับ มาส่งขนุนมันเฉยๆ”
“ใจดีจังนะเรา ตื่นเช้ามาส่งเพื่อนเข้าเรียนด้วย”
“แล้วพี่อูนล่ะครับ ไม่มีเรียนเหรอ”
“พี่ก็ไม่มีเรียนเหมือนกัน แต่ไอ้ปรงบอกให้พี่แวะเข้ามาดูเห็ดให้มันน่ะ” คำตอบของพี่อูนทำให้ผมสะอึกไปเล็กน้อย พอพูดถึงเื่เห็ดขึ้นมาก็รู้สึกเหมือนใจจะตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกแล้ว
“พี่ปรงเขาจะมาตอนไหนเหรอครับ”
“เดี๋ยวก็คงมาแล้วแหละ มีอะไรหรือเปล่า”
“ผมมีเื่จะคุยกับพี่ปรงน่ะครับ”
“ถ้างั้นไปนั่งรอมันในห้องภาคกับพี่ไหม พี่ก็รอคุยกับมันเื่เห็ดอยู่พอดี” พี่อูนพูดพร้อมกับผายมือไปยังทางเดินที่ทอดยาวไป ผมพยักหน้ารับและเดินขนาบข้างเขาไปอย่างเงียบ ๆ
บรรยากาศในตอนเช้าค่อนข้างดีเลยทีเดียว ตึกคณะผมจะมีลักษณะเป็วงกลมที่สามารถมองจากชั้นบนลงมายังโถงกลางข้างล่างได้ โดยที่จะมีต้นไม้และดอกไม้ปลูกไว้จนเต็มไปหมด ทำให้ในตึกจะมีอากาศเย็น ๆ และมีลมพัดผ่านอยู่แทบจะตลอด ยิ่งเป็ตอนเช้าที่แดดออกไม่แรงมากก็ยังดีเข้าไปใหญ่
ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าตัวเองจะได้มาเดินข้างรุ่นพี่ที่ชอบท่ามกลางบรรยากาศอุ่น ๆ ในยามเช้าและมีเสียงนกร้องดังระงมไปทั่ว พี่อูนไม่ได้พูดอะไร เพราะเขาเห็นว่าผมเอาแต่ก้มหน้าตลอด ทำให้บรรยากาศระหว่างเราค่อนข้างน่าอึดอัด
“แล้ว…เห็ดเป็ไงบ้างครับ” ผมเอ่ยถามในระหว่างที่เรากำลังเดินไปตามทางเดิน แต่เพราะความเงียบทำให้ผมรู้สึกอึดอัด ผมจึงพยายามหาเื่มาคุยกับพี่อูน แต่เื่เดียวที่ผมพอจะนึกออกก็คือเื่เห็ด
“ก็ไม่เป็ไรนะ ไม่รู้ว่ามันจะให้พี่มาดูทำไม”
“เห็ดในห้องนั้นเป็ของพี่ปรงเหรอครับ”
“ไม่เชิงว่าเป็ของมันนะ จริง ๆ ก็เป็ของทุกคนในภาคนั่นแหละ แต่ไอ้ปรงมันมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลทุกอย่าง เวลามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับเห็ด ปรงมันก็จะเป็คนที่โดนด่าตลอด”
“แบบนี้นี่เอง”
เมื่อวานพี่ปรงเขาเลยดูโกรธผมมาก ๆ
“พี่เคยลืมล็อคห้องเพาะเห็ดเพราะคิดว่าคงไม่เป็อะไร สรุปก็คือมีคนมาขโมยเห็ดไปเป็ร้อยต้นเลย ไอ้ปรงโดนเรียกไปด่าและโดนลงโทษให้รับผิดชอบปลูกเห็ดใหม่มาคืนร้อยต้นที่โดนขโมยไป พี่รู้สึกผิดกับมันมากเลย”
“มันขึ้นยากมากเลยเหรอครับ เห็ดยามาบูฯเนี่ย”
“ยากนะ ยิ่งเป็เห็ดที่มีถิ่นกำเนิดในเมืองหนาวก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่เลย ที่เห็นว่ามันเคยขึ้นร้อยต้นนี่ถือว่ายังน้อยนะ หัวเชื้อในห้องเพาะเห็ดของเรามีเป็พันหัวเลย แต่ขึ้นมาแค่สิบเปอร์เซ็นต์เอง”
“แสดงว่าพี่ปรงเขาก็ต้องแบกรับอะไรไว้เยอะมากเลยใช่ไหมครับ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ตอนแรกผมก็รู้สึกผิดต่อเขามากอยู่แล้วนะ พอมาได้ยินพี่อูนเล่าแบบนี้แล้ว ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองแย่มาก ๆ ที่ทำแบบนั้นลงไป
“พี่อยากให้เราเข้าใจมันนะ”
“…”
“ที่มันบอกว่าจะเอาเื่เรา ไม่ใช่เพราะมันอยากทำ แต่มันจำเป็ต้องทำ” พี่อูนพูดพร้อมกับวางมือไหล่ผมแล้วบีบเบา ๆ เป็จังหวะเดียวกันกับที่เราทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าห้องภาคแล้ว พี่อูนจึงเปิดประตูและเดินนำผมเข้าไปก่อน
เดี๋ยวนะ
พี่อูนเขารู้?
ผมวิ่งตามเขาเข้าไปในห้อง กำลังจะเอ่ยปากถามว่าทำไมเขาถึงรู้เื่เมื่อวาน แต่พอเห็นว่ามีใครบางคนนั่งอยู่ในห้องนั้นก่อนแล้ว ทำให้ผมเก็บเื่ที่จะถามไว้ในใจแล้วหันไปสบตากับร่างสูงที่นั่งไขว่ห้างเหมือนว่ากำลังรอผมอยู่พอดี พี่ปรงมองหน้าผมนิดหน่อย ก่อนที่เขาจะหันไปมองพี่อูนที่ยืนอยู่ข้างหน้าผม
“เห็ดที่กูให้ไปดูเป็ไงบ้าง” พี่ปรงเอ่ยถามเพื่อนตัวเองด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินผ่านผมไปราวกับว่าผมเป็แค่ธาตุอากาศโดยที่เขาไม่แม้แต่จะปรายตามาสบตากับผมเลย
เขาโกรธผมขนาดนั้นเลยเหรอ
“มีเกิดมาใหม่ห้าต้น พรุ่งนี้น่าจะเกิดอีก” พี่อูนตอบกลับไป
“ดีละ”
“ทำไมมึงมาเช้าจังวะ วันนี้ไม่มีเรียนทั้งวันเลยไม่ใช่เหรอ” พี่อูนเอ่ยถามในขณะที่เขาทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งภายในห้อง ก่อนจะกวักมือให้ผมนั่งลงข้าง ๆ ในขณะที่พี่ปรงก็เดินไปรอบ ๆ ห้อง เปิดตู้เก็บของตู้นู้นทีตู้นี้ที เหมือนว่าเขากำลังหาของ
ห้องภาคเป็ห้องที่ทุกภาคในคณะจะต้องมีไว้เพื่อเป็ที่สำหรับประชุมของคนในภาคและเอาไว้เก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยจะมีลักษณะเป็ห้องใหญ่ ๆ ที่มีโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนั่งทำงานอยู่จำนวนหนึ่ง มีมุมสำหรับเก็บอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียน ซึ่งคนในภาคส่วนใหญ่ก็มักจะมานั่งทำงานกันที่นี่ เพราะแอร์ฟรี น้ำก็มีให้ดื่มตลอด แต่ก็อย่างที่บอกว่าผมไม่ค่อยได้มาเท่าไร ผมไม่มีเพื่อนที่สนิทด้วยที่เรียนภาคเดียวกัน เวลาไปไหนก็ไปแต่กับขนุนจนคนอื่นคิดว่าผมเรียนภาคพืชสวนกับขนุนแล้ว
“วันนี้กูมีงานต้องทำตอนบ่าย เลยว่าจะมาเตรียมอุปกรณ์ไว้ก่อน” พี่ปรงพูดพร้อมกับหยิบของประมาณสองสามอย่างมาวางไว้บนโต๊ะตัวที่ผมกับพี่อูนกำลังนั่งอยู่
พี่อูนใช้แขนดันแขนผมเบา ๆ เหมือนเขาพยายามส่งสัญญาณให้ผมพูดอะไรสักอย่าง พอผมหันไปสบตากับเขาก็เห็นว่าเขากำลังพยายามพยักพเยิดให้ผมหันไปพูดกับพี่ปรง ผมมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจในทีแรก ก่อนที่จะร้องอ๋อขึ้นมาเมื่อพี่อูนขยับเข้ามากระซิบที่ข้างหูว่าให้ผมเสนอตัวไปช่วยพี่ปรง
“พี่ปรงมีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ” ผมพูดออกไปและพยายามจะส่งยิ้มไปให้เขา แต่เขาก็มองผมกลับมาด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึกเหมือนเดิม ใบหน้าขาว ๆ ของเขาเอียงคอมองผมกับพี่อูนด้วยความสงสัยก่อนจะตอบกลับมา
“ไม่เป็ไร พี่ทำเองได้”
คำตอบของพี่ปรงเหมือนเป็การบอกผมอย่างอ้อม ๆ ว่าไม่ต้องมาเอาใจเขาก็ได้ ยังไงพี่เขาก็จะไม่ยอมใจอ่อนให้ผมเด็ดขาด ผมจึงก้มหน้าลงมองมือตัวเองด้วยความสิ้นหวัง
“น้องเขาก็อยากช่วยไง” พี่อูนพูดขึ้นบ้าง เขาพยายามช่วยผมแบบสุด ๆ เลย ผมรู้สึกขอบคุณเขามาก แต่ในทางกลับกันก็ยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ เขาไม่จำเป็ต้องมาช่วยผมเลยด้วยซ้ำ เื่มันเป็แบบนี้เพราะผมทำตัวเองแท้ ๆ
“อยากช่วย หรืออยากมาทำดีลบล้างความผด”
“มึงก็มองโลกในแง่ร้ายเกินไป”
“มึงนั่นแหละดีเกินไป ไอ้อูน กูว่ากูพูดชัดั้แ่เมื่อวานแล้วนะว่ายังไงเื่นี้กูก็ต้องบอกอาจารย์ วันนี้มึงก็ยังจะพาน้องมาให้กูด่าอีก” พี่ปรงพูดกับพี่อูนด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะเริ่มหงุดหงิดนิด ๆ
ผมทำให้เขาทะเลาะกันหรือเปล่านะ
แต่มีอีกเื่ที่ผมเพิ่งมารู้ก็คือพี่อูนรู้เื่นี้ั้แ่เมื่อวานแล้ว และเขาก็พยายามจะพูดช่วยผมด้วย ทำไมพี่อูนเขาถึงได้เป็คนดีและใจดีกับรุ่นน้องแบบนี้นะ ขนาดผมทำผิดจนมันกลายเป็เื่ใหญ่เขาก็ยังมาช่วยผมอีก
พี่อูนไม่ได้ร้อนตามพี่ปรงไปด้วย เขายังคงมีใบหน้าที่ขี้เล่นเหมือนเดิม ผมที่ได้แต่นั่งมองเขาอยู่เงียบ ๆ ตรงนี้ก็เกิดมีดอกไม้โตขึ้นมาในใจ ผมไม่เคยเป็แบบนี้กับใครมาก่อนเลย ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีคนมาทำดีด้วยนะ แต่กับพี่อูนมันต่างออกไป เขาทำดีกับผมด้วยใจที่อยากทำจริง ๆ ไม่ได้ทำเพื่อหวังว่าผมจะตอบแทนอะไรเขา
มันเลยทำให้ผมชอบเขามาก ๆ
“เื่แค่นี้เองมึง เดี๋ยวเราก็ช่วยกันปลูกใหม่ก็ได้” พี่อูนพูดกับพี่ปรงและพยายามจะโน้มนาวให้พี่ปรงคล้อยตาม ก่อนที่เขาจะหันมาทางผมและพูดขึ้นอีกรอบ “ใช่ไหมน้องทานตะวัน เดี๋ยวเราช่วยกันปลูกใหม่ก็ได้”
“ใช่ครับ! พี่ปรงอยากให้ผมช่วยอะไร ผมจะช่วยทุกอย่างเลย”
“บอกแล้วว่าไม่ต้องมาเพราะอยากจะลบล้างความผิด ยังไงพี่ก็ปล่อยน้องไปไม่ได้หรอก” พี่ปรงพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ต่างจากตอนแรกที่พูดกับพี่อูนอย่างลิบลับ หรือว่าเขาจะเริ่มใจอ่อนแล้วกันนะ
“ผมไม่ได้ทำเพราะอยากลบล้างความผิดสักหน่อย ผมทำใจมาแล้วแหละว่ายังไงเื่นี้ก็ต้องถึงหูอาจารย์ แต่ที่ผมจะมาช่วยก็เพราะผมแค่รู้สึกผิดที่แอบไปขโมยเห็ดจนทำให้พี่ต้องเดือดร้อนต่างหาก”
“…”
“ยังไงผมก็ขอโทษพี่ปรงอีกครั้งนะครับ ส่วนเื่จะให้ผมช่วยงานพี่หรือไม่ก็ตามใจพี่เลยครับ ยังไงผมก็พร้อมช่วยเสมอ” เป็ครั้งแรกที่ผมพูดกับเขาเป็ประโยคยาวขนาดนี้ และเป็ครั้งแรกที่ผมกล้าสบตาดุ ๆ นั่นได้นานเป็นาที ถึงแม้ว่าจะยังใจเต้นตึกตักด้วยความกลัวอยู่บ้าง แต่ผมก็กล้าพูดกับพี่ปรงเขามากขึ้นแล้วล่ะ
“น้องเขาก็พูดมาขนาดนี้แล้ว มึงจะยังใจร้ายได้อยู่อีกเหรอวะ” พี่อูนพูดเสริม กลายเป็ว่าตอนนี้พี่ปรงถูกกดดันไปโดยปริยายจากทั้งผมและจากพี่อูน เราทั้งสองคนต่างมองไปทางพี่ปรงจนอีกฝ่ายต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“ขอคิดดูก่อนแล้วกัน”
“จะคิดอะไรอีก ถ้ามึงไปบอกอาจารย์ว่าน้องมาขโมยเห็ด อย่างมากน้องก็แค่โดนเรียกไปตักเตือน ส่วนมึงก็จะต้องโดนด่ากับอีแค่เห็ดตัวเดียวเนี่ยนะ”
“มึงจะเป่าหูกูทำไมเนี่ยไอ้อูน”
“ก็แค่อยากให้มึงตัดสินใจดีๆ” พี่อูนพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะหันกลับมาขยิบตาให้ผมหนึ่งที ผมส่งยิ้มกลับไปให้เขาด้วยความรู้สึกขอบคุณ วันนี้พี่อูนเขาแบกผมสุด ๆ จบจากเื่นี้คงต้องซื้อขนมมากราบไหว้แล้วล่ะ
พี่ปรงเงียบไป เขาเหมือนกำลังคิดตามคำพูดของพี่อูน ร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีดำทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะตรงข้ามกับผม เขามองจ้องผมนานอยู่เป็นาที ก่อนที่เขาจะเผยยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อย
รอยยิ้มแบบนี้อีกแล้ว
“กูไม่บอกอาจารย์ก็ได้” พี่ปรงตอบกลับมาหลังจากที่เขานั่งเงียบไปนาน เขาเอาแต่มองผมจนผมต้องแกล้งหันหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาที่เ้าเล่ห์ของเขา รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพี่ปรงเป็สิ่งที่บอกผมว่าการที่สุดท้ายแล้วเขายอมใจอ่อน มันจะต้องมีเื่ไม่ดีตามมาแน่ ๆ
“…”
“น้องอยากช่วยงานพี่ใช่ไหม”
“ใช่ครับ” ผมตอบกลับไปทันทีที่พี่ปรงเอ่ยถาม แต่ก็ยังคงไม่ไว้ใจกับสายตาและรอยยิ้มแบบนั้นของเขา ถึงจะโล่งใจไปได้เื่หนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องมารับมือกับเื่อะไรอีก
“งั้นน้องต้องมาช่วยพี่ทำงานตลอดเทอมนี้”
ผมกำลังพยายามคิดในแง่ดีว่าตอนนี้พี่ปรงเขาอยู่ปีสี่แล้ว เทอมนี้ก็เป็ปีสุดท้ายแล้วด้วย เขาคงไม่ได้มีงานอะไรให้ผมไปช่วยเยอะแยกนักหรอก อาจจะแค่ไปช่วยทำนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ก็อย่างที่บอก พอเห็นเขามองผมด้วยสายตาแบบนั้นบวกกับรอยยิ้มแบบนั้นที่ผมเคยเจอมาแล้ว มันทำให้ผมไม่สามารถวางใจได้เลย
“ได้ครับ” แต่ผมก็ตอบตกลงไปในที่สุด
“ถ้าพี่เรียกเมื่อไร น้องก็ต้องมาทันที เข้าใจไหม :)”