ลืมอันใด? เจินจูหยุดชะงัก ใบหน้าเล็กมองซ้ายขวาอยู่ครั้งหนึ่ง ดวงตาที่มองไปยังกู้อู่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
สายตากู้อู่ปรากฏรอยยิ้มสายหนึ่ง จงใจทำคิ้วหลุบลง ยกกระดูกนิ้วมือขึ้นมาปิดมุมปากไอเบาๆ ไม่กี่เสียงอย่างชัดเจน หลังจากนั้นมองนางแล้วแสดงออกว่าค่อนข้างผิดหวัง “น้องสาวเจินจูวันนี้เ้าลืมเอาของขวัญให้พี่ชายหรือ?” กล่าวจบก็หันไปกวาดตามองในอ้อมอกของนางแวบหนึ่ง
“อ่า ของขวัญ? เอ่อ ของขวัญ!” เจินจูจึงคิดขึ้นได้ ครั้งก่อนตนเองแกล้งหยิบหัวไชเท้าผลิตผลของมิติช่องว่างออกมาจากอ้อมอกหนึ่งหัว หลังจากนั้นส่งให้กับกู้อู่ เป็ของขวัญที่ให้เขาไปจากการพูดไม่คิด
เขา… นี่คือทวงสิ่งของกับตนเอง? เจินจูจ้องมองตาโต ไม่อยากเชื่ออยู่เล็กน้อย แล้วมองไปยังเสื้อกันหนาวลวดลายดอกไม้ของตนเองตามสายตาของเขาอีกครั้ง ชั่วพริบตาเดียวก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ไม่มีน้ำตาออกมา นางรู้แล้ว ว่าเหตุใดเ้าหนุ่มนี่จึงหยุดรถม้าลงอย่างไร้เหตุผล ที่แท้จุดประสงค์อยู่ตรงนี้ เฮ้อ... ทำไมตนเองโง่เพียงนั้น ให้หัวไชเท้ากับเขามิใช่หาเื่ยุ่งยากให้ตนเองหรือ ตอนนี้เป็เช่นไรเล่า ขาดก็แต่มาเยี่ยมถึงหน้าบ้านแล้ว
ดีที่ เจินจูมีเตรียมการไว้แล้ว ที่บ้านเก่ายังปลูกหัวไชเท้าอีกมาก ไม่กี่วันก่อนนางทำให้น้ำแร่จิติญญาไม่เข้มข้นมากนัก แล้วแอบรดน้ำลงไปอยู่สองสามครั้ง ผลสุดท้าย เมื่อวานหวังซื่อเขี่ยออกมาหนึ่งผลตุ๋นกระดูก น้ำแกงกระดูกหนึ่งหม้อก็ไม่เหลือสักหนึ่งหยด หัวไชเท้าหวานกรอบอร่อยนัก ในใจหวังซื่อสงสัยมาตลอด ปลูกหัวไชเท้าทุกปี เหตุใดหัวไชเท้าปีนี้ค่อนข้างอร่อยเป็พิเศษ
เมื่อเจินจูคิดถึงตรงนี้ ก็ไม่อึดอัดใจแล้ว กล่าวกับกู้อู่ด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า “พี่ชายกู้อู่ วันนี้ข้าไม่ได้พกหัวไชเท้ามาด้วยน่ะ หากท่านอยากได้ของขวัญต้องไปถอนที่บ้านข้าจึงจะได้” หากเขาไปจริงๆ เช่นนั้นถอนให้เขาก็ไม่เป็ไร
กู้อู่ไม่ได้คิดอยากได้หัวไชเท้าของนางจริงๆ เพียงรู้สึกว่าท่าทีตอบโต้เด็กสาวคนนี้น่าสนใจ แต่หัวไชเท้าที่นางให้ค่อนข้างมีความพิเศษจริงๆ ราวกับช่วยอาการไอของเขาได้บ้าง อาการไอเหมือนว่าจะสั้นลงหน่อย อาการเล็กๆ น้อยๆ ดีขึ้นได้เล็กน้อย เช่นนี้ก็ทำให้ท่านหมอที่เฝ้าติดตามอาการดีใจไม่หยุด ไม่ใช่เพราะเช่นนั้นหรอกหรือ พ่อบ้านจึงซื้อหัวไชเท้าละแวกใกล้เคียงมามากมาย เขาซดน้ำแกงหัวไชเท้าไปหลายมื้อแล้ว ผลสรุปสุดท้ายทุกครั้งที่เห็นหัวไชเท้าก็จะนึกถึงเด็กสาวคนนี้ขึ้นมา
“เช่นนั้นย่อมได้ จำของขวัญไว้ก่อน รอมีเวลาพี่ชายจะไปเอาที่บ้านเ้า” กู้อู่กล่าวยิ้มๆ เห็นสีหน้าท่าทางหยุดชะงักไปเล็กน้อยบนใบหน้าของเด็กสาวอย่างไม่เกินความคาดหมายนัก จึงหมุนกายขึ้นรถม้าไปอย่างมีความสุข
รถม้ามุ่งไปข้างหน้าไม่รีบไม่ช้า ค่อยๆ ลาลับสายตาไปต่อหน้าของเจินจู นางถอนหายใจเบาๆ “เฮ้อ ในที่สุดก็ไปเสียที” เอื้อมมือทั้งคู่ออกคลึงใบหน้าที่ยิ้มเสียจนแข็งทื่อ
“เจินจู…” หูฉางกุ้ยที่ยืนอยู่ด้านข้างมองมาที่นาง บนใบหน้าประดับไว้ด้วยความกังวลใจ
“อ่า ท่านพ่อ มิต้องกังวลใจ ไม่เป็ไร กู้อู่ผู้นั้นรู้จักตอนที่ข้าไปซื้อฮวาเจียวครั้งก่อน น่าจะเป็คุณชายของร้านสมุนไพรร้านนั้น เขาพูดคุยกับข้าอยู่ครู่หนึ่ง ต่อมาข้าจึงให้หัวไชเท้าแก่เขาหนึ่งหัว ฉะนั้นเขาจึงกล่าวเช่นนั้น ฮิ ฮิ เขาล้อเล่นน่ะ บ้านเขามีเงินเพียงนี้ ไม่มาเอาหัวไชเท้าบ้านเราหรอก” เจินจูหัวเราะเสียงดัง ฮ่า...ฮ่า คลายความกังวลใจให้ท่านพ่อ
“โอ้ เป็เช่นนี้?” หูฉางกุ้ยไม่ได้ใส่ใจว่าหัวไชเท้าของเจินจูมาจากที่ใด ฟังเพียงความเห็นเช่นนั้นจึงเบาใจไม่น้อย ฝูอันถังเป็ร้านสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ชื่อเสียงโด่งดังมากนัก ท่านหมอชราที่นั่งตรวจวินิจฉัยโรคในห้องโถงล้วนแต่เป็ผู้มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งมากด้วยประสบการณ์ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจและคหบดีชนบทท้องถิ่นในเมืองส่วนใหญ่ล้วนเชิญท่านหมอร้านเขาออกไปตรวจไข้ ได้ยินมาว่าต่างถิ่นยังมีร้านสาขาอีกมากมาย การค้าขายทำเสียจนใหญ่โตค่อนข้างมาก
“ใช่แล้ว เป็เช่นนี้ ไม่มีเื่อย่างอื่น ท่านพ่อ เมื่อครู่พวกเราสิ้นเปลืองเวลาไปไม่น้อย ไม่รู้ว่าเด็กชายคนนั้นไข้ลดลงหรือยัง ท่านย่ากับท่านลุงน่าจะกังวลใจแล้ว พวกเรารีบกลับเถิด” เจินจูจูงท่านพ่อไปด้วยพูดคุยไปด้วย เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเขาที่มุ่งไปจุดจุดเดียว
“ใช่ ใช่ ควรกลับแล้ว” หูฉางกุ้ยมองสีท้องฟ้าแวบหนึ่ง แล้วจึงเพิ่มความเร็วฝีเท้า
กลับมาถึงร้านสมุนไพรเฉินจี้ หวังซื่อเกาะอยู่หน้าประตูด้วยความกระสับกระส่ายเล็กน้อยจริงๆ ด้วย เมื่อเห็นว่าพวกเขาสองคนกลับมาอย่างปลอดภัยก็ผ่อนคลายลมหายใจ แต่ทันทีหลังจากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นอีก เจินจูเดินมาข้างหน้าดึงมือของนางขึ้น ยิ้มแล้วกล่าว “ท่านย่า เหตุใดขมวดคิ้วเป็ประจำเลยเล่า? พวกข้าไม่ใช่ว่ากลับมาแล้วหรือ”
หวังซื่อตบมือของเจินจูเบาๆ ถอนใจเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยเสียงกลุ้มใจ “ไม่สนใจเื่พวกเ้า เช่นนั้นย่าก็ไม่ดีแล้ว เมื่อครู่ท่านหมอบอกว่าไข้ของเด็กชายผู้นั้นลดลงแล้ว เก็บชีวิตกลับมาได้ แต่าแตามร่างกายนั้นต้องพักผ่อนให้เต็มที่เดือนสองเดือนจึงจะหาย ขาที่หักข้างนั้นของเขายังพูดลำบาก ยืดเวลามานานเกินไป ท่านหมอกล่าวว่าอาจจะพิการแล้ว”
คิดถึงคำที่ท่านหมอกล่าวเมื่อครู่หวังซื่อก็ถอนหายใจ นางปาดน้ำตาที่หางตาเบาๆ กล่าวด้วยความรู้สึกตกต่ำ “ย่าขอโทษพวกเ้า วันนี้เพิ่งมีความหวังเล็กน้อยก็มาเจอเื่เช่นนี้เข้า ท่านหมอบอกต่อไปยังต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกมากนัก เงินที่ขายกระต่ายครั้งนี้เกรงว่าก็ไม่พอ เฮ้อ... เป็ข้าที่ไม่ดี ล้วนเป็ข้าที่ไม่ดี”
หวังซื่อทุบตีหน้าอกตนเองเบาๆ แล้วกล่าวโทษตนเองไม่หยุด เหตุใดต้องให้นางพบเจอกับเื่เช่นนี้? ตอนเริ่มช่วยเด็กคนนี้ หวังซื่อมิได้คิดถึงสภาพอาการาเ็ของเขาว่าจะรุนแรงมาก ค่าตรวจรักษาค่าหยูกยารวมกับค่าพักฟื้นไม่กี่เดือน อย่างน้อยต้องใช้จ่ายเงินหลายเหลียงนัก นางอยากช่วยคน แต่ไม่สามารถให้คนทั้งบ้านมาเติมเต็มหลุมค่าใช้จ่ายนี้ได้ หวังซื่อขัดแย้งอยู่ในใจ
“ท่านแม่ ท่านอย่าเป็เช่นนี้” หูฉางหลินที่อยู่ข้างหลังเห็นว่าหวังซื่อทุบตีตนเอง จึงรีบจับมือของนางไว้
สภาพจิตใจหวังซื่อตกต่ำ เจินจูตบหลังของนางเบาๆ อย่างปลอบโยน กล่าวอย่างนุ่มนวล “ท่านย่า ไม่เป็ไร มิใช่แค่ค่าใช้จ่ายเล็กน้อยเองหรือ ขอเพียงขยันตั้งใจทำ เื่หาเงินนี้ก็ไม่มีอะไรยาก”
หวังซื่อหยุดไปพักหนึ่ง มองเจินจูอย่างแปลกใจ กล่าวเสียงสั่นเทาถาม “เจินจู เ้าพูดจริงหรือ? เ้ามีวิธีหาเงิน?”
เจินจูคุยโวโอ้อวดอย่างขาดความมั่นใจในตัวเองเล็กน้อย หัวเราะ “ฮิ ฮิ” ไม่สนใจแล้ว เรือมาถึงท่าแล้วย่อมต้องปล่อยเลยตามเลย ปลอบขวัญหวังซื่อที่ท้อใจก่อนแล้วค่อยว่ากัน หัวเราะน้อยๆ กล่าว “จริงสิ ท่านย่า ไม่ต้องรีบร้อน เื่นี้กลับไปแล้วพวกเราค่อยคุย หาทางออกให้เื่ตรงหน้าก่อน”
ความสงบสุขุมของเจินจูแพร่ไปสู่หวังซื่อ นางควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดใบหน้า ค่อนข้างอายเป็อย่างมาก “ย่าอายุมากเช่นนี้แล้วใช้ชีวิตมาเสียเปล่า ยังสู้ความสุขุมของเจินจูพวกเรามิได้เลย”
หวังซื่อเป็คนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีตลอดมา ยั้งสติไม่อยู่เช่นนี้น้อยมาก หูฉางหลินกับหูฉางกุ้ยมองนางอย่างทุกข์ระทม นางจึงรีบกางยิ้มบนใบหน้า “ไม่เป็ไร ไม่ต้องกังวล แม่คิดเื่อื่นไปชั่วขณะ”
“ท่านแม่ ท่านอย่ากังวลมากนัก มีเื่อันใดพวกเราก็ปรึกษากัน ช่วยคนเป็เื่ดี พวกเรารับความลำบากอีกสักหน่อยก็ไม่เป็ไร กลัวอันใดกัน” หูฉางหลินมองโลกในแง่ดี ขอเพียงไม่ยากจนขนาดไม่มีข้าวสารกรอกหม้อก็ไม่กลัว ไม่มีเงินยังสามารถค่อยๆ สะสมได้
หูฉางกุ้ยตบมือมารดาเบาๆ ปลอบโยนอย่างไร้เสียง
หวังซื่ออมยิ้มมองบุตรชายทั้งสองคน นางลำบากมาครึ่งค่อนชีวิต ไม่ได้ขอให้เหล่าบุตรชายมีอนาคตเป็ใหญ่เป็โต ขอแค่ครอบครัวของพวกเขารักใคร่ปรองดองลูกหลานกตัญญูก็เป็การปลอบโยนที่ใหญ่ที่สุดแล้ว
“ท่านย่า เช่นนั้นตอนนี้เป็อย่างไร? เขาต้องพักอยู่ที่นี่ต่อหรือกลับไปกับพวกเรา?” เจินจูชี้ไปทางเด็กชายแล้วกล่าวถาม
หวังซื่อเม้มปาก กล่าวเสียงถอนใจ “ร้านสมุนไพรที่ไหนจะให้เขาพักอยู่ที่นี่ได้ตลอด ท่านหมอให้ลูกจ้างไปต้มยาอีกเทียบ ทานยาแล้วก็ให้พวกเราหาเกวียนมาพาเขาออกไป”
เจินจูไตร่ตรองเล็กน้อย พยักหน้าแล้วกล่าว “เช่นนั้นก็ได้ ท่านลุง ท่านไปประตูเมืองเช่าเกวียนล่อ พวกเราข้าวของมากมาย หาเกวียนที่พอเหมาะเสียหน่อย เกวียนวัวก็ได้ เขาาเ็อย่างหนักไม่สามารถเดินได้เร็วนัก อีกเดี๋ยวยกเขาขึ้นเกวียนแล้วพากลับไป ในเมื่อช่วยคนแล้ว ก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด”
“ได้ เช่นนั้นข้าไปประตูเมืองเช่าเกวียน” หูฉางหลินไม่กล่าวอะไรมากแล้วพยักหน้าออกจากประตูไป
ยามนี้ลูกจ้างเดินประคองถ้วยยาเข้ามาพอดี หวังซื่อรับมาเตรียมป้อนยาให้เขา เจินจูลังเลอยู่เล็กน้อย ชั่งเถิด าแหนักเช่นนั้น หากนางเติมน้ำแร่จิติญญาลงไปบ่อยๆ จะกลายเป็หายได้อย่างรวดเร็ว ยังไม่ดึงดูให้คนสงสัยดีกว่า ค่อยๆ บำรุงแล้วกัน
“ท่านย่า เขาฟื้นมาบ้างหรือยัง?”
“ฟื้นมาพักหนึ่ง เลยถือโอกาสนั้นป้อนโจ๊กเขาไปครึ่งถ้วย มิเช่นนั้นท้องที่หิวไหนเลยจะทนาแที่หนักหนาเช่นนี้ไหว”
“เช่นนั้นเขาจำคนได้หรือไม่?”
“ไม่เลย แค่ดวงตากึ่งหลับกึ่งตื่น ท่านหมอบอกว่ายังไม่ค่อยรู้สึกตัวดี”
“ท่านพูดคุยกับเขาแล้วเขาไม่ตอบโต้?”
“อื้ม เพียงกะพริบตาไม่กี่ที แต่ไม่ได้พูดจา”
“โอ้…”
เจินจูมองเด็กชายแวบหนึ่งทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่
“เช่นนั้นท่านลุงกับท่านคุยกันเขาได้ยินหรือไม่?”
“เอ่อ นี่ก็ไม่รู้ได้ หลังป้อนโจ๊กเสร็จเขาก็ปิดเปลือกตาไป ไม่รู้ว่าหมดสติหรือนอนหลับ”
“อืม…เช่นนี้หรือ” ดูท่าเ้าหนุ่มนี่น่าจะได้ยินแล้ว
เช่นนี้ก็ดี ให้เขาเข้าใจความรุนแรงและอาการาเ็ของตนให้ชัดเจน บวกกับค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ครอบครัวนางใช้จ่ายเพื่อช่วยเขา ต่อไปาแของเขาหายดีแล้ว จะได้ไม่ลืมบุญคุณของครอบครัวนางได้ง่ายดายนัก
เจินจูไม่ได้คิดให้เขาทดแทนบุญคุณกลับ แต่เพื่อป้องกันการเกิดละครฉากน้ำเน่าขึ้นเล็กน้อย เช่นว่าเขาอาจเป็ลูกของตระกูลใหญ่บางตระกูล และด้วยสาเหตุบางประการทำให้เขาต้องร่อนเร่มาถึงที่นี่ ภายภาคหน้าพอโตแล้วอาจจะกลับมาแก้แค้นอะไรแบบนั้น นางไม่ขอให้เขาจดจำบุญคุณไว้ แต่หวังว่าจะไม่ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นและพัวพันครอบครัวพวกนางไปด้วยก็พอ นี่คือพล็อตละครที่เจินจูสร้างขึ้นจากวัสดุรองเท้าคุณภาพดีแต่ตอนนี้ทั้งเก่าและชำรุดแล้วคู่นั้น แน่นอนว่าอาจจะเป็รองเท้าที่เขาเก็บมาได้ เอาเถิด ดูละครมากไปหน่อย อภัยให้นางที่จินตนาการไปเรื่อยด้วย
ไม่นานนัก หูฉางหลินที่นั่งอยู่บนเกวียนวัวเช่าก็เข้ามาอย่างเชื่องช้า หวังซื่อที่มองอยู่ จึงไปคิดบัญชีจ่ายค่าหยูกยา ท่านหมอชรารู้ว่าในครอบครัวหวังซื่อมิได้ร่ำรวยมั่งคั่ง เพียงรักษาตัวเด็กชายร่อนเร่คนนี้ให้พ้นจากอันตรายด้วยความใจดี จึงไม่คิดเงินค่าตรวจ รับไว้เพียงค่ายาต้ม ค่ายาขี้ผึ้งที่ใช้ทาขา แล้วยังมีค่าใช้จ่ายเครื่องปรุงยาจีนสิบวันสามสิบห่อ แค่สิ่งเหล่านี้ก็จ่ายเงินไปแล้วหนึ่งเหลียงกว่า หลี่ซื่อจ่ายเงินด้วยมือที่สั่นระริก กัดฟันส่งเงินออกไป เ็ปใจเสียจนใบหน้าซีดขาวไปหมด
วันนี้เป็วันที่หวังซื่อต้องเผชิญกับความระทมทุกข์แปรปรวนขึ้นลงนัก จากความร่าเริงเบิกบานที่ได้รับเงินหลังขายกระต่ายเสร็จ สู่ความทุกข์ระทมหดหู่ใจที่ตอนนี้เงินยังไม่ทันห่อหุ้มให้ร้อนก็จ่ายออกไปเกลี้ยงแล้ว ความรู้สึกภายในใจยากที่จะใช้คำพูดแสดงออกมาได้
เจินจูเห็นว่าหวังซื่อเป็เช่นนี้ จึงเร่งรัดเสียงดังขึ้นมาทันที “ท่านย่า เร็วเข้า เกวียนวัวเดินได้ช้านัก พวกเรายกเขาขึ้นไปแล้วค่อยใส่ของเถิด อันนั้น ท่านปู่หมอ ท่านเอาผ้าห่มผืนนี้ให้ข้ายืมใช้สักพักเถิด เดิมทีพี่ชายคนนี้าเ็รุนแรงนัก หากเขาต้องความหนาวอีกครั้ง อาจช่วยชีวิตอย่างเสียเปล่าแน่ พวกข้าสกุลหูหมู่บ้านวั้งหลิน ครั้งหน้ามาตลาดจะส่งคืนให้ท่าน ได้หรือไม่?”
ท่านหมอชราถูกเจินจูเรียกขานอย่างน่ารักเสียจนต้องยิ้มออกมา จึงตอบตกลงอย่างสบายๆ
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงร่วมแรงร่วมใจกันยกเด็กชายขึ้นไปวางราบบนเกวียนวัว แล้วค่อยเอาผ้าและตะกร้าไผ่สานใส่เข้าไป บอกลาท่านหมอแล้วขึ้นนั่งบนเกวียนวัวออกจากเมืองไปอย่างเชื่องช้า