เกวียนวัวออกจากประตูเมืองอย่างเอื่อยเฉื่อยไม่โคลงเคลง ชายชราที่ขับเกวียนนั่งอยู่บนแผ่นกระดานเกวียน สะบัดแส้ ร้อง “ย่า ย่า” มาตลอดทางเพื่อเร่งเกวียนวัวให้เดินด้วยความสงบ
หวังซื่อกลัวว่าศีรษะของเด็กชายจะกระแทกจากการสั่นไหว จึงเอาถุงที่บรรจุธัญพืชหนึ่งถุงมาปูรองไว้ ให้เขานอนต่างหมอน
“ท่านย่า จะเอาเขาไปพักรักษาอาการาเ็ที่ใดหรือ?” เจินจูเข้าใกล้หวังซื่อแล้วถามเสียงเบา
“แน่นอนว่าไปกับย่าที่บ้าน พวกเ้าเลี้ยงกระต่ายก็ยุ่งพอแล้วจะแบกภาระไปเพิ่มให้พวกเ้าได้ที่ไหนกันเล่า” หวังซื่อรีบตอบทันที แต่เดิมนางก็ช่วยอะไรไม่ได้นัก จึงไม่สามารถเพิ่มความยุ่งยากให้กับพวกเด็กๆ ได้อีก
เจินจูคิด แล้วจึงเปิดปากกล่าวอย่างไม่สมัครใจเล็กน้อย “ท่านย่า เอาเขาไว้ที่บ้านข้าดีหรือไม่ ทางท่านย่าที่นั่นคนเยอะนัก การเก็บเด็กชายคนหนึ่งที่ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกลับไปพักฟื้นรักษาอาการาเ็ บรรดาโผเหนียง [1] ที่ช่างพูดเ่าั้ยังไม่รู้จะเหน็บแนมท่านอย่างไร อีกทั้งตอนนี้ป้าสะใภ้ยังต้องให้ท่านดูแลอีก”
“นี่…” หวังซื่อลังเลอยู่พักหนึ่ง ที่จริงแล้ว การช่วยเด็กหนึ่งคนอย่างไร้เหตุผลกลับมาเหมือนนางเช่นนี้ แล้วยังต้องดูแลอีกสองสามเดือน ในหมู่บ้านไม่เพียงแต่จะมีคำนินทาเท่านั้น แม้กระทั่งข่าวซุบซิบคาดเดาเจตนาไม่ดียิ่งมีมากมาย นางใช้ชีวิตในหมู่บ้านมาค่อนชีวิต เข้าใจปฏิกิริยาของชาวไร่ชาวสวนได้ชัดเจนนัก เช่นบุตรชายคนที่สองแต่งลูกสะใภ้่สองปีแรก ครอบครัวนางกลายเป็หัวข้อสนทนายามว่างของเหล่าชาวไร่ชาวสวนอยู่บ่อยครั้ง ถูกกล่าวคาดเดาไม่หยุดหย่อน ซ้ำไปซ้ำมา ด้วยเหตุนี้พวกเขาสองสามีภรรยาเฒ่าจึงแยกบุตรคนที่สองออกไปเมื่อนานมาแล้ว หลังจากนั้นก็ปลูกบ้านขึ้นที่ท้ายหมู่บ้าน เพื่ออยู่ให้ห่างไกลข่าวซุบซิบนินทา
สีหน้าหวังซื่อหม่นมัว เช่นนี้ดูเหมือนจะเอาเด็กชายไปไว้ในบ้านไม่ได้จริงๆ สามคนกลายเป็เสือ [2] ผู้ใดจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วจะกล่าวจนกลายเป็เช่นไร
เมื่อสังเกตเห็นความหดหู่ของหวังซื่อ เจินจูจึงยิ้มแล้วกล่าวเบาๆ “ท่านย่า เอาไว้บ้านข้าก็ได้ พอดีเลย ข้าจะย้ายไปเตียงแล้ว ห้องพักข้าให้เขานอนเถิด กลัวแต่เขาจะหนาว ท่านพ่อ บ้านเรามีถ่านหรือไม่?”
“มีสิ ในบ้านมีอีกเล็กน้อย ไม่พอค่อยเผา” หูฉางกุ้ยกล่าว หมู่บ้านวั้งหลินใกลู้เา บรรดาชาวไร่ชาวนาส่วนใหญ่ต่างก็เผาถ่านให้ตนเองได้
“เช่นนั้นก็ได้แล้ว ในห้องพักวางกระถางไฟไว้ก็ไม่หนาวแล้ว” บนใบหน้าเจินจูมีรอยยิ้มล้ำลึก ที่จริงในใจกลัดกลุ้มอยู่พักหนึ่ง เดิมทีตัวนางเองคิดว่าจะทำกระถางไฟ ใช้ข้ออ้างนี้ไม่ไปนอนเตียงอิฐกับพวกเขา ฮือ...ฮือ ตอนนี้แผนการล่มแล้ว นางคิดในใจจึงถลึงตาไปที่เด็กชายใบหน้าเขียวช้ำ
“อื้ม เพิ่มความลำบากพวกเ้าแล้ว ย่าเกรงใจนัก ที่บ้านมีกระต่ายฝูงหนึ่งต้องเลี้ยง แล้วยังต้องดูแลเขาอีก นี่ นี่ไม่ได้” หวังซื่อยังคงลังเล
“ท่านย่า ดูท่านสิกล่าวอันใด เพิ่มความลำบากอย่างไรกัน หน้าหนาวนี้เดิมทีงานไม่เยอะอยู่แล้ว ดูแลเขาไม่มีปัญหา อีกอย่าง บ้านเราห่างกันไม่ไกลเลย หากท่านไม่วางใจ มาเยี่ยมเขาทุกวันก็ได้” เจินจูเกลี้ยกล่อมต่อ ไม่ใช่ว่านางเต็มใจหาเื่ลำบากใส่ตัว แต่ว่าเด็กชายอาศัยอยู่บ้านตนจะยิ่งปลอดภัยกว่านัก หากว่าเป็ไข้อีกครั้งหรือาแติดเชื้ออะไรต่ออะไร นางยังใช้น้ำแร่จิติญญาของมิติช่องว่างช่วยเขาได้เล็กน้อย คนก็ช่วยมาแล้ว หากว่าระหว่างนี้เกิดเื่ไม่คาดคิดอะไรขึ้นอีก เช่นนั้นก็จัดการอะไรไม่ได้
เกวียนวัวโคลงเคลงไปมาอืดๆ เอื่อยๆ ตลอดทาง ในที่สุดก็ถึงปากทางเข้าหมู่บ้านก่อนฟ้ามืด ยามนี้ อากาศหนาวเย็นมากยิ่งขึ้น สี่คนนั่งอยู่บนเกวียนวัวจึงหนาวจนเกินจะทน โชคดีที่ระหว่างเดินทางไม่เจอคนรู้จัก ชาวไร่ชาวนาที่ไปตลาดกลับบ้านกันไปตั้งนานแล้ว ไม่เหมือนพวกเขาที่มีเื่จึงล่าช้าจนเย็นเช่นนี้ ในที่สุดหวังซื่อก็ยอมรับความเห็นของเจินจู ให้เด็กชายพักฟื้นอยู่บ้านของนาง
ประคองเด็กชายขึ้นไว้บนหลังของหูฉางหลินด้วยความระมัดระวัง หลังจากนั้นต่างคนต่างแบกตะกร้าไผ่สานขึ้นหลังอย่างเรียบร้อย พอหวังซื่อจ่ายเงินค่าเกวียนเสร็จ สี่คนจึงเดินเข้าปากทางหมู่บ้านไปด้วยความเร็ว จากนั้นเลี้ยวโค้งไปทางลัดเส้นเล็กอย่างรีบเร่งตลอดเส้นทาง
ยังไม่ถึงบ้าน เห็นเงาร่างของหลี่ซื่อขยับเดินไปมาอยู่ตรงประตูบ้านแต่ไกล มองเห็นความกังวลบนใบหน้าของนางได้ไม่ยาก ผ่านแสงสลัวของไฟในบ้าน ตอนนางเห็นพวกเขาก็ระงับความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ ดึงประตูเปิดต้อนรับให้เข้ามา เมื่อเห็นว่าบนหลังของหูฉางหลินแบกคนมาสีหน้ากลับเปลี่ยนทันที
“ท่านแม่ ไม่มีอะไร พวกเราเข้าบ้านแล้วค่อยคุย” เจินจูจูงหวังซื่อเข้าไปในห้องของตนเอง ภายในห้องมืดตึ๊ดตื๋อ “ท่านแม่ ท่านไปเอาตะเกียงน้ำมันมา ข้าเก็บกวาดก่อนเสียหน่อย เอาคนวางลงก่อนค่อยคุยกัน”
หลี่ซื่ออดกลั้นความงงงวยในใจ แล้วรีบวิ่งไปถึงห้องหลักหยิบตะเกียงน้ำมันมาทันที ผิงอันเองก็ตามมาด้วย เห็นสถานการณ์เช่นนี้เข้าก็ใ เจินจูรีบเก็บกวาดเสื้อผ้าข้างเตียงไม่กี่ชิ้นที่วางอยู่อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นตบลงบนขอบเตียงเบาๆ “ท่านลุง วางคนลงมาก่อนเถิด”
“ได้” กล่าวแล้วเข้ามาชิดขอบเตียงถือโอกาสวางคนลง
ค่อยๆ นำคนเคลื่อนย้ายจัดตำแหน่งให้ดีแล้วคลุมผ้าห่มให้เสร็จสรรพ ในที่สุดสี่คนก็ผ่อนลมหายใจ เสียงอ่อนวัยผิงอันดังขึ้น “ท่านย่า เหตุใดพวกท่านเพิ่งจะกลับเล่า พี่รองล้วนมาหาเสียตั้งหลายครั้งแล้ว น่าจะกระวนกระวายใจนัก”
“ท่านย่า ท่านลุง พวกท่านกลับไปก่อนเถิด พวกท่านปู่น่าจะร้อนใจแล้ว ท่านย่า เอาตามที่พวกเราคุยกันก็พอ” เจินจูเตือน
“อื้ม เสียเวลามานานมากแล้วจริงๆ รู้แล้ว เจินจู เช่นนั้นเด็กนี่ก็รบกวนพวกเ้าแล้ว อย่าลืมต้มยาหนึ่งเทียบให้เย็นนี้ด้วย พรุ่งนี้เช้าย่าค่อยมานะ” หวังซื่อร้อนใจ เย็นขนาดนี้แล้วยังไม่กลับไป ที่บ้านย่อมต้องร้อนใจเป็แน่
“ท่านย่า ท่านวางใจ ข้าทราบว่าต้องทำอย่างไร” เจินจูยิ้ม
“เช่นนั้นพวกข้าไปก่อน หรงเหนียง ลำบากเ้าช่วยดูแลเสียหน่อย เื่ราวรายละเอียดให้เจินจูเล่าให้เ้าฟัง พวกข้ากลับก่อน” กล่าวจบ หวังซื่อและฉางหลินสองแม่ลูกรีบเดินพุ่งออกไป
“ท่านพี่ เหตุใดเขาเป็เช่นนี้?” เด็กชายที่ใบหน้าได้รับาเ็อย่างรุนแรงบนเตียงทำให้เขาประหลาดใจยิ่งนัก
“เขาน่ะ ถูกคนเลวทุบตี” เจินจูถือโอกาสบอกเื่ราวที่เกิดขึ้นแก่พวกเขา แล้วตักเตือนผิงอันว่าอย่าพูดข้างนอก เพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาท
ผิงอันพยักหน้าอย่างเข้าใจ “พี่ชายคนนี้น่าสงสารนัก เขาไม่มีท่านพ่อท่านแม่หรือ?”
“อืม อันนี้ไม่รู้ได้ รอให้เขาฟื้นแล้ว เ้าก็ถามเขาได้” เ้าหนุ่มนี่นอนมาครึ่งวันแล้วยังไม่ฟื้น เจินจูไม่แน่ชัดนักว่าเขาแกลังหลับหรือไม่ แต่... มองอาการาเ็ทั่วร่างกายนั่นแล้ว น่าจะไม่ใช่คนโเี้เ้าเล่ห์เพทุบายกระมัง หากนิสัยเป็เช่นนั้น จะทำตนเองให้กลายเป็ลักษณะเช่นนี้ได้อย่างไร
หลี่ซื่อมองเด็กชายอย่างเปิดเผยด้วยความสงสาร มองเปรียบเทียบว่าโตกว่าผิงอันไม่มาก กลับต้องทนรับชีวิตลำบากร่อนเร่ไปทั่วและยังโดนข่มเหงรังแกเช่นนี้ นางตบเจินจูเบาๆ แล้วไปยังตะกร้าหาเครื่องปรุงยาจีนจนเจอ หยิบขึ้นมาหนึ่งห่อหันไปทางนางบอกใบ้เล็กน้อย
“อื้ม นี่คือยาของเขา หนึ่งวันสามครั้ง น้ำสามถ้วยต้มเหลือน้ำหนึ่งถ้วยก็ได้แล้ว” บอกแก่หลี่ซื่อตามที่ท่านหมอกำชับ
หลี่ซื่อฟังแล้ว จึงรีบถือหนึ่งห่อนำไปต้มยา เพิ่งจะเดินมาถึงประตูก็นึกขึ้นได้ว่าพวกเขายังไม่ได้ทานข้าว จึงรีบเรียกพวกเขาไปทานข้าวเย็นก่อน
เจินจูเก็บกวาดเพียงเสื้อผ้าที่มีไม่กี่ชิ้นของนาง แล้วใส่เข้าไปในตู้เสื้อผ้าเก่าของห้องฝั่งตะวันออก มอบที่นอนให้คนอื่นไป เห็นได้ชัดว่าที่บ้านผ้าห่มมีไม่พอใช้ ยามค่ำนางยังต้องใช้ผ้าห่มผืนเดียวกับผิงอันห่อตัวอีก เฮ้อ... โชคดีนัก ผิงอันยังเล็ก คิดเสียว่ามีหลานชายนอนด้วยแล้วกัน เมื่อก่อน นางช่วยพี่สาวเลี้ยงลูกมาไม่น้อย บางครั้งปิดเทอมก็ไปรับมาอยู่ด้วยสองวัน ดูแลอะไรต่างๆ เด็กน้อย สำหรับนางแล้วไม่ใช่เื่ยาก
หลังจากอาหารมื้อเย็นผ่านไป หลี่ซื่อจุดตะเกียงน้ำมันขึ้นอีกหนึ่งดวง ที่บ้านมีคนป่วยต้องดูแล ยามค่ำคืนจุดตะเกียงมากขึ้นหนึ่งดวงจึงจำเป็นัก
เจินจูถือตะเกียงตามอยู่เื้ัหลี่ซื่อเข้าไปภายในห้อง ห้องมืดสนิทถูกตะเกียงน้ำมันสีคล้ำออกเหลืองขับเสียจนมืดสลัวๆ หลี่ซื่อเอาถ้วยวางไว้บนโต๊ะ หันไปทางเจินจูทำท่าทางมือเป็รูปร่างถ้วย แล้วก็ออกไป
เอาตะเกียงวางลง แล้วนั่งที่ริมเตียง เจินจูเริ่มปลุกเด็กชายให้ตื่น “นี่ นี่ เ้าควรฟื้นได้แล้ว ลุกขึ้นมาทานอะไรเสียหน่อย ควรดื่มยาได้แล้ว รีบฟื้นเถิด” ในปากร้องเรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ได้เรียงลำดับ มือก็ตบบ่าเขาเบาๆ
สักครู่หนึ่ง ในที่สุดเด็กชายก็เปิดเปลือกตาขึ้น แต่กลับไม่ส่งเสียงออกมา ดวงตาเพียงหันมายังทิศทางของนางแล้วเปลี่ยนทิศทางไป ดวงตาข้างหนึ่งของเขาถูกตีเสียจนบวมแดงอย่างยิ่ง ทำได้เพียงหรี่ครึ่งหนึ่ง อีกข้างยังนับว่าไม่บุบสลาย แค่ถลอกเป็แผลที่หางตา
“เ้าฟื้นแล้ว มา ดื่มน้ำสักนิดก่อนเถิด” เจินจูไม่ได้บีบบังคับให้เขาพูด บางคนดวงชะตายิ่งแย่ ความหยิ่งในศักดิ์ศรียิ่งมาก ไม่มีเหตุผล เจินจูรู้สึกว่าเขาเป็คนเช่นนี้ คนเช่นนี้ใช้จิตใจปกติดูแลก็พอ ไม่จำเป็ต้องสงสารเขา
รองหัวสูงให้เขาเบาๆ แล้วหยิบเอาน้ำอุ่นขึ้นมา ป้อนให้เขาทีละช้อนๆ เด็กชายไม่ได้ขัดขืน แม้มุมปากจะถูกตีไม่เบา แต่ยังคงเปิดปิดปากให้ความร่วมมือเป็อย่างดี
ป้อนน้ำครึ่งถ้วยเสร็จ ก็เริ่มป้อนโจ๊กอีกครั้ง หลี่ซื่อตั้งใจสับเนื้อต้มโจ๊กโดยเฉพาะ โจ๊กร้อนเล็กน้อย เจินจูเป่าแล้วจึงค่อยๆ ป้อนเข้าไปในปาก เป็เช่นนี้ ป้อนโจ๊กเสร็จก็ป้อนยาอีกโดยไม่พูดไม่จาอะไรออกมา
สุดท้าย สีหน้าของเด็กชายมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เขาไตร่ตรองอยู่นานในที่สุดก็เปิดปาก “เ้า บ้านเ้ามีเ้าคนเดียว?”
เสียงแหบทุ้มต่ำ เขาฟื้นนานแล้ว ก็เห็นนางทำนู่นทำนี่อยู่คนเดียว
เจินจูกลอกตาใส่เขาหนึ่งที จะกล่าวอย่างไรดี หากนางอยู่คนเดียวก็เป็เด็กสาวกำพร้า? นางหน้าตาหวานน่ารักเช่นนี้ พอมองแล้วก็น่าจะรู้ว่าครอบครัวสุขสันต์ บิดรมารดาแข็งแรงนัก มิน่าเล่าจึงได้ถูกตี เ้าหนุ่มนี่พูดจาให้คนไม่ชอบนัก เจินจูตำหนิอยู่ในใจพักหนึ่ง
“พวกเขาต่างก็นอนกันหมดแล้ว เ้าอยากทำอันใด?” เจินจูมองเขาอย่างสงสัยแวบหนึ่ง
เด็กชายหยุดไปพักหนึ่ง คำพูดมาอยู่ริมปากแล้วกลับไม่พูด ตอนกลางวันเขาดื่มยาไปสองถ้วย นี่เพิ่งฟื้นมาก็ดื่มทั้งน้ำดื่มทั้งยา เขารู้สึกตนเองอั้นเอาไว้เสียจนท้องจะแตกแล้ว แต่ตรงหน้าเป็เด็กสาวคนหนึ่ง เขาไม่สามารถหันไปกล่าวกับนางได้ ด้วยเหตุนี้ ใบหน้าที่อมเขียวค่อยๆ ข่มเอาไว้เสียจนแดงขึ้นมา
เจินจูเม้มปากขำ จะไม่เข้าใจว่าเขาอยากทำอันได้หรือ นางแค่อยากเย้าเขาเล่นเสียหน่อย กดรอยยิ้มที่มุมปาก เรียกเ้าว่าเ้าเด็กจอมเสแสร้งแล้วกัน
“เ้ารอเดี๋ยว ข้าจะไปเรียกท่านพ่อมา” กล่าวจบจึงเก็บชามและตะเกียบบนโต๊ะเดินออกไป
อันที่จริงแล้วเมื่อครู่หลี่ซื่อกำลังหากระโถนอยู่ โยนไว้ในห้องฝั่งตะวันตกชั่วครู่ชั่วยามก็ยังหาไม่เจอ ยามนี้เพิ่งหาออกมาได้จึงเตรียมหยิบออกไป “ท่านแม่ ท่านวางไว้ให้ท่านพ่อเอาเข้าไปเถิด เด็กหนุ่มนั่นฟื้นแล้ว โจ๊กกับยาข้าล้วนป้อนเรียบร้อยแล้ว ท่านพ่อ ท่านไปประคองเขาขึ้นมาปลดทุกข์เถิด จัดการเสร็จแล้วก็ให้เขานอนหลับได้เลย ตอนกลับมาก็ดับตะเกียงด้วยเล่า”
เจินจูสรุปเสร็จ จึงคิดจัดการปัญหาล้างหน้าบ้วนปากของตนเอง คืนนี้เป็ครั้งแรกที่นอนบนเตียงอิฐ นางตัดสินใจนอนริมสุด ให้ผิงอันนอนตรงกลาง
เมื่อหูฉางกุ้ยขานรับกลับมา เจินจูมองผิงอันแล้วถาม “ผิงอัน เ้าล้างเท้าหรือยัง?”
“ล้างแล้ว ท่านพี่ ท่านดู” ผิงอันยื่นเท้าน้อยขาวๆ สองข้างออกมาจากผ้าห่ม
“อืม เช่นนั้นเ้าบ้วนปากหรือยัง?” เจินจูถามต่อ
“…เอ่อ ยัง” ผิงอันตอบตามตรง
“เช่นนั้นมานี่ ไปบ้วนปากด้วยกันกับข้า” เจินจูขมวดคิ้วชายตามองเขาแวบหนึ่ง
“โอ้” ผิงอันลงจากเตียงอย่างเชื่อฟังภายใต้ความน่าเกรงขามของพี่สาว
เชิงอรรถ
[1] โผเหนียง หมายถึง หญิงสาวที่แต่งงานแล้ว ใช้เรียกกันทั่วไป ครอบคลุมกว้างกว่าคำว่าฟู่เหริน ฟู่เหรินจะเป็หนึ่งในความหมายของโผเหนียง ซึ่งมีความหมายว่าผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเช่นกัน
[2] สามคนกลายเป็เสือ หมายถึง คนพูดมากๆ จากข่าวลือเป็ข่าวจริง