ยามที่หลัวจิ่งเปิดเปลือกตาขึ้น ท้องฟ้าก็สว่างมากแล้ว เมื่อวานยามค่ำเขายากที่จะทนกับความเ็ปไปทั่วทั้งตัว อาการาเ็ที่ขาซ้ายยิ่งบวมปวดสุดที่จะทนได้ กัดฟันสู้อดทนมาตลอด เจ็บเสียจนน้ำตาไหลรินในค่ำคืนที่มืดตึ๊ดตื๋อ
เดิมทีคิดว่าพอตกกลางคืนจะเจ็บจนนอนไม่หลับเป็แน่ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะนอนอยู่ในห้องเล็กๆ ที่รกและไม่คุ้นเคย ดมกลิ่นหอมกรุ่นจางๆ ที่เหมือนมีและเหมือนไม่มีในผ้าห่มที่ห่อคลุม ค่อยๆ ลืมความเ็ปแล้วจมดิ่งลงสู่ห้วงความฝันไป
ที่ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อเลยคือ เมื่อนอนหลับไปแล้วรับรู้ถึงความเ็ปทั่วร่างกายไม่ได้เลย กลับง่วงนอนอย่างหนักหน่วง อาจเพราะมีที่ให้ซุกหัวนอนชั่วคราว จึงทำให้เขารู้สึกปลอดภัยไร้กังวล
นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้นอนหลับแบบมั่นคงปลอดภัยสักที? หลัวจิ่งจิตใจห่อเหี่ยวเล็กน้อย
เื่ราวที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้เพิ่งจะสามเดือนกว่าเท่านั้น เื่ราวที่พบเจอใน่เวลาสั้นๆ นี้ ทำให้เขาที่อายุยังน้อย ในที่สุดก็ได้กระจ่างแจ้งว่า อะไรที่เรียกว่าไร้น้ำใจต่อกันและจิตใจคนไม่ได้ดีเหมือนเช่นอดีต
นอนอยู่บนเตียงที่อบอุ่น ความรู้สึกนึกคิดหลัวจิ่งไม่เข้มแข็งเล็กน้อย ในภวังค์เขานึกถึงเสียงอบอุ่นของมารดาที่เรียกะโให้เขาตื่นนอน “ยู่เซิง ยู่เซิง เ้าตัวี้เี ตื่นได้แล้ว”
น้ำตาคลอเต็มเบ้าร่วงหล่นลงจากหางตา หลัวจิ่งกัดฟันเรียกะโเบาๆ ด้วยความสั่นเทา “ท่านแม่ ท่านแม่” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนแรงและอ้างว้าง
ลมเหนือพัดหลังคาห้องจนเกิดเสียง “ฮู ฮู” เสียงลมปะปนกับเสียงคนที่ดังสะท้อนเข้ามาในหูของหลัวจิ่ง เขารีบเก็บอาการปรับสภาพจิตใจ ยกหลังมือขึ้นมาอย่างเปลืองแรงแล้วเช็ดน้ำตาให้สะอาด เงี่ยหูตั้งใจฟังคำพูดด้านนอกหน้าต่าง
“ท่านย่า เหตุใดท่านมาเช้าเช่นนี้ เอ๋... แล้วเหตุใดยังถือผ้าห่มอีก?” เสียงผู้หญิงไพเราะคุ้นหู หลัวจิ่งรู้ว่าเป็เด็กสาวที่ป้อนยาให้เขาเมื่อคืน
“นี่มิใช่ว่าที่บ้านมีคนป่วยมากขึ้นมาหรือ ผ้าห่มบ้านเ้าย่อมต้องไม่พอใช้ ย่าเลยหยิบมาให้พวกเ้าหนึ่งผืน” น้ำเสียงจริงใจที่ผ่านโลกมามากดังขึ้น หลัวจิ่งรู้ว่าฟู่เหรินชราผู้นี้เป็ผู้ช่วยชีวิตเขา
เมื่อวานแม้ว่าเขาจะถูกทุบตีจนสลบไป แต่ในระหว่างนั้นยังได้สติครึ่งๆ กลางๆ อยู่สองสามครั้ง จากบทสนทนากันของพวกเขากับฟู่เหริน เขารู้ว่าครอบครัวนี้เป็ครอบครัวเกษตรกรทั่วไปที่ยากจน เพื่อรักษาเขาให้รอดพ้นจากอันตราย ฟู่เหรินชราจ่ายเงินไปไม่น้อย
“ท่านย่า ข้าถือให้เถิด”
“แขนเ้าเล็กเช่นนั้นจะเอาที่ไหนมาถือได้ไหว อย่าขยับ ย่าจะถือไปวางไว้บนเตียงเ้า”
“ท่านย่า เช่นนั้นท่านระวังธรณีประตูด้วย อย่าหกล้มเล่า”
“รู้แล้วล่ะ พวกเ้าทานอาหารเช้ากันหรือยัง?”
“กำลังทานเลย ท่านแม่กำลังต้มยาอยู่ ข้ายกถ้วยโจ๊กไปให้ในห้องนั้นก่อน”
ทันทีที่คำพูดเพิ่งหยุดลง ฝีเท้า “ตึง ตึง ตึง” ไม่กี่ก้าวประตูก็ถูกเปิดออก ท่าทางของเด็กสาวน่ารักจึงประทับเข้าั์ตาของหลัวจิ่ง โดยหลับตาลงไม่ทัน
“เอ๋ เ้าตื่นแล้ว เหตุใดไม่ให้เสียงเล่า? หิวหรือไม่? ยกถ้วยโจ๊กมาให้เ้า เ้าทานโจ๊กก่อนเถิด” เด็กสาวสังเกตเขาอย่างละเอียดอยู่ไม่กี่ที ก็เกาหัวแล้วกล่าว “บนใบหน้าเ้ามีแผลมากเกินไปนัก ไม่เหมาะที่จะล้างหน้า อดทนไว้สองสามวันเถิดนะ”
รังเกียจที่เขาสกปรก? หลัวจิ่งรู้ ท่าทางของตนเองตอนนี้ทั้งสกปรกทั้งขี้เหร่แน่นอน หลายวันมากแล้วที่เขาไม่เคยล้างหน้าเลย หากมิใช่อากาศหนาวมากนัก ร่างกายเขาจะต้องเหม็นจนทนไม่ได้แน่
หลัวจิ่งหลุบหนังตาลงต่ำอย่างไม่เป็ธรรมชาติเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าวันหนึ่งเขาจะถูกคนรังเกียจว่าสกปรก
“ทานโจ๊กก่อนเถิด ทานอิ่มแล้วจึงจะมีเรี่ยวแรง คนน่ะนะ มีข้าวทานย่อมสำคัญมากกว่าอะไรทั้งสิ้น” เด็กสาวกล่าวไปพลางใช้ช้อนตักโจ๊กหนึ่งคำให้เขาไปพลาง หลัวจิ่งอ้าปากอย่างมีสติ ในวันที่ร่อนเร่หลบๆ ซ่อนๆ เขาเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งถึงรสชาติความอดอยากและหนาวเหน็บ สำหรับวาจาที่นางกล่าวมาเขาย่อมรู้สึกเห็นด้วยเป็อย่างมาก
“นี่ เ้าชื่ออะไร? ให้เรียกเ้าว่านี่ตลอดคงไม่ได้กระมัง?” เด็กสาวถาม
หลัวจิ่งลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาไม่อยากตั้งชื่อขึ้นมาหลอกพวกเขา แต่ก็พูดชื่อจริงออกมาได้ยากลำบากนัก
เด็กสาวยังคงป้อนเขาทีละคำๆ เห็นเขาไม่พูด ก็ไม่โกรธ ยิ้มแล้วกล่าว “ที่นี่คือหมู่บ้านวั้งหลินห่างเมืองไม่ไกล บ้านข้าแซ่หู ข้าชื่อหูเจินจู
“…ยู่เซิง” หลัวจิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่พักหนึ่ง ยู่เซิงเป็ชื่อของเขา โดยทั่วไปแล้วมีเพียงคนในครอบครัวเท่านั้นที่รู้
“ยู่เซิง อืม รู้แล้วล่ะ” เจินจูป้อนเสร็จคำสุดท้าย จึงหยัดกายลุกขึ้นยืน “เ้าพักสักครู่ อีกเดี๋ยวยาต้มเสร็จแล้วค่อยดื่ม
นางเดินออกไปแล้วปิดประตูห้อง
“ท่านพ่อ ท่านมานี่หน่อย” เจินจูะโเรียกหูฉางกุ้ย “ยู่เซิงคนนั้นตื่นแล้ว โอ้ เขาชื่อยู่เซิง ท่านไปพยุงเขาลุกขึ้นมาปลดทุกข์หน่อย อีกเดี๋ยวยังต้องดื่มยาอีก”
หลัวจิ่งที่อยู่ภายในห้องได้ยินอย่างชัดเจน อดเก้อเขินไม่ได้ เด็กสาวที่ชื่อเจินจูผู้นี้พูดจาตรงไปตรงมาเกินไปแล้ว
ท่านพ่อของเด็กสาวดันประตูเข้ามา หยิบเอากระโถนจากริมกำแพง “ข้าประคองเ้าลุก”
พอเปิดผ้าห่มออก สองมือวางราบอุ้มเขาขึ้น หลังจากนั้นวางเขาลงเบาๆ ที่ขอบเตียงแล้วหมุนกายไป หลัวจิ่งอดทนความเก้อเขินและความเ็ปไปทั่วตัวจัดการปัญหา
หวังซื่อวางผ้าห่มบนที่นอนเรียบร้อยแล้ว จึงไปเยี่ยมเยือนเด็กหนุ่ม เห็นว่าใบหน้าอมเขียวทั้งหน้าของเขา ดูแล้วบวมเป่งกว่าเมื่อวานเล็กน้อย ความสงสารก็ยิ่งทวีคูณ จึงปลอบโยนเขาอย่างระมัดระวังทีหนึ่ง กล่าวจำพวกว่าให้เขาอยู่พักรักษาอาการาเ็ที่นี่ให้สบายใจ
หลัวจิ่งจึงกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ ว่าตามตรงแล้วบุญคุณที่เคยช่วยเหลือไม่อาจลืมได้ชั่วชีวิต หากมีโอกาสควรตอบแทนให้ได้ดั่งสายธารน้ำ
เด็กชายกล่าวออกมาตามเหตุตามผลชัดเจน ราวกับเป็คนรู้หนังสือ หวังซื่อโบกไม้โบกมือบอกใบ้ว่าไม่เป็ไรทันที ยามที่ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอกผู้ใดก็ล้วนพบเจอความลำบาก ให้เขาพักฟื้นร่างกายอย่างสบายใจอย่าได้คิดมากเกินไป
หวังซื่อออกมาจากห้อง ถอนหายใจเบาๆ เป็เด็กชายที่ชีวิตอาภัพคนหนึ่งเลย
ในกระท่อมกระต่าย เจินจูยื่นมือเข้าไปััอุณหภูมิในกระท่อม หันศีรษะกลับมากล่าวกับหวังซื่อ “ท่านย่า ตอนนี้อุณหภูมิยังดีอยู่ แต่... หากหิมะตกแล้ว อาจจะต้องเผาถ่านหนึ่งกระถางตรงมุมห้อง ถ่านของเราที่นี่มีแบบไม่ค่อยมีควันเช่นนั้นหรือไม่?”
“นี่ต้องถามท่านพ่อเ้า ย่าก็ไม่แน่ใจมากนัก” หวังซื่อมองกรงกระต่ายที่เล็กใหญ่แตกต่างกัน ความไม่สบายใจในใจกระจายออกมาไม่น้อย เลี้ยงกระต่ายให้ดี ชีวิตความเป็อยู่ก็ยังพอมีหวัง
“อื้ม อีกสักพักถามท่านพ่อเสียหน่อย ท่านย่า ท่านดู กระต่ายเหล่านี้ค่อยข้างจะโต เลี้ยงไปอีกพักหนึ่งน่าจะขายได้แล้ว” ในกรงที่ชี้ไปมีกระต่ายสีเทาจำนวนหนึ่งกำลังแทะเล็มหญ้าอย่างมีความสุข
“อื้อ ค่อนข้างใหญ่จริงๆ ด้วย เช่นนี้ต้องเลี้ยงอีกหนึ่งเดือนหรือ?” หวังซื่อเข้าไปใกล้สังเกตอย่างละเอียด
“อื้ม ประมาณนั้น ข้าก็ไม่ทราบ ฮิ ฮิ ขอเพียงโตเท่ากระต่ายโตก็สามารถขายได้แล้ว” ไม่มีประสบการณ์จริงๆ เจินจูทำได้แค่ประมาณการคร่าวๆ ไม่แม่นยำนัก
“นั่นก็ถูก เจินจู วิธีหาเงินที่เ้ากล่าวเมื่อวานนี้คืออันใด? สามารถบอกได้หรือไม่? ในใจย่ากระวนกระวายนัก มองดูเงินที่จ่ายออกไปกำใหญ่ๆ อย่างทำอะไรไม่ได้ ใจย่าราวกับถูกแมวสะกิดก็ไม่ปาน ร้อนรุ่มใจนัก” แม้กระต่ายสามารถหาเงินได้ แต่ตอนนี้เื่ที่้าใช้เงินมีมากเกินไป ถึงขายกระต่ายไปก็ชักหน้าไม่ถึงหลัง หากมีวิธีหาเงินอย่างอื่นได้ย่อมดีที่สุด
เจินจูไตร่ตรองเล็กน้อย เมื่อวานนางอยู่ในเมืองก็แอบคิดเื่นี้มาก่อน คิดไปใคร่มาวิธีที่ค่อนข้างเหมาะสมดูเหมือนว่ามีเพียงขายช่วนช่วนเซียง [1] คนทางใต้ค่อนข้างชอบ เรียกกันว่าหม่าล่าทั่ง [2] ของว่างชนิดนี้ต้นทุนไม่สูงมากนัก ขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก แค่น้ำแกงที่ใส่ลงไปต้องรสชาติดี แม้นางจะไม่รู้ส่วนประกอบน้ำแกงที่ละเอียด แต่น้ำแกงโดยปกติไม่นอกเหนือไปจากพื้นฐานหรอก ล้วนแล้วแต่ทำด้วยกระดูกหมูหรือกระดูกไก่มาเป็วัตถุดิบเริ่มต้น หลังจากนั้นใส่เครื่องเทศเล็กน้อยลงไปเคี่ยว สุดท้ายคือต้องปรุงเครื่องเทศปรุงรสใส่ถ้วยเล็กไว้ให้ดี
เจินจูในเมื่อก่อนก็เป็ลูกค้าประจำของหม่าล่าทั่ง แผงขายเล็กใหญ่โดยรวมแล้วนางเคยทานมาหมด นางสามารถชิมรสชาติรู้ได้ว่าดีไม่ดี แต่พูดถึงรายละเอียดส่วนประกอบยังมีความลี้ลับซับซ้อนอยู่เล็กน้อย นางเกาศีรษะแสดงออกว่ารู้สึกลำบากใจนิดหน่อย
แต่... หวังซื่อฝีมือครัวไม่เลวนัก ทดลองทำหลายๆ ครั้ง น่าจะสามารถปรุงรสส่วนประกอบออกมาได้อร่อยกระมัง
“ท่านย่า บ้านเราขายอาหารการกินได้หรือไม่?” เจินจูถามอย่างระมัดระวังก่อนหนึ่งเสียง ไม่รู้ว่าสำหรับที่นี่แล้วมีความคิดต่อกิจการหาบเร่เล็กๆ อย่างไร
“แน่นอนว่าได้ วิธีของเจินจูคือขายอาหารการกินหรือ?” หวังซื่อกระวนกระวายใจ แต่ไม่กล้าเร่งรัด
“อืม ท่านย่า ข้ารู้วิธีจริงๆ แต่ส่วนประกอบรายละเอียดไม่ค่อยแน่ใจเท่าใดนัก มันเป็ของทานเล่นอร่อยๆ อย่างหนึ่ง เล่ากันว่าคนมากมายทางทิศใต้ชอบทานนัก ต้องมีน้ำแกงเป็ส่วนประกอบและเครื่องเทศปรุงรสให้อร่อยใส่ถ้วยเล็กไว้ ทำพื้นฐานสองอย่างนี้ให้ดีก็ได้แล้ว ต้นทุนไม่สูง พวกเราสามารถลองทำที่บ้านก่อนได้” เมื่อวานที่ร้านสมุนไพร เจินจูใช้เงินส่วนตัวของตนเองซื้อเครื่องเทศเล็กน้อยมาอย่างเงียบๆ สามารถใช้ได้พอดีเลย
“ได้ พวกเราลองก่อน บอกก่อนว่า้าส่วนประกอบอะไร ย่าจะไปซื้อ” สำหรับอาหารการกินของหวังซื่อแล้วมีความมั่นใจนัก เหล้ายาปลาปิ้งนางทำได้ไม่เลว แต่ไม่เคยคิดพึ่งพาการทำกิจการอาหารมาก่อน
“อืม ท่านย่า ท่านไปซื้อเครื่องในมาสักชุดก่อน หลังจากนั้นให้เขาเพิ่มกระดูกมาสักสองสามอัน หากไม่เพิ่มให้ซื้อมาสักหน่อย ส่วนประกอบนี้ต้องใช้กระดูก อย่างอื่นก็ไม่ต้องแล้ว อย่าลืมให้คนขายตัดกระดูกออกให้ดี ครั้งก่อนมีดของบ้านเราตัดกระดูกจนมีดบิ่นแหว่งออกไป” กลับมาคราก่อนตนเองตัดกระดูกชิ้นใหญ่จนมีดหักบิ่นออก ทำเอาเจินจูเกรงใจไม่กล้าทำเล็กน้อย
“อื้ม ได้ รู้แล้ว เช่นนั้นย่าไปแล้ว” หวังซื่อเดินไปข้างนอกอย่างรีบร้อน
“ท่านย่า ถอนหัวไชเท้าติดมือกลับมาด้วยนะ” หัวไชเท้าเป็วัตถุดิบขั้นพื้นฐานของหม่าล่าทั่งที่ต้องเตรียมไว้ให้พร้อมตลอดที่สุด
หวังซื่อตอบรับเสียงหนึ่งจากที่ไกลๆ
“ท่านพี่” ผิงอันยื่นตัวออกจากกระท่อมแล้วเข้ามา
“ผิงอัน ไม่ใช่ว่าเ้าไปบ้านเอ้อร์หนิวหรือ? กลับมาเร็วเพียงนี้?” ปัดหญ้าแห้งที่เลอะอยู่บนศีรษะออกให้เขา ยิ้มแล้วถาม
“อื้อ กระต่ายบ้านเอ้อร์หนิวถ่ายท้องเล็กน้อย ซานนีป้อนหญ้าสดที่มีน้ำปนอยู่ให้กระต่าย เอ้อร์หนิวกำลังโมโหเลย โชคดีที่ป้อนไม่มาก ตอนนี้กระต่ายดีขึ้นมากแล้ว ข้าติเตียนเขาแล้วด้วย” ผิงอันกล่าวจริงจังด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
เจินจูยิ้ม นับั้แ่ที่ให้กระต่ายเอ้อร์หนิวไปหนึ่งคอกครั้งก่อน ผิงอันก็ใช้ฐานะผู้เชี่ยวชาญไปชี้แนะการเลี้ยงกระต่ายให้แก่เอ้อร์หนิวอยู่เป็ระยะๆ เอ้อร์หนิวเป็เด็กชายซื่อสัตย์รักษาคำพูด รับปากพวกเขาว่าจะไม่กล่าววิธีรมควันกระต่ายออกมาตามอำเภอใจ ก็ไม่เคยเอ่ยให้คนในครอบครัวเขาฟังเลย เจินจูชื่นชมนิสัยเช่นนี้ของเอ้อร์หนิวนัก จึงใจกว้างเอาความรู้ขั้นพื้นฐานการเลี้ยงกระต่ายบอกแก่เขา จนกระทั่งจากนั้นไปเขาจะเลี้ยงกระต่ายจนกลายเป็เช่นไร ก็ต้องอาศัยตัวเขาเองแล้ว
“ผิงอัน อีกครู่เ้าอย่าลืมจับกระต่ายตัวใหญ่หน่อยไปเคลื่อนไหวสักนิดนะ ข้าน่ะ จะไปเตรียมทำอะไรเล็กน้อย ตอนกลางวันพวกเราจะทานอาหารใหม่อร่อยๆ ชนิดหนึ่ง” มุมหนึ่งของกระท่อมกระต่ายใช้กั้นเป็พื้นที่หนึ่งไว้ สำหรับให้กระต่ายเคลื่อนไหวโดยเฉพาะ ทุกวันล้วนปล่อยกระต่ายจำนวนหนึ่งออกมาเคลื่อนไหวเว้นระยะห่าง ส่วนกระต่ายป่าที่จับกลับมา เพื่อให้พวกมันสงบลง เจินจูจึงวางผักผลผลิตของมิติช่องว่างเลี้ยงพวกมันบ่อยๆ กระต่ายป่าก็เปลี่ยนไปสงบเชื่องอย่างมากดังที่คาดไว้
“อร่อย?” ดวงตาผิงอันสว่างวาบ ั้แ่ปรับปรุงอาหารที่บ้านนิดหน่อย ใบหน้าเล็กรูปไข่ของผิงอันในที่สุดก็อ้วนขึ้นเล็กน้อย ดูแข็งแรงขึ้นมาก
“อื้อ ไม่ผิด อร่อย เ้าดูแลกระต่ายดีๆ และอย่าอยู่นานนัก อากาศหนาวแล้ว อีกเดี๋ยวกลับไปทำตัวให้อุ่นบนเตียงด้วย ข้าไปดูพี่ชายคนป่วยผู้นั้นก่อนเสียหน่อย” เจินจูหยิกใบหน้ารูปไข่เล็กๆ ของเขา กล่าวแล้วหัวเราะ ฮิ ฮิ
“ทราบแล้ว ท่านพี่ ข้าเลี้ยงกระต่ายเสร็จก่อน แล้วค่อยปล่อยออกมาเคลื่อนไหวนิดหน่อย สักครู่ก็กลับไปห้องแล้ว” ผิงอันกล่าวอย่างเป็ระเบียบแบบแผน
“อื้ม ทราบแล้วก็ดี แล้วยังมี พี่ชายที่ได้รับาเ็คนนั้นชื่อยู่เซิง คุยกับเขาก็ระวังหน่อย มีอะไรอย่าพูดออกมาหมด ทราบหรือไม่?” เจินจูลังเลใจอยู่เล็กน้อย แต่ยังกล่าวออกมา ป้องกันจิตใจคนเป็สิ่งที่ขาดไม่ได้ มากน้อยอย่างไรก็ต้องเตรียมป้องกันให้ดีไว้ก่อน
ผิงอันพยักหน้าเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แววตาบริสุทธิ์ทำให้เจินจูรู้สึกอายจนเหงื่อตกเล็กน้อย แต่ละคนย่อมต้องเติบโต มักจะมีสักวันที่ต้องเผชิญหน้ากับสังคมเพียงลำพัง ชีวิตความเป็จริงไม่ได้เป็สังคมแบบที่คิดไว้ รักษาความระมัดระวังกับคนแปลกหน้าไว้ยังคงจำเป็นัก
เชิงอรรถ
[1] ช่วนช่วนเซียง คือ อาหารจีนที่กำเนิดจากมณฑลเสฉวน เมืองเฉิงตู ลักษณะคล้ายกับหม่าล่าหม้อไฟ แต่จะเป็การนำเนื้อหรือผักมาเสียบใส่ไม้แล้วจุ่มลงในหม้อ
[2] หม่าล่าทั่ง คือ การนำวัตถุดิบต่างๆ จำพวกเนื้อและผักมาต้มใส่น้ำซุปเครื่องปรุงที่เรียกว่าหม่าล่า