หลังจากทั้งสองทานบะหมี่เสร็จ จึงเดินอยู่บนถนนด้วยความอบอุ่นทั่วกาย และเพราะยังมีเวลา เจินจูจึงบอกกับหูฉางกุ้ยว่าอยากไปดูละแวกประตูทิศเหนือกับประตูทิศตะวันตก หูฉางกุ้ยพยักหน้า แล้วปล่อยให้เป็ไปตามที่นางนำไป ส่วนเขาเดินตามอยู่ด้านหลัง
เมืองไท่ผิงไม่นับว่าใหญ่มากนัก ถนนสายหลักส่วนใหญ่ล้วนปูด้วยอิฐสีฟ้าคราม ถนนราบเรียบกว้างขวาง มีเกวียนม้าผ่านมาเป็ระยะๆ เจินจูเดินเลียบตามถนนใหญ่มุ่งไปยังทางประตูทิศเหนือ ซึ่งแยกจากตลาดประตูทิศตะวันตก คนเดินถนนน้อยลงทีละน้อย บ้านพักอาศัยสองข้างทางยิ่งสูงและเป็ระเบียบเรียบร้อยขึ้น เจินจูเคยได้ยินมารางๆ ว่าละแวกประตูทิศเหนือเป็ที่ชุมนุมกันของคหบดีที่มั่งมีในเมือง ศาลาว่าการของเมืองก็อยู่บริเวณใกล้เคียงด้วย
หูฉางกุ้ยไม่รู้จุดประสงค์ที่เจินจูมาเดินเล่นฝั่งประตูทิศเหนือคืออะไร คนที่เข้าออกบริเวณนี้ล้วนแล้วแต่เป็ครอบครัวที่มีเงินและอำนาจ ไม่ระมัดระวังเพียงนิดเกิดลบหลู่ผู้สูงศักดิ์เข้าน่าจะร้ายแรงยิ่ง หูฉางกุ้ยไม่สบายใจเท่าไรนัก แต่ไม่้าเบี่ยงเบนความสนใจของเจินจู จึงทำได้เพียงสังเกตการณ์ซ้ายขวาอย่างระมัดระวัง ป้องกันเผื่อไว้
“ท่านพ่อ นั่นคือโรงเรียนขุนนางหรือ?” เจินจูชี้ไปที่ประตูใหญ่อยู่ไม่ไกล ค่อนข้างมีสง่า สี่ตัวอักษรใหญ่บนประตูเป็ที่สะดุดตาอย่างมากอ่านว่า หอสมุดไท่ผิง
ยามนี้ใกล้จะเที่ยงเข้ามาแล้ว ด้านหน้าประตูมีบัณฑิตกลุ่มเล็กๆ ที่กระจุกรวมกัน กำลังพรั่งพรูออกจากประตูใหญ่อย่างเป็ระเบียบ
“อื้ม เป็โรงเรียนขุนนาง” หูฉางกุ้ยพยักหน้า คนชนบทเกรงใจคนที่มีความรู้เป็อย่างมาก จ้าวไป่ิหลานชายคนโตของผู้ใหญ่บ้านก็เรียนหนังสืออยู่ที่นี่ ว่ากันว่าเขาเพิ่งจะสิบสี่ปีก็ผ่านการทดสอบเด็กแล้ว ขณะนี้เป็นักเรียนที่อายุน้อยจริงๆ และกำลังขยันหมั่นเพียรร่ำเรียนอยู่ที่นี่ เตรียมเข้าร่วมสอบชิงตำแหน่งบัณฑิตในชนบทอีกสามปีหลังจากนี้
แน่นอน ไม่ใช่ว่าทุกเมืองจะมีโรงเรียนขุนนาง เมืองชิงเฉวียนที่อยู่ข้างกันไม่มี บัณฑิตไม่น้อยจึงต่างมาโรงเรียนขอความรู้ในเมือง
“อ้อ…” เจินจูมองอยู่สองสามหนอย่างสนใจ
นี่เป็โรงเรียน เจ้ก้มหน้าก้มตาหมั่นเพียรร่ำเรียนมาสิบหกปี วันหนึ่งย้อนกลับมาสมัยโบราณกลับกลายเป็ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือ ...ไม่ได้แล้ว เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิต้องส่งผิงอันไปโรงเรียนส่วนตัว [1] จะได้มีข้ออ้างในการอ่านหนังสือรู้ตัวอักษรได้
มองลักษณะปัญญาชนหลายคนอย่างละเอียด พบว่า “นักปราชญ์หน้าขาว [2]” คำนี้มีเหตุผลยิ่งนัก ศีรษะสวมผ้าสี่เหลี่ยม หน้าขาว ร่างกายอ่อนแอราวกับเป็บรรทัดฐานของบัณฑิตทั้งหมด
หูฉางกุ้ยเห็นเจินจูมองไปทิศทางหอสมุดตลอดโดยไม่กะพริบตา อดกังวลใจเงียบๆ ไม่ได้ เด็กผู้หญิงหนึ่งคนมองเด็กหนุ่มตรงๆ มิใช่เื่ดีอะไร แต่เจินจูยังเล็ก คาดว่าค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น จึงส่งเสียง “เฮ้อ” เบาๆ เสียงหนึ่งอย่างเสียมิได้
ผ่านไปสักครู่ บัณฑิตที่เลิกเรียนแต่ละคนต่างก็กระจัดกระจายกันออกมา เจินจูจึงค่อยๆ ก้าวมุ่งไปข้างหน้า หูฉางกุ้ยถึงได้ถอนใจโล่งอกแล้วเดินตามไป
เมื่อเลี้ยวไปตามเส้นถนนใหญ่ ยิ่งเห็นความโบราณเรียบง่ายสูงใหญ่ของบ้านเรือน หูฉางกุ้ยเดินสองก้าวเพื่อไล่ตามเจินจูหนึ่งก้าว กล่าวเสียงเบา “เจินจู ไปอีกก็เป็ศาลาว่าการแล้ว” น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความตระหนก
เจินจูถูกความตระหนกของหูฉางกุ้ยกระตุ้นให้อดหัวเราะหนึ่งเสียงออกมาไม่ได้ กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “ท่านพ่อ ศาลาว่าการแล้วอย่างไร? หรือว่าผ่านไปแล้วทำผิดกฎหมายหรือ?”
“…” หูฉางกุ้ยเงียบสนิท ทำได้เพียงเดินตามไป
เจินจูแอบหัวเราะในใจ ชาวบ้านทั่วไปมักมีความรู้สึกเคารพยำเกรงศาลาว่าการขุนนาง หากไม่มีความจำเป็ ผู้ใดก็ไม่วิ่งเล่นละแวกนี้เป็พิเศษเช่นเจินจูหรอก
รู้ว่าใจหูฉางกุ้ยมีความเกรงกลัว เจินจูจึงไม่ได้เดินเข้าไปใกล้ เพียงยืนมองอยู่ตรงข้ามไกลๆ พลานุภาพหินสิงโตสองตัวหน้าศาลาว่าการสะดุดตาเป็ที่สุด อีกสองตัวยืนขนาบข้างอยู่ในศาลาว่าการ บนหิ้งไม้หน้าที่ว่าราชการกั้นไว้ด้วยกลองใหญ่สูงๆ หนึ่งชุด
“เหมือนว่าจะคล้ายๆ กับศาลาว่าการที่เห็นในละครเลย ไม่มีอะไรแปลกใหม่” เจินจูผิดหวังเล็กน้อย
หลังจากมองดูไม่กี่ที เจินจูจัดการความรู้สึกน่าเบื่อออกไป แล้วก้าวเท้าไปยังทางข้างหน้า เพิ่งก้าวได้สองสามก้าว ฝั่งตรงข้ามของศาลาว่าการมีเสียงดังสะท้อนขึ้นมา พอหันไปดูกลับพบคนหนึ่งกลุ่มติดตามเด็กหนึ่งคนที่คลุมเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกเดินออกมา เจินจูตกตะลึง ไม่ใช่ว่าเป็เด็กอ่อนแอขี้โรคที่ได้พบวันนั้นหรือ?
กลับเห็นผู้ใหญ่ในเครื่องแบบขุนนางพูดคุยหัวเราะไม่หยุดกับเขา ส่วนเด็กชายเพียงพยักหน้าเป็ระยะด้วยสีหน้าสงบเงียบ ดูท่าเด็กคนนี้ความเป็มาไม่เล็กเลย เจินจูมองเห็นได้ชัด ว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของผู้ใหญ่ท่านนั้น ประดับไว้ด้วยความระมัดระวังและเอาใจอย่างชัดแจ้ง
รถม้าสีดำหนึ่งคันค่อยๆ ควบเข้ามาใกล้ หยุดอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม คนควบม้าะโลงจากรถม้าหยิบเอาที่เท้าเหยียบออกมาวางไว้ ผู้ชายชุดดำประคองเด็กหนุ่มขึ้นรถม้า
รถม้าควบด้วยความเร็วมายังทิศทางของเจินจู จิตสำนึกของนางคิดจะหลบหลีก พอหมุนกายกลับคิดว่า ทำไมนางต้องหลบ? เขาน่าจะจำตนเองที่เจอกันเพียงครั้งเดียวไม่ได้หรอกกระมัง นางแลบลิ้นอยู่ในใจ หากว่าจำได้แล้วมีอะไรต้องกังวล มิได้ติดหนี้เขาเสียหน่อย เหอะ จึงเดินไปทางข้างหน้าช้าๆ ด้วยความสงบเยือกเย็น
รถม้าผ่านไปช้าๆ และไม่มีเค้าลางของการหยุด เจินจูถอนลมหายใจเบาๆ หนึ่งที นางไม่รู้ว่าทำไมจึงไม่อยากสร้างความสัมพันธ์กับเขา อาจเป็เพราะเขามีบุคลิกสูงส่งทั่วร่าง แต่ท่าทางอาการป่วยไปทั้งหน้ากลับทำให้รู้สึกติดลึกอยู่ในความทรงจำ
เจินจูรู้สึกว่าเด็กชายรูปงามอ่อนแอขี้โรคเช่นนี้ ง่ายต่อการปลุกสัญชาตญาณความเป็แม่ของผู้หญิงเหลือเกิน ท่าทางเขาเวลาทนรับความเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ฝืนยิ้มเบิกบานใจช่างทำให้คนสงสารนัก ทำให้นางรู้สึกว่าเื่ที่ไม่สามารถรักษาเขาให้หายได้นั้นโหดร้ายอย่างมาก แต่... นางมิใช่พระแม่มารีย์ ไม่สามารถบุ่มบ่ามเสี่ยงถูกคนคิดว่านำเขามาเป็ลูกหนูทดลอง ที่รักษาเขาให้หายได้แต่กลับเอาตนเองไปตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่ต้องเปิดเผยมิติช่องว่าง ขอโทษ นางไม่ได้มีคุณธรรมสูงส่งขนาดนั้น ดังนั้น ห่างไกลจากเขาเป็ดีที่สุด ตาไม่เห็นใจไม่กลุ้ม
ขณะที่เจินจูปีติยินดีในใจ จู่ๆ รถม้าก็หยุดลง คนควบม้าลงจากรถแล้ววางที่เหยียบเท้าอย่างคล่องแคล่ว ชายชุดดำคนหนึ่งะโลงจากรถไปยืนอยู่บนพื้น ทันทีหลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ลงจากรถช้าๆ ด้วยการประคองของชายชุดดำ เขายืนอยู่ที่เดิมแล้วยิ้มนุ่มนวลหันมาทางนาง ลมหนาวพัดผ่านพักหนึ่ง ลมอากาศหนาวพัดมุมเสื้อสีขาวสะอาดของเขาขึ้น และพัดใบหน้าที่ผอมจนเห็นกระดูกของเด็กหนุ่มให้ยิ่งซีดลงไปอีก
เจินจูสีหน้าหยุดชะงัก คิดอย่างสภาพจิตใจนกกระจอกเทศ [3] ว่าเขาไม่ได้ยิ้มมาทางข้า เขาไม่ได้ยิ้มมาทางข้า
แต่... ที่นี่นอกจากนางแล้วก็มีเพียงท่านพ่อของนาง ไม่มีทางที่จะยิ้มให้ท่านพ่อของนางกระมัง? เฮ้อ... เอาเถิด ไม่กี่วินาทีผ่านไป เจินจูแสร้งทำท่าทางว่าเพิ่งจำคนได้ เม้มปากยิ้มแล้วกล่าวเสียงเบา “นี่ นี่ไม่ใช่พี่ชายในร้านสมุนไพรหรือ? ทำไมท่านอยู่ที่นี่ได้เล่า? อากาศหนาวนัก พี่ชายรีบกลับเถิด ระวังเป็หวัดนะ”
ั์ตาเด็กหนุ่มทอประกายแวบหนึ่ง เด็กสาวตัวน้อยตรงหน้าราวกับว่าไม่ชอบเขา เขายกมือเย็นเยือกขึ้นมาปิดริมฝีปากแล้วไอสองที ยิ้มจางๆ แล้วกล่าว “ความจำน้องสาวดีจริง ยังจำพี่ชายได้ เหตุใดเ้าอยู่ที่นี่เล่า?”
เมื่อครู่เด็กสาวตัวน้อยกับชายด้านหลังเดินมาจากทิศทางศาลาว่าการ ปรากฏกายออกมาบริเวณศาลาว่าการเวลานี้นับว่าแปลกประหลาดนัก
ั้แ่เด็กหนุ่มลงจากรถหูฉางกุ้ยก็ตกอยู่ในสภาพประหลาดใจมาตลอด ตอนได้ฟังเจินจูเปิดปากเอ่ยยิ่งอ้าปากค้าง ยามเด็กหนุ่มกล่าวตอบกลับ เขารู้สึกคางของตนเองแทบจะตกลงไป... นี่ นี่เจินจูรู้จักคุณชายเด็กหนุ่มรูปงามสูงส่งเช่นนี้เมื่อใดกัน?
“โอ้ ข้ากับท่านพ่อออกมาเดินเล่น จึงเดินเรื่อยเปื่อยมาถึงนี่” เจินจูตอบตามอำเภอใจ และไม่ได้แนะนำท่านพ่อของตนด้วย เพียงพบกันโดยบังเอิญเท่านั้น ไม่จำเป็ต้องรู้จักมากมาย
น่าเสียดาย มีคนไม่ได้คิดเช่นนี้ เด็กหนุ่มเดินมาข้างหน้าสองสามก้าว ทักทายทำความเคารพด้วยการเดินเข้ามาช้าๆ แล้วกล่าว “สวัสดีท่านอาท่านนี้ ผู้น้อยแซ่กู้ เป็ลำดับที่ห้าของครอบครัว สามารถเรียกข้าว่ากู้อู่ก็ได้ ไม่ทราบว่าท่านอาชื่อเสียงเรียงนามอันสูงส่งว่าอันใด?”
ทันใดนั้นหูฉางกุ้ยก็ลุกลี้ลุกลนเสียจนทำอะไรไม่ถูก โค้งกายลงตอบกลับอย่างสุภาพทันที “มิบังอาจ มิบังอาจ ข้าน้อยหูฉางกุ้ย นี่คือลูกสาวหูเจินจู” กล่าวจบก็ดึงเจินจูมาขวางตรงหน้าเขา ถอยตนเองลงไปสองก้าว เขาพูดจาไม่เก่งจะกล้าพูดคุยกันคนสูงศักดิ์ได้ที่ไหนกัน
เจินจูจนปัญญา ทำได้เพียงฉีกยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าวอย่างต้อนรับขับสู้ต่อไป “พี่ชายกู้อู่ ท่านพ่อข้าไม่ชินต่อการสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนนัก ท่านมีคำอันใดอยากกล่าวก็กล่าวกับข้าเถิด อย่าทำพ่อข้าใเลยนะ” แล้วหันไปกะพริบตาปริบๆ กับเขา แสร้งทำท่าทางเด็กสาวไร้เดียงสาออกมา ส่วนในใจกังขาว่า มีคำก็รีบกล่าว มีผายลมก็รีบปล่อย
“น้องสาวเจินจูเป็บุตรสาวที่กตัญญูนัก” กู้อู่ยังคงยิ้มจางๆ ไอเบาๆ สองทีแล้วกล่าวต่อไป “นี่พวกท่านมาตลาด?” เขาถามอย่างไม่แน่ใจเล็กน้อย แม้ออกมาข้างนอกมากกว่าครึ่งปีแล้ว แต่ประเพณีของประชาชนอย่างละเอียดเขาไม่เข้าใจมากนัก
“อื้ม วันนี้วันตลาด หมู่บ้านใกล้เรือนเคียงต่างก็เข้าเมืองไปตลาด ครอบครัวเราออกมาขายของ” เจินจูกล่าวตามตรง ไม่มีอันใดที่กล่าวไม่ได้
“โอ้ ล้วนขายอันใด?” กู้อู่ท่าทางสนใจ
“ขายกระต่ายไม่กี่ตัวน่ะ”
“กระต่าย? ครอบครัวเ้าเป็นายพราน?”
“มิใช่ บ้านเราเป็ครอบครัวเกษตรกร กระต่ายนี่เป็กระต่ายเลี้ยง”
“โอ้ กระต่ายก็สามารถเพาะเลี้ยง? พวกเ้าเป็คนหมู่บ้านใดกัน?”
“กระต่ายสามารถเลี้ยงได้ พวกเราเป็คนหมู่บ้านวั้งหลินน่ะ”
บนใบหน้าเจินจูประดับด้วยรอยยิ้ม อดทนนิสัยหนึ่งถามหนึ่งตอบกับเขา แต่ใจคิดตำหนิอยู่ข้างในว่า เ้าเด็กนี่ หน้าถูกลมหนาวพัดเสียจนซีดเผือด ยังกล่าวไร้สาระอยู่นี่อีก กลับไปหลังจากนี้แล้วป่วยอย่าได้ตำหนิว่าเป็ความผิดข้าเล่า
ชายชุดดำที่อยู่ด้านข้างมองสีหน้าซีดจางของกู้อู่ด้วยสีหน้าท่าทางเป็กังวล แต่กลับไม่กล้ากล่าวโน้มน้าวออกมา คุณชายของเขาดูเปราะบางอ่อนโยน แต่ความเป็จริงคำพูดและการกระทำแต่ไหนแต่ไรมา ไม่ยอมให้ผู้อื่นกล่าววาจาแทรก
“หมู่บ้านวั้งหลิน วันหน้ามีเวลา พี่ชายจะไปเป็แขกบ้านเ้าดีหรือไม่?” กู้อู่ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงใจ
“มิดี” เจินจูส่ายหน้าทันที คำพูดเพิ่งออกจากปากจึงรู้สึกว่าไม่เข้ากับท่าทีบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของนาง จึงรีบกู้คืนสถานการณ์ ก้มหน้าแสร้งทำท่าทางชีวิตลำบากยากแค้นแล้วกล่าว “บ้านข้าไม่เรียบร้อยเท่าไรนัก ท่านไปก็ไม่มีที่ต้อนรับ พี่ชายกู้อู่ ขออย่าได้ตำหนิเลย”
“ไม่หรอก เป็ข้าไตร่ตรองมิรอบคอบ น้องสาวเจินจู เ้าอย่าได้ตำหนิตนเองจึงจะถูก” กู้อู่กล่าวต่อ
“…” อันที่จริงเจินจูอยากจะะโดังๆ หนึ่งเสียงใส่เขานักว่า นี่เ้าจะจบไม่จบ
น่าเสียดาย นางได้เพียงคิดในใจเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าหยุดชะงักเล็กน้อย ใบหน้าของนางมองที่เขาด้วยความกลัดกลุ้มแล้วกล่าวเสียงเบา “ไม่หรอก พี่ชายกู้อู่ ที่นี่ลมแรงมากนักหากลมยังพัดต่อไปจะหนาวเอาได้ ครั้งหน้ามีเวลา ข้าไปคุยเล่นกับท่านที่ร้านสมุนไพรของท่านเถิด”
“อ๊ะ เป็ข้าที่สะเพร่านัก เหนี่ยวรั้งน้องสาวให้ป่วยเป็ความผิดใหญ่หลวงนัก น้องสาวจะไปที่ใด ข้าไปส่งพวกเ้า?” กู้อู่ท่าทางตำหนิตนเอง
เจินจูพยายามอดทนความรู้สึกกระตุกในปาก ลักษณะของตัวเ้าเองช่างดูป่วยอ่อนแอไร้กำลัง ยังจะกล้ากล่าวว่ารั้งข้าให้ป่วย อายุยังน้อยกลับท่าทางหน้าเนื้อใจเสือ หรืออยู่ห่างจากเ้าไกลๆ หน่อยดีกว่า คนมีเงินแผนการในใจมีมากนัก
“ไม่ต้องหรอก ข้ากับท่านพ่อมิชินกับการนั่งรถม้า ท่านย่าข้ากับท่านลุงยังอยู่ที่ตลาดอยู่เลย อีกครู่หนึ่งพวกเราจะไปหาพวกเขา ขอบคุณพี่ชาย” เจินจูเตือนเขาอย่างอ้อมค้อม บ้านตนยังมีธุระไม่สะดวกพูดคุยกับเ้ามากนัก
“เช่นนั้นก็เอาเถิด พี่ชายนำหน้าไปก่อนหนึ่งก้าวนะ” กู้อู่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย แล้วหมุนกายเดินไปทางรถม้า
เจินจูถอนใจอย่างโล่งอกหนึ่งเฮือก ในที่สุดก็ไปเสียที
กู้อู่หยุดฝีเท้าทันทีราวกับได้ยินที่นางคิด เขาหันศีรษะกลับมายิ้มบางๆ กับนาง “ใช่สิ น้องสาวเจินจู วันนี้เ้า ลืมอะไรหรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1] โรงเรียนส่วนตัว หมายถึง เป็สถานที่สอนส่วนบุคคลที่ก่อตั้งขึ้นมาในยุคโบราณ ไม่มีตำราสอนและระยะเวลาเรียนที่แน่นอน ปกติมักจะมีอาจารย์เพียงคนเดียว
[2] นักปราชญ์หน้าขาว หมายถึง ผู้ที่มีความรู้แต่ไม่มีประสบการณ์ รู้แต่เพียงข้อมูลในหนังสือ แต่กลับไม่รู้วิธีที่จะทำจริง
[3] สภาพจิตใจนกกระจอกเทศ คือ จิตใจคิดอยากหลบหลีกความเป็จริง ไม่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหา