หนิงมู่ฉือฟื้นในตอนบ่ายวันถัดมา นางยังคงใส่เสื้อผ้าขาดๆ เนื่องจากถูกไฟเผาบางส่วน ใบหน้าดำราวกับก้นหม้อ มองไม่เห็นถึงความงามที่มีมาั้แ่กำเนิด จะเห็นก็เพียงดวงตาใสกระจ่างฉายแววเฉลียวฉลาดที่ค่อยๆ ปรือขึ้น
นางใช้มือกุมศีรษะที่ปวดประหนึ่งจะแตกออกเป็เสี่ยงๆ พลางลุกขึ้นนั่ง พบว่าตัวเองรอดพ้นจากทะเลเพลิงมาได้แล้ว เวลานี้นางนั่งอยู่ในห้องห้องหนึ่ง ข้างนอกห้องมีเสียงคนเดินขวักไขว่ เสียงฝีเท้าดูเร่งรีบและมีเสียงดังเอะอะโวยวายแทรกอยู่ด้วย
นางใช้มือจับม่านเตียงเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นยืน ทันทีที่เท้าแตะพื้น ขาทั้งสองข้างก็อ่อนแรงจนคุกเข่าลงไปกองกับพื้น ศีรษะกระแทกเข้ากับมุมโต๊ะพอดี นางเจ็บจนแทบจะร้องไห้ออกมา เื่นี้ยังไม่เท่าไหร่ จู่ๆ สายตานางแลเห็นแสงสีทอง ในสมองปรากฏตัวหนังสือแล่นวนเวียน เขากวางนึ่ง ผัดไตหมู ผ้าขี้ริ้ววัวน้ำแดง ลูกชิ้นเนื้อสับ น้ำแกงเครื่องในแพะ น้ำแกงปลากุ้ยอวี๋[1]
นางตาโตด้วยความใยิ่ง ตัวหนังสือพวกนี้ล้วนคือชื่ออาหาร นี่นางเป็อันใดไป เพียงตกอยู่ในทะเลเพลิงไม่กี่ชั่วยามเท่านั้นเองมิใช่หรือ เหตุใดพอฟื้นขึ้นมาถึงจำชื่ออาหารหลายอย่างได้อย่างน่าประหลาด ทั้งยังจำได้อย่างแม่นยำราวกับฝังอยู่ในสมองมาเนิ่นนาน
หนิงมู่ฉือสูดหายใจเข้าลึกๆ เดินกลับไปที่ข้างเตียง นั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าขบคิด เมื่อคืนเ้าแม่อาหารบูชาผู้นั้นจะสำแดงอิทธิฤทธิ์แล้วป้อนน้ำที่ไม่ธรรมดาให้แก่นางตอนที่สติเลือนรางหรือ นั่นคือน้ำศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่? คิดไปคิดมาก็นึกย้อนไปถึงอ้อมกอดทรงพลังน่าพึ่งพิงนั่น ทั้งยังกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัวอีก เมื่อคืนคนที่บุกเข้าไปช่วยนางออกมาจากทะเลเพลิงโดยไม่ห่วงชีวิตคือผู้ใดกันแน่?
ฉับพลันนั้นข้างนอกเกิดเสียงอึกทึก หนิงมู่ฉือลงจากเตียง ขณะที่กำลังจะเดินไปดู ผู้ใดเลยจะรู้ว่านางเพิ่งจะเดินไปถึงหน้าประตู ประตูก็ถูกถีบเข้ามา นางส่งเสียงอุทาน “อ๊ะ” พลางเอามือกุมจมูก ลงไปนั่งกองกับพื้น
หญิงวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเดินนำข้ารับใช้เข้ามาในห้อง หญิงวัยกลางคนกวาดสายตามองไปทั่วห้องก่อนจะะโถามเสียงดัง “นังเด็กนั่น ไหนบอกว่าอยู่ในห้องนี้ไม่ใช่หรือ หรือนางรู้ตัวว่าทำผิดครั้งใหญ่เลยหนีไปแล้ว?”
หนิงมู่ฉือจำได้ว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้คือแม่บ้านที่รับผิดชอบดูแลห้องครัว พอรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมองหาตนเองก็เอามือข้างหนึ่งกุมจมูกรีบออกมาจากข้างหลังประตูทันที ขณะที่มืออีกข้างยกชูขึ้น เอ่ยออกมาว่า “ข้าอยู่นี่เ้าค่ะ ข้าอยู่นี่…”
แม่บ้านได้ยินเสียงจึงรีบหันไปมองด้วยสีหน้าใสุดขีด เบื้องหน้าคือคนคนหนึ่งที่มีใบหน้าดำดังก้อนถ่าน กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น จมูกมีเืกำเดาไหลออกมา แลดูน่าขบขันเป็ที่สุด
แม่บ้านมองอย่างพินิจพิเคราะห์ก้อนถ่านตรงหน้า เอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เ้าคือหนิงมู่ฉือหรือ”
“ก้อนถ่าน” พยักหน้า น้ำตาไหลพราก ท่าทางดูน่าสงสารเหลือคณา ลูกถีบเมื่อครู่ทำให้ประตูเปิดกระแทกหน้าหนิงมู่ฉือพอดี นี่คือจมูกที่นางภาคภูมิใจนักหนาเชียวนะ!
พิจารณาอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็เชื่อว่า “ก้อนถ่าน” ตรงหน้าคือหนิงมู่ฉือจึงหันไปกวักมือเรียกคนรับใช้ที่อยู่ด้านหลัง คนรับใช้สองคนเดินเข้ามาจับตัวหนิงมู่ฉือพาออกไปข้างนอก
หนิงมู่ฉือรู้สึกใยิ่ง เอื้อมมือจับเสาเอาไว้แน่น อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยพลางะโว่า “ท่านแม่บ้าน ท่านจะทำอันใดเ้าคะ”
แม่บ้านแค่นเสียงในลำคออย่างเ็าจนไขมันบนใบหน้ากระเพื่อม “ท่านอ๋องมีคำสั่งลงมาว่าให้นำตัวเคราะห์ร้ายอย่างเ้าออกจากตำหนัก และนับแต่นี้เป็ต้นไป เ้ามิใช่คนของตำหนักอ๋องอีก รีบออกไปจากที่นี่เสีย มิเช่นนั้นอย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจ”
หนิงมู่ฉือตะลึงงัน น่าจะรู้ว่าตอนนี้นางคือคนที่มีความผิดติดตัว ความแค้นที่ทั้งสกุลหนิงต้องถูกฆ่าล้างสกุลยังไม่ทันได้ชำระ ทะเบียนราษฎร์ก็ถูกเพิกถอน หากไม่มีการคุ้มครองจากตำหนักอ๋อง นางก็ไม่มีที่ใดให้หลบซ่อนได้อีกแล้ว นี่ไม่เท่ากับบีบนางไปสู่หนทางแห่งความตายหรอกหรือ?
เพื่อความปลอดภัยของตนเอง นางขัดขืนสุดชีวิต สองมือกอดเสาไว้แน่น พยายามบีบน้ำตาเม็ดโตให้ไหลออกมานองหน้าพลางะโว่า “ท่านแม่บ้าน ข้าทำงานหนักทุกวันโดยไม่บ่น ตั้งใจทำงาน ตื่นแต่เช้าตรู่ ตื่นก่อนไก่ขันเสียอีก เข้านอนก็ดึกดื่นเสียยิ่งกว่าสุนัข กินก็น้อยเสียยิ่งกว่าหมู ไม่มีความดีก็ถือว่ามีความชอบ เหตุใดพวกท่านถึงใจร้ายทำกับหญิงสาวที่ไม่มีที่ไปเช่นข้าได้ลงคอ ท่านแม่บ้าน…”
เผชิญหน้ากับการร้องห่มร้องไห้ของ “ก้อนถ่าน” แม่บ้านไม่มีท่าทีว่าจะสงสารแต่อย่างใด กลับตรงเข้าไปเขกศีรษะ “ไม่มีความดีก็มีความชอบหรือ เ้าควรขอบคุณท่านอ๋องที่มีเมตตามากกว่า ท่านอ๋องไม่สั่งปะาเ้านับว่าเมตตามากแล้ว เมื่อคืนเป็เพราะเ้าท่านอ๋องน้อยจึงสลบเพราะไฟที่ไหม้ ทานอันใดก็มิได้ แม้แต่หมอหลวงที่ถูกส่งมาจากในวังยังไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร ท่านอ๋องมีท่านอ๋องน้อยเป็บุตรชายเพียงคนเดียว ถูกเ้าทำจนกลายเป็เช่นนี้ เ้ายังจะกล้ามาร้องห่มร้องไห้ว่าไม่มีความดีก็มีความชอบอีกหรือ ลากตัวนางออกไป!”
ว่ากระไรนะ? ท่านอ๋องน้อยสลบเพราะไฟไหม้? ทว่าเมื่อคืนไฟไหม้ที่ห้องครัวแห่งเดียวมิใช่หรือ หรือว่าเมื่อคืนคนที่ช่วยนางออกมาจากในห้องครัวคือท่านอ๋องน้อย “จ้าวซีเหอ”
์รู้ดีว่าจ้าวซีเหอคือคุณชายเสเพลที่เลื่องลือกันไปทั่ว อาศัยที่มีพี่ชายเป็ฮ่องเต้ บิดาเป็ท่านอ๋อง ทำตัวไร้กฎระเบียบ ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา เป็จอมเสเพล ที่น่ากลัวที่สุดคือ มีข่าวลือว่าจ้าวซีเหอเป็พวกชอบพอในเพศเดียวกัน ขบคิดไปมา นางกับเขามิได้เกี่ยวข้องอันใดกัน เหตุใดเขาจึงเข้าไปช่วยชีวิตนางในห้องครัว
ขบคิดเพียงชั่วครู่ ขณะที่เหม่อลอยหนิงมู่ฉือถูกคนรับใช้ลากออกจากในห้อง วันนี้วังหลวงส่งหมอหลวงมาที่ตำหนักหลายคนเพื่อคิดหาวิธีรักษาท่านอ๋องน้อย จึงมีคนเข้าออกตำหนักมากมาย ซึ่งต่างคนต่างยุ่งจนหัวหมุน ครั้นเห็นก้อนถ่านถูกลากตัวออกมาจากในห้อง ต่างหยุดงานในมือแล้วหันมามองด้วยความแปลกใจ
แม่บ้านเดินตามหลังออกมา นางยกมือเท้าสะเอว ะโด้วยเสียงอันดังสนั่น “เห็นแล้วใช่หรือไม่ ท่านอ๋องมีคำสั่งให้นำดาวมฤตยูตัวนี้ออกจากตำหนัก และมีคำสั่งห้ามเข้ามาในตำหนักนี้อีกแม้แต่ก้าวเดียว พวกเ้าจงตั้งใจทำงาน มิเช่นนั้นพวกเ้าก็จะมีจุดจบเช่นนาง”
ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก้มหน้า ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอีก ก่อนจะรีบไปทำงานที่ค้างเอาไว้ ทว่าลับหลังก็แอบไปนินทากันว่า ก้อนถ่านเกี่ยวข้องอันใดกับท่านอ๋องน้อย เหตุใดท่านอ๋องน้อยซึ่งทำตัวเสเพลไม่สนใจผู้ใดจึงยอมเสี่ยงชีวิตเข้าไปในทะเลเพลิงเพื่อช่วยนางออกมา
หนิงมู่ฉือไม่มีเวลาสนใจสายตาทุกคนที่มองนางราวกับนางเป็คนที่ตายไปแล้ว พยายามดิ้นให้หลุดจากการเกาะกุมของคนรับใช้ นางเกาะพื้นหินไม่ยอมปล่อยพร้อมทั้งะโไปด้วย “ท่านแม่บ้าน อย่าไล่ข้าไปเลยนะเ้าคะ ท่านแม่บ้านให้โอกาสข้าอีกสักครั้งเถิดเ้าค่ะ ข้าทำได้ทุกอย่างเพื่อตำหนักอ๋อง ท่านแม่บ้าน!”
แม่บ้านเค้นเสียงขึ้นจมูกอย่างเ็า ร่างกายที่อ้วนอุ้ยอ้ายลดตัวลงนั่งยองๆ จ้องหน้าดำกระด่างและเืกำเดาที่ยังคงไหลไม่หยุดของหนิงมู่ฉือ นางตบหน้าอีกฝ่ายไม่แรงนักพร้อมเอ่ยว่า “ให้โอกาสเ้าอีกครั้ง? ถ้าให้โอกาสเ้าอีกครั้ง ครั้งหน้าคนที่ต้องถูกไล่ออกจากตำหนักอ๋องก็จะกลายเป็ข้าสิ! เช่นนั้นอย่าแม้แต่จะคิด”
ครั้นเห็นแม่บ้านไม่มีท่าทีว่าจะสงสารแต่อย่างใด หนิงมู่ฉือใช้มือหยิกต้นขาตนเองอย่างแรง ทันใดนั้นน้ำตาพลันร่วงลงมาจากดวงตา นางตั้งใจทำแววตาให้ดูน่าสงสาร ขบคิดไปมาก็กระชากจี้หยกที่ห้อยอยู่ที่ลำคอออกมายัดใส่มือแม่บ้าน นางกระพริบตาพร้อมกับเอ่ยว่า “ท่านแม่บ้าน หากท่านอ๋องจะไล่ข้าออกจากตำหนัก ข้าก็ไม่มีอันใดจะพูด แต่ในเมื่อท่านอ๋องน้อยเป็คนช่วยข้าเอาไว้เมื่อคืน จนทำให้ต้องมานอนไม่ได้สติ ทานสิ่งใดก็ไม่ได้ ข้าจึงอยากจะทำอาหารหนึ่งอย่างเพื่อตอบแทนบุญคุณที่ท่านอ๋องน้อยช่วยข้าเอาไว้ ได้หรือไม่ ขอร้องเถอะนะท่านแม่บ้าน!”
แม่บ้านชูจี้หยกขึ้นส่องกับแสงแดด ใบหน้าอวบอ้วนเผยรอยยิ้มชอบใจ ก่อนจะหันไปยกมือส่งสัญญาณให้คนรับใช้ที่อยู่ด้านหลังปล่อยตัวหนิงมู่ฉือ “ข้าจะเห็นแก่ที่เ้าซื่อสัตย์และจงรักภักดี ยกเว้นให้เ้าสักครา ให้เ้าได้ทำตามที่ปรารถนา”
หนิงมู่ฉือได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าหลายครั้งติดต่อกัน พร้อมทั้งลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ขณะที่ในสมองมีชื่ออาหารหลายชนิดลอยเข้ามาไม่ขาดสาย
[1] ปลากุ้ยอวี๋ คือ ปลากระพงน้ำจืด