เป่ยเยียน ตำหนักอ๋อง
กลางดึกอันเงียบสงัดในคืนคิมหันต์ฤดู พระจันทร์ลอยเด่นกลางนภา ภายในตำหนักอ๋องอันโอ่อ่าถูกปกคุมด้วยความเงียบ ทว่าทางตะวันตกเฉียงใต้กลับมีเสียงดังเอะอะโวยวายลอยมา
ทางตะวันตกเฉียงใต้นี้เป็ที่ตั้งของห้องครัวในตำหนักอ๋อง
หนิงมู่ฉือเสื้อผ้าขาดวิ่นจนเผยให้เห็นไหล่งามมนเสี้ยวหนึ่ง แขนสีขาวอมชมพูปรากฏรอยแดง ผมสีดำสนิทยุ่งเหยิง จมูกมีเหงื่อไหลซึม ใบหน้างามปรากฏรอยแดงคล้ำอย่างน่าประหลาด นางกัดริมฝีปากจนเริ่มเห็นรอยเืจางๆ ดวงตาดังผลซิ่ง[1] จ้องมองคนรับใช้อัปลักษณ์ทั้งสามคนเขม็ง ประหนึ่งเสือดาวสาวที่อยู่ในท่าเตรียมพร้อม
นางสะบัดศีรษะเพื่อเรียกสติให้แจ่มชัดขึ้น หากแต่พบว่าไม่เป็ผล นางจ้องคนรับใช้สามคนที่ค่อยๆ ย่างเท้าก้าวเข้ามาพลางกัดริมฝีปากแน่น น่าตายยิ่งนัก! นางประมาทไปเพียงชั่วครู่ จึงถูก “ยากระดูกอ่อน” เข้า ทั้งร่างกายตอนนี้ไร้เรี่ยวแรงราวกับถูกดูดไปหมดสิ้น แทนที่ด้วยความ้าภายในร่างกายที่สูงขึ้นราวกับไฟที่กำลังลุกโชน นางรู้สึกถึงความตายที่กำลังฉีกทึ้งตนเป็ชิ้นๆ
“พวกเ้าอย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา…” หนิงมู่ฉือพยายามใช้เศษผ้าที่ขาดวิ่นปิดบังหน้าอกของตัวเองเอาไว้ ขณะมองชายทั้งสามคนตรงหน้าที่เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ด้วยแววตาร้อนรน
ชายทั้งสามมองสาวสวยที่ทำให้ไฟในตัวลุกโชน ใบหน้าอัปลักษณ์ปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย เอ่ยวาจาหยาบโลนไม่ขาดสาย ท่าทางหื่นกระหายนี้ทำให้หนิงมู่ฉือรู้สึกอยากจะอาเจียน
“คนสวย ไม่ต้องกลัว อีกประเดี๋ยวพี่ชายจะดูแลเ้าอย่างดี ขอแค่เ้าเชื่อฟัง พี่ชายรับรองได้เลยว่าจะทำให้เ้ารู้สึกสบายเหมือนได้อยู่บน์ ฮ่าๆ” ผู้เป็หัวหน้ากล่าวอย่างมีเลศนัยขณะมองไหล่มนที่โผล่พ้นเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น พร้อมกับลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
หนิงมู่ฉือถอยร่น สองมือยันพื้นลุกขึ้นยืนเพื่อจะวิ่งหนี แต่มิอาจรวบรวมแรงได้เลย แม้แต่เท้าที่ก้าวเดินก็ยังอ่อนแรง ในใจพลันรู้สึกอารมณ์เสียอย่างอดไม่ได้ นี่นางจะต้องมาเสียความบริสุทธิ์ในห้องครัวเล็กๆ นี่เยี่ยงนั้นหรือ? ทั้งยังต้องมาเสียให้กับคนรับใช้หน้าตาอัปลักษณ์สามคนนี้?
ทั้งสามคนราวกับหมาป่าหิวโซที่ล่าเหยื่อมาได้ แววตาเต็มไปด้วยความกระหายที่ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นก็ต้องอยากจะอาเจียนออกมาทั้งนั้น ทั้งสามลูบมือขณะสาวเท้าไปข้างหน้าเรื่อยๆ หนิงมู่ฉือที่มีท่าทีระแวดระวังตัวก็ถอยร่นไม่หยุดเช่นกัน
ถอยจนมาถึงมุมเตา หนิงมู่ฉือไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว นางที่หลังติดผนังเก่าๆ จ้องทั้งสามคนตาเขม็ง ภายในห้องครัวเงียบเชียบได้ยินเพียงเสียงฟืนที่ถูกไฟเผาแตกเปรี๊ยะอยู่ในเตาและเสียงหัวเราะอันน่ารังเกียจของทั้งสามคน
“มาเถิดคนสวย คืนนี้ยอมพี่ชายทั้งสามคนเสียดีๆ ต่อไปพวกข้าจะทำให้เ้าสนุกจนหุบขาไม่ลงทุกค่ำคืนเลย ฮ่าๆ…”
หนิงมู่ฉือมองโจรปล้นสวาทที่ก้าวเข้ามาหาเรื่อยๆ นางกัดฟัน ส่งเสียงร้องอย่างฮึดสู้ ก่อนจะยื่นมือเข้าไปในเตาเพื่อหยิบฟืนสองอันที่ลุกโชนที่สุดออกมา ครั้นฟืนถูกนำออกมา เมื่อได้ัักับอากาศใหม่ๆ ไฟจึงยิ่งลุกโหมแรงขึ้น
หนิงมู่ฉือรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายโบกฟืนทั้งสองอันที่อยู่ในมือไปมาเบื้องหน้าทั้งสามคน เพื่อบีบให้พวกเขาถอยหลังไป
เมื่อเห็นว่าวิธีนี้ใช้ได้ผลจึงเริ่มใจชื้น นางไม่สนใจอันใดอีกแล้ว ถือฟืนโบกไปโบกมาพร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้า สะเก็ดไฟแตกกระเซ็นไปทั่ว ชายอัปลักษณ์ทั้งสามคนเห็นดังนั้นก็ใกลัว รีบเอามือกุมศีรษะวิ่งหนีหายไป
เนื่องจากฝนแล้งมานานอากาศจึงร้อนแห้ง เมื่อสะเก็ดไฟแตกกระเซ็นไปทั่ว กองฟางที่ถูกวางอย่างเป็ระเบียบอยู่ที่มุมห้องก็เกิดเสียง “พรึบ” ก่อนที่ไฟจะลุกขึ้นมา
หนิงมู่ฉือมองชายทั้งสามคนที่วิ่งหนีหายไปด้วยรอยยิ้มนางสบถด่าอย่างเจ็บแค้น “เ้าพวกสารเลว คิดจะเอาเปรียบข้าเชียวหรือ ฝันไปเถอะ”
เอ่ยจบหนิงมู่ฉือจึงพบว่าเมื่อสักครู่นางเพิ่งจะกล่าวคำด่าออกมา เมื่อกล่าวออกมาแล้วนางก็รู้สึกสะใจยิ่งนักหากเป็ก่อนหน้านี้ นางไม่มีทางนึกถึงแน่ว่าคำด่าเหล่านี้จะออกมาจากปากของนางเอง
ยิ้มสะใจได้ไม่นาน หนิงมู่ฉือพลันได้กลิ่นไหม้
เมื่อหันหลังไปมอง พบว่ากองฟางที่วางอยู่ตรงมุมห้องมีไฟลุกโชนโหมแรงเสียแล้ว หลังคาของห้องครัวทำด้วยฟาง ในตอนนี้นางราวกับถูกล้อมด้วยเปลวเพลิงก็ไม่ปาน คล้ายกับว่าอีกไม่นานมันจะถล่มลงมา
หนิงมู่ฉือกรีดร้องพลางโยนฟืนในมือทิ้งแล้ววิ่งไปที่ประตู หากแต่ผู้ใดจะรู้ว่าหลังจากคนรับใช้โฉดชั่วทั้งสามออกไปแล้วจะลงสลักประตูจากด้านนอก นางยกเท้าถีบประตูทว่าประตูกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ส่วนหน้าต่างถูกปิดด้วยตะแกรงเหล็กอย่างแ่า ไม่สามารถหนีออกได้
ครั้นรับรู้ได้ความร้อนระอุของเปลวไฟที่ััใบหน้า หนิงมู่ฉือก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา นึกในใจ หรือ์จะ้าให้นางตาย?
นางเพิ่งรอดพ้นจากโจรปล้นสวาทสามคนนั้นมาได้ จะต้องมาตายในห้องครัวแห่งนี้จริงหรือ?
“เหตุใดชีวิตข้าถึงได้ลำบากยากเย็นแสนเข็ญนักเล่า…”
ไฟไหม้ลุกลามไปทั่ว ทั้งห้องครัวตอนนี้ราวกับเป็ลูกไฟขนาดย่อมล้อมหนิงมู่ฉือเอาไว้ตรงกลาง เขม่าควันทำให้นางหายใจไม่ออกจนสำลักไอออกมาไม่หยุด เปลวเพลิงนี้คล้ายกับจะกลืนกินนางเข้าไปและดูเหมือนจะย่างนางให้สุกเสียให้ได้
หนิงมู่ฉือถูกไฟที่กำลังลุกไหม้อย่างหนักบีบให้เข้าไปขดตัวอยู่ในมุมห้อง เวลานี้เองนางรู้สึกว่าเรี่ยวแรงค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมา กำลังจะถูกย่างสด ยากระดูกอ่อนจะนับเป็อันใดได้อีกเล่า?
ควันไฟสีดำและเปลวเพลิงที่ลอยขึ้นไปบนฟ้าราวกับเสียงฟ้าร้องดังสนั่นท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดในตำหนักอ๋อง ไม่รู้ว่าเด็กรับใช้ที่ทำหน้าที่เดินเวรยามตอนกลางคืนคนใดเป็คนค้นพบ จึงะโออกมาเสียงดัง “ไฟไหม้ห้องครัว รีบมาช่วยกันดับไฟเร็ว” จากนั้นผู้คนมากมายเดินไปหยิบถังน้ำเพื่อมาช่วยกันดับไฟ
หนิงมู่ฉือสำลักควันไฟจากเปลวไฟอันร้อนแรงจนแทบจะสิ้นสติ นางยกมือจับจี้หยกที่ห้อยอยู่ที่ลำคอ ไม่รู้เป็เพราะสำลักควันไฟมากเกินไปหรือเป็เพราะในใจโศกเศร้าจนเกินรับไหวกันแน่ น้ำตาเม็ดโตไหลทะลักออกมาจากดวงตา นางเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอโทษ ข้าใช้ไม่ได้เอง ยังไม่ทันได้ทวงคืนความยุติธรรมให้สกุลหนิงก็ต้องมาจบชีวิตอยู่ที่นี่เสียแล้ว เป็ข้าที่ใช้ไม่ได้เอง…”
คนข้างในร้องไห้สะอึกสะอื้น คนข้างนอกส่งเสียงเอะอะโวยวาย บรรยากาศในตำหนักอ๋องราวกับไก่บินสุนัขะโก็ไม่ปาน[2]
ลมพัดโชยมา เปลวไฟไม่เพียงไม่ลดลงกลับยิ่งโหมแรงมากยิ่งขึ้น จนทุกคนไม่รู้จะทำเยี่ยงไรต่อไปดี หนิงมู่ฉือซุกตัวอยู่ในมุมห้องครัว ท่าทางอ่อนแรง หนังตาประหนึ่งหนักเป็พันจิน[3] มือกุมจี้หยกเอาไว้แน่น ขณะที่ปากพึมพำบางอย่างออกมาไม่ชัดเจนนัก
ท่ามกลางสติอันลางเลือน ตาที่แทบจะลืมไม่ขึ้นของหนิงมู่ฉือเห็นรูปปั้นเ้าแม่อาหารบูชาที่ทำจากดินเหนียวซึ่งอยู่ข้างเตาขยับเขยื้อน รูปปั้นเปล่งแสงหลากสีออกมา ก่อนจะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็ร่างเงาคน เดินตรงเข้ามาหานาง
นางเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่านางเห็นภาพลวงตาหรืออันใดกันแน่ นางรับรู้เพียงว่า ตอนนี้จมูกได้แต่กลิ่นไหม้ของควันไฟและรู้สึกปวดแสบปวดร้อน หญิงรูปร่างอ้วนท้วมผู้นั้นเดินฝ่าเปลวเพลิงเข้ามา ในมือถือถ้วยกระเบื้องสีขาว ก่อนจะนั่งคุกเข่าข้างๆ นางพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน เป็รอยยิ้มที่จริงใจและเป็มิตร
“ดื่มสิ” หญิงรูปร่างอ้วนท้วนผู้นั้นยื่นถ้วยกระเบื้องสีขาวมาจ่อที่ปากหนิงมู่ฉือ ป้อนให้นางดื่มลงไปจนหมดถึงค่อยลุกขึ้นยืน หญิงผู้นั้นส่งยิ้มมาให้ก่อนจะหายไปกับแสงหลากสีด้านหน้าเตา
หนิงมู่ฉือที่ถูกป้อนยาด้วยสติเลือนราง นางรู้สึกว่าความแสบร้อนที่จมูกหายไป ภายในปากกลับมีรสชาติหวานหอมมาแทน
ทันใดนั้นเอง เกิดเสียงดัง “ปัง” ประตูถูกถีบด้วยแรงมหาศาล หอบเอาลมแรงสายหนึ่งพัดเข้ามาในห้อง ประตูที่ล้มลงตรงหน้าอีกเพียงนิดเดียวก็จะโดนใบหน้าของนางอยู่แล้ว
นางรับรู้ได้ว่ามีแขนทรงพลังคู่หนึ่งอุ้มนางขึ้นมา อ้อมกอดนั้นอบอุ่นและน่าพึ่งพิง เ้าของอ้อมกอดใช้ร่างกายปกป้องความปลอดภัยให้แก่นาง นางพยายามมองใบหน้าเขาทว่ามิอาจลืมตาได้ มีเพียงกลิ่นหอมของดอกบัวตลบอบอวลไปทั่วโพรงจมูก ให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก
[1] ดวงตาดังผลซิ่ง หรือแอปริคอต เป็ผลไม้ที่เมล็ดคล้ายเมล็ดอัลมอนด์ อุปมาถึงดวงตาที่กลมโตและไม่ยาวนัก สะท้อนความใสซื่อบริสุทธิ์ ดูอ่อนเยาว์ น่าเอ็นดู
[2] ไก่บินสุนัขะโก็ไม่ปาน หมายถึงตื่นตระหนกใและสับสนวุ่นวาย
[3] จิน หน่วยน้ำหนักของจีน หนึ่งจินเท่ากับครึ่งกิโลกรัม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้