ในปีนั้นฮ่องเต้เพิ่งจะขึ้นครองราชย์จึงยังไม่ประสีประสานัก เคราตรงมุมปากยังคงงอกขึ้นเพียงเล็กน้อย
ยามที่พระองค์อภิเษกกับบุตรสาวของขุนนางคนสำคัญของตระกูลหลาน ทั้งแคว้นต่างพากันร่วมเฉลิมฉลอง
เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกไว้ในสมุดบันทึกพระจริยวัตรเล่มแรกของพระองค์
ขุนนางผู้ทำหน้าที่บันทึกคิดย้อนกลับไปครู่หนึ่ง ใบหน้ายังคงก้มต่ำ ทำท่าราวกับคนล่องหนคนหนึ่ง
ฮองเฮาจ้าวเมื่อได้ยินคำที่ฝ่าบาสตรัส ก็หลั่งน้ำตาด้วยความตื้นตัน
เมื่อตรัสจบแล้ว ฝ่าาก็เสด็จไปประชุมทันที
เหล่าขุนนางต่างก็จัดแถวเรียบร้อยแล้ว เหล่าขุนนางแคว้นเชินล้วนแต่รูปงาม
ไม่ว่าจะร่างท้วม หรือร่างบางก็ล้วนแต่ดูสง่างาม
หมวกขุนนางเองก็เช่นกัน ทั้งสองข้างมีไหมสีนิลเส้นยาว เข็มขัดที่สวมก็ดูดีนัก ทั้งยังห้อยจี้หยกสลักลายอย่างประณีต บนลายของหยกยังปรากฏสีสันหลากหลาย
แค่เพียงได้ยลโฉมคนเหล่านี้สักครา ก็รู้สึกได้ถึงความสามารถของพวกเขาที่ชวนให้คนรู้สึกตระการตาตระการใจนัก
ฮ่องเต้เพิ่งจะประทับลง ความจริงแล้วยังคงมีความรู้สึกง่วงงุนอยู่
แม้จะตระการตาสักเพียงใด แต่หากต้องเห็นภาพคนมากมายรวมตัวกันเช่นนี้ทุกวัน ก็รู้สึกเหนื่อยล้าเกินจะทน
แม้ว่าขุนนางเหล่านี้จะน่ามอง แต่จะน่ามองกว่าเหล่าสนมในวังหลังได้หรือ แน่นอนว่าไม่มีทาง
ฮ่องเต้ตวัดชายอาภรณ์ขึ้น จากนั้นก็จึงหาวหวอด ฟังเสียงเหล่าขุนนางรายงานหน้าที่ของตนว่าได้กระทำสิ่งใดมาบ้าง
ทะเบียนครัวเรือนมีมากน้อยเท่าใด ยามนี้ก็นับว่ามากโข
ทั้งสองเขตมีผลผลิตเป็อย่างไร ก็นับว่ามีธัญญาหารเพียงพอ
สำนักเชิน่ชิงยอดอันดับหนึ่งมาได้อีกแล้ว ทั้งยังเปิดรับแคว้นเล็กๆ ทั้งสิบหกแคว้น อนุญาตให้แต่ละแคว้นสามารถส่งรายชื่อเข้าศึกษาได้แคว้นละห้าคน
ว่าไปแล้วสำนักเชินก็นับว่าน่าสนใจที่ให้แคว้นเล็กๆ เ่าั้สามารถส่งรายชื่อเพียงแค่ห้าคน เมื่อคิดไปแล้ว แต่ละอำเภอก็สามารถส่งรายชื่อได้ห้าคนเช่นกัน เช่นนี้ไม่เท่ากับกล่าวว่าแคว้นเล็กๆ เ่าั้มีค่าเท่ากับอำเภอในแคว้นเชินเพียงอำเภอเดียวหรือ
การเปรียบเทียบเช่นนี้ ช่างทำให้เขารู้สึกว่าแคว้นตนนั้นช่างเหนือชั้นจริงๆ ทั้งยังเ้าเล่ห์กันโดยกำเนิด
ทว่าห้ารายชื่อในแคว้นเล็กๆ โดยพื้นฐานสามารถละเว้นการสอบเข้าได้
ส่วนห้ารายชื่อของแต่ละอำเภอนั้นกลับจำเป็ต้องเข้าสอบเข้าก่อน มิเช่นนั้นหากทุกอำเภอล้วนส่งคนมาห้าคนให้เข้าศึกษา แคว้นเชินที่มีอำเภอน้อยใหญ่อยู่มากมายเช่นนี้ย่อมจะทำให้สำนักเชินต้องะเิเป็แน่
สำนักเชินนั้นคือหน้าตาของแคว้นเชิน ดังนั้นจึงไม่อาจประมาทเลินเล่อได้
เมื่อเื่สำนักเชินจบลง บรรยากาศระหว่างเหล่าขุนนางก็พลันคึกคักขึ้นมา ล้วนแต่เต็มไปด้วยความยินดี
ฮ่องเต้เองก็รู้สึกตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน
กล่าวตามจริงแล้ว ยามราตรีเขาขยันขันแข็งนัก
ฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดาที่ราวกับชาว์มาให้เขานางหนึ่ง เขาเองก็ยังหวังอยู่ตลอดว่าเขาจะสามารถมีพระโอรสอีกสักคนได้หรือไม่ เพียงแค่เด็กคนนั้นถือกำเนิด เขาก็จะแต่งตั้งเป็รัชทายาททันที เช่นนี้แคว้นเชินจึงจะสามารถเย้ยหยันเหล่าศัตรู แล้วกลายเป็แคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสักที
ในเวลานั้นก็มีผู้ตรวจการนายหนึ่งก้าวออกมาพร้อมจดหมายกราบทูล
ทันใดทั้งท้องพระโรงก็พลันเงียบลง
ผู้ตรวจการก้าวออกมาเช่นนี้ ย่อมไม่มีเื่ดีเป็แน่
เห็นทีครานี้ตระกูลจ้งคงจะได้ถึงคราวเคราะห์แล้วจริงๆ
“กระหม่อมมีจดหมายกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงของผู้ตรวจการแหลมบาดหูด้วยความดีใจ ทว่าท่าทีนั้นราวกับรู้ว่าตนจะต้องได้ชัยชนะเป็แน่
ข่าวคราวเกี่ยวกับตระกูลจ้งที่ขุนนางในราชสำนักได้รับมา จ้งจื๋อที่ยืนอยู่ในตำแหน่งปลายแถว เขาเป็เพียงขุนนางว่างงานคนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะมีคุณสมบัติมากพอให้เข้ามาอยู่ในราชสำนักได้ ทว่าเขาก็ไม่ได้มีอำนาจอะไร ราชครูตระกูลจ้งก็มีบรรดาศักดิ์อยู่แล้ว เขาจึงไม่จำเป็ต้องแก่งแย่งตำแหน่งอะไรในราชสำนัก ทว่าบัดนี้ใบหน้าของชายหนุ่มพลันซีดเผือด ตระกูลจ้งได้ถึงคราวจบสิ้นแล้ว หากฝ่าามีพระบัญชาให้จับตัวเ้าคนโฉดจ้งฟางกลับมา ตระกูลจ้งคงจะได้พินาศเป็แน่ ในยามนั้นตระกูลจ้งไม่ได้เร่งช่วยจ้งฟางไว้ั้แ่แรก ทั้งยังตัดสัมพันธ์กับจ้งฟางทันที กำลังที่มีทั้งหมดล้วนแต่ทุ่มเทให้กับจ้งเยียน เพื่อให้ตระกูลสามารถรักษาความรุ่งโรจน์ของตนเอาไว้ได้
ราชครูน้อยไม่ได้ใกล้ชิดกับตระกูลจ้งนัก เื่ใหญ่เช่นนี้จึงไม่ได้มีข่าวคราวใดมาแจ้งล่วงหน้าเป็ธรรมดา
ตระกูลจ้งราวกับย้ายหินมาทับเท้าตัวเองก็ไม่ปาน
น่าขันนักที่ตระกูลจ้งคอยอุทิศตนรับใช้แคว้นเชินมาหลายชั่วอายุคน คนที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลก็ล้วนแต่ส่งเข้าวังหลวง พวกเขาไม่เคยได้มีอายุถึงครึ่งร้อย แคว้นเชินใช้อายุขัยของคนตระกูลจ้งมาแลกกับอายุขัยของแคว้น ทว่าสุดท้ายกลับต้องมาจบลงเช่นนี้ ช่างน่าขันนัก...ช่างน่าขันเหลือเกิน
ใบหน้าของจ้งจื๋อปรากฏแววหมดอาลัยตายอยาก กระทั่งขัดขืนเขาก็ไม่คิดจะขัดขืนอีกแล้ว
ผู้ตรวจการยืดหลังขึ้นยืนตรง เตรียมจะตะเบ็งเสียงกล่าวเื่นี้ ทว่าทันใดก็มีเสียงระฆังของแคว้นดังขึ้น
เสียงระฆังดังขึ้นสี่ครั้ง
ฮ่องเต้ที่ยังคงง่วงซึมพลันใขึ้นมาจนแทบจะร่วงลงจากบัลลังก์ัที่ประทับอยู่รอมร่อ
มารดามันเถิด ใครมันกล้ามาลั่นระฆังเช่นนี้ เห็นๆ อยู่ว่าโอรส์อย่างเขายังอยู่
ระฆังดังสี่ครั้งเป็สัญญาณแห่งความสูญเสีย ทั้งยังต้องเป็ความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
ใครมันช่างไม่กลัวตาย
ฮ่องเต้ระลึกถึงเสด็จพ่อเสด็จแม่ของตนที่ตไปนานแล้ว พระสนมของเสด็จพ่อเพื่อจะเลี่ยงข้อครหาจึงได้ถูกส่งตัวไปเลี้ยงดูไว้ที่สวนอวี้หัวทั้งหมด ทว่าต่อให้พวกนางเกิดสิ้นชีพขึ้นมา ก็ย่อมไม่มีการลั่นระฆังเช่นนี้
กระทั่งฮองเฮาของเขา เมื่อครู่ก็ยังเห็นกันอยู่
เหล่าขุนนางพากันส่งเสียงอื้ออึ้ง ใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยความสับสน
ชายตระกูลจ้งพลันใขึ้นมา จากที่หมดสิ้นความมีชีวิตชีวาก็กลายเป็ตื่นเต้นขึ้นมา ตระกูลจ้งของเขานั้นไม่มีทางจะพินาศ ยังมีหนทางกอบกู้
ในตอนที่ราชสำนักกำลังชุลมุนอยู่นั้น เสียงระฆังก็สิ้นสุดลง ความหมายก็ชัดเจนแล้วเช่นกัน
ครู่ต่อมาก็มีนายทหารกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในท้องพระโรง ทำเอาทุกคนตื่นใไปตามกัน
เหล่าทหารถือเป็ตำแหน่งต่ำต้อยนัก กระทั่งโอกาสในการเข้าเฝ้าฝ่าาก็ยังไม่มี
อัครเสนาบดีที่ยืนอยู่หน้าสุดพลันเต้นเร่าๆ ตำหนิขึ้น “พวกเ้าคิดจะก่อฏหรือ”
เหล่าขุนนางคนอื่นก็ค่อยๆ ตอบโต้ขึ้นมาเช่นกัน เมื่อเห็นว่าเหล่าทหารพวกนี้คือเหล่าทหารที่ยามปกติไม่เคยอยู่ในสายตาพวกเขา เช่นนั้นจึงต่างพากันเอ็ดตะโรขึ้นมา
ทว่าเมื่อเอ็ดไปไม่นานเสียงก็ค่อยๆ เบาลง
ด้วยเพราะพวกเขาเพิ่มจะเห็นว่ากลางกลุ่มนายทหารที่พวกเขากำลังตำหนิอยู่นั้นกำลังแบกขุนนางฝ่ายบุ๋นคนหนึ่งอยู่
ขุนนางฝ่ายบุ๋นหรือขุนนางฝ่ายพลเรือนนั้นมีความแตกต่างกับขุนนางฝ่ายบู๊หรือขุนนางทหารมากนัก
ขุนนางฝ่ายพลเรือนล้วนแต่มีจวนหลังงาม หมวกขุนนางหรือรองเท้าก็ล้วนประณีตหลากสีสัน ทั้งยังมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ส่วนขุนนางทหารนั้นล้วนแล้วแต่ดำมอมแมมไปทั้งร่างจนดูแทบไม่ต่างกับคนทำความสะอาดในศาลาว่าการ สิ่งที่พอจะแยกได้ที่สุดเห็นทีจะเป็เนื้อผ้าที่ทอได้ละเอียดกว่า
ถึงกระนั้นก็ยังดูไม่พิถีพิถันเอาเสียเลย
ทว่าเหล่าทหารไร้วัฒนธรรม ทั้งยังสวมชุดอัปลักษณ์กลุ่มนี้นั้นตรงกลางกลุ่มกลับแบกขุนนางพลเรือนคนหนึ่งไว้
เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างก็จิตใจสั่นไหวยามที่ต้องเผชิญหน้ากับขุนนางทหารเช่นนี้ จึงได้เกาะกลุ่มรวมตัวกัน
เพียงพริบตาท้องพระโรงก็ไร้สุ้มเสียงใด
สุดท้ายเหล่าขุนนางจึงคิดขึ้นได้ว่ามีเหตุการณ์อีกประเภทหนึ่งที่จะสามารถลั่นระฆังสี่ครั้งเช่นกัน ได้แก่ยามที่ข้าศึกบุกมาแล้วเกิดการสูญเสียราษฎรอย่างใหญ่หลวง ทว่าเื่นี้ก็เป็กฎที่บรรพชนสร้างไว้ ในหลายปีมานี้แคว้นเชินสงบสุขเจริญรุ่งเรือง ทุกคนจึงพากันลืมเื่นี้ไปจนสิ้น
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์ก็คงจะคิดถึงเื่นี้ออกแล้วเช่นกัน สีหน้าปรากฏแววลำบากใจ ก่อนจะปรากฏแววพิโรธราวกับพายุที่กำลังก่อตัวขึ้น จากนั้นจึงเสด็จลงจากบัลลังก์ ถึงขั้นที่ข้าศึกบุกจนต้องสูญเสียราษฎรไปมากมายถึงเพียงนั้น แต่เขากลับไม่ได้รับข่าวคราวเื่นี้แม้แต่น้อย
เขาไม่นึกสงสัยว่าเื่นี้เป็เื่เท็จ เพราะไม่มีใครจะกล้าลั่นระฆังของแคว้นอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าเป็แน่ เพราะไม่เพียงแต่เป็การรนหาที่ตายให้ตนเอง อีกทั้งยังเป็การตระกูลทั้งเก้าชั่วโคตรมาร่วมตายด้วยเช่นกัน ต่อให้อยากมีหน้ามีตาเพียงใด ก็ย่อมไม่มีทางกล้าทำเื่นี้
บัดนี้ผู้ตรวจการเย่หรงก็ได้แต่ยืนอย่างกระอักกระอ่วน
เมื่อก่อนยามที่เขาปรากฏตัวนั้นล้วนจะต้องเป็จุดสนใจ ครั้งนี้ก็ควรเป็เช่นนั้น
ทว่าครั้งนี้ทุกคนต่างพากันเมินเขา ทั้งที่เขายังขวางทางอยู่ตรงกลางแท้ๆ แม้อยากจะกล่าวอันใด ก็ไม่มีใครยอมฟัง จึงได้แต่กอดจดหมายกราบทูลไว้ แล้วรีบถอยไปยืนด้านข้าง ได้แต่ส่งสายตาจับจ้องไปที่เหล่าทหารอย่างอาฆาตแค้น
บนใบหน้าของเหล่าทหารล้วนมีแต่าแ มีมากมายเสียจนมองไม่ออกว่าเป็ใคร
มองเห็นเพียงยามที่พวกเขามาถึงกลางท้องพระโรง ขุนนางที่พวกเขาหามมาก็ดิ้นรนจะลงด้านล่าง ดังนั้นเหล่าทหารจึงค่อยๆ วางเขาลง
เมื่อวางลงแล้ว ขุนนางนายนั้นก็ยังไม่อาจยืนได้ ต้องคุกเข่าลงไปกับพื้น ทว่ายามคุกเข่าร่างนั้นก็ยังคงโอนเอนไปมาอยู่ดี
สถานะของขุนนางนั้นสูงส่ง ปกติยามเข้าเฝ้าฝ่าาก็ไม่จำเป็ต้องคุกเข่าแต่อย่างใด เพียงแค่โน้มกายทำความเคารพเป็พอ ทว่าขุนนางตรงหน้านี้กลับโถมลงพื้นทั้งตัว
เหล่าขุนนางคนอื่นๆ เมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็พลันรู้สึกโมโห ช่างสอพลอนัก ขุนนางสอพลอเช่นนี้ช่างไม่มีจิตใจของขุนนางแม้แต่น้อย
ต่อมาจึงได้ยินเสียงขาดห้วงเอ่ยขึ้น “แม่ทัพตายนับร้อย เหล่าผู้กล้าล้วนลาลับ ราชสำนักมีหมื่นแสน ยังหัวร่อต่อกระซิก กลางทุ่งหญ้าคนมอดม้วย แคว้นเชินไร้ทุ่งหญ้า วันนี้เสียหนึ่งเมือง พรุ่งนี้สิ้นทั้งแว่นแคว้น...”
ท้องพระโรงที่แสนสะอาด บนพื้นยังส่องประกายแวววาวจากหยกที่ปูอยู่ บนพื้นยังมีขุนนางนับร้อยยืนย่ำ ทว่าบัดนี้กลับมีชายนอนซมอยู่บนพื้นอีกคน ปากนั้นยังคงครวญบทกลอน ครวญไปก็กระอักเืออกมา ท้องพระโรงจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยเืสดๆ
