ชาติที่แล้วเหอตังกุยเคยฝึกศิลปะการต่อสู้ ตอนนั้นนางเข้าไปอยู่ในตำหนักอ๋องหนิงและได้รับความโปรดปรานจากจูฉวน นางร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้หลายอย่างจากองครักษ์ของเขาเพื่อช่วยจัดการเื่ “หออู่อิง” ให้ราบรื่นยิ่งขึ้น เมื่ออายุครบสิบเก้าปีซึ่งถือว่า “เป็ผู้ใหญ่” แล้ว จึงเริ่มฝึกวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานที่เรียกว่าหม่าปู้[1]
ด้วยฐานะสนมของจูฉวนจึงเป็อุปสรรคต่อเหล่าอาจารย์ทุกท่าน ศิลปะการต่อสู้ที่ต้องถ่ายทอดความรู้ตัวต่อตัวหลายอย่างถูกละเว้น อาจารย์จึงทำได้เพียงมอบหนังสือให้นาง “ศึกษาด้วยตัวเอง” หาก “ไม่เข้าใจ” ก็พิสูจน์ให้เห็นว่านางไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเรียนวรยุทธ์
นางเรียนเช่นนี้อยู่หลายปี โชคดีที่อาจารย์ทั้งห้าเป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่ง วรยุทธ์ครอบจักรวาลที่ถ่ายทอดให้แก่นางล้วนเป็ศิลปะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม รวมถึงการฝังเข็มทองที่นางอดทนทำทุกวันเพื่อให้โลหิตไหลเวียนได้ดี ห้าปีต่อจากนั้นนางจึงถูกจัดอันดับให้เป็ “ทหารผู้ชำนาญด้านวรยุทธ์อันดับสอง” และสามารถพูดกับใครต่อใครได้ว่า “นางเป็วรยุทธ์” แล้ว
แม้มีฐานะเป็ “ทหารผู้ชำนาญด้านวรยุทธ์อันดับสอง” ทว่านางกลับไม่ชำนาญการต่อสู้ อาวุธที่หนักกว่ายี่สิบจินยิ่งไม่ต้องพูดถึง นางไม่สามารถยกได้ด้วยซ้ำ มีเพียงดาบหรือหอกหนักเจ็ดแปดจินเท่านั้นที่นางใช้ได้ อย่างไรเสีย นางก็พอมีกำลังภายในอยู่บ้าง สามารถะโข้ามกำแพงหรือเดินเหินบนหลังคาได้เช่นเดียวกับยอดฝีมือ ทักษะการขี่ม้าและยิงธนูก็ยอดเยี่ยมไม่น้อย นางมักจะเดินทางไปมาระหว่างตำหนักอ๋องหนิงและเมืองอิ้งเทียน อยู่บนถนนหลวงทั้งกลางวันและกลางคืน ทำหน้าที่เป็เงาติดตามตัวผู้นำของอู่อิ่งเก๋อ
ชาตินี้นางอยากรวบรวมทักษะวรยุทธ์ที่เคยร่ำเรียนกลับมาอีกครั้ง แม้จะฝึกได้เพียง “ทหารผู้ชำนาญด้านวรยุทธ์อันดับสอง” ก็ถือว่าดีพอสำหรับนางแล้ว ถึงอย่างไรนางก็ยังไม่สามารถฝึกวรยุทธ์ได้ในเร็ววันนี้เพราะร่างกายของนางทั้งขี้โรคและอ่อนแอ
มือหนากำลังถ่ายทอดลมปราณเจินชี่เข้าสู่ร่างกายของนาง ทำให้รู้สึกสบายตัวและอบอุ่น ชาติที่แล้วเคยมีคนถ่ายทอดลมปราณเจินชี่ให้แก่นางทว่านางกลับไม่เคยรู้สึกสบายใจเช่นนี้เลย
เหอตังกุยรู้ดีว่าหากถ่ายทอดลมปราณแก่คนที่ไม่เข้าใจวรยุทธ์ มันจะไหลเวียนไปตามแขนขาทั้งสี่และอวัยวะภายในก่อนจะค่อย ๆ สลายกลายเป็อากาศ แต่หากถ่ายทอดแก่คนที่เข้าใจหลักสำคัญของกำลังภายใน คนผู้นั้นจะสามารถนำลมปราณเจินชี่เข้าสู่ร่างกาย จนไปถึงขั้นตอนสุดท้ายคือเข้าสู่จุดตันเถียน
ลมปราณเจินชี่ที่ล้ำค่ายังคงวิ่งเข้าสู่ร่างกายของนางอย่างต่อเนื่อง หากไม่รับเสียั้แ่ตอนนี้ แล้วจะรอเวลาไหนอีกเล่า?
ทันใดนั้นเหอตังกุยก็กลั้นลมหายใจและตั้งสมาธิที่จุดตันเถียน นำลมปราณเจินชี่ที่กระจัดกระจายตามแขนขาทั้งสี่ข้างเคลื่อนสู่ชีพจรทุกเส้น แล้วค่อย ๆ รวบรวมไปที่จุดตันเถียน หากนางมีกำลังภายในสักนิด วันหน้าเมื่อได้ฝึกวรยุทธ์อีกครั้งก็จะใช้แรงเพียงเล็กน้อยแต่ได้ผลมาก ไม่จำเป็ต้องฝึกจากขั้นพื้นฐานเช่นหม่าปู้แล้ว ลมปราณเจินชี่สร้างพลัง พลังสร้างจิติญญา กฎ์ให้กำเนิดหนึ่ง หนึ่งให้กำเนิดสอง สองให้กำเนิดสาม สามให้กำเนิดล้านชีวิต อี้มีไท่จี๋ สองสิ่งนี้ให้กำเนิดหยินและหยาง ทำให้เกิดสี่สรรพสิ่ง[2] สี่สรรพสิ่งทำให้เกิดยันต์แปดทิศ และยันต์แปดทิศก่อให้เกิดพฤติการณ์อันยิ่งใหญ่ทั้งหลายในธรรมชาติ
เมื่อมีกำลังภายในอยู่ในร่างกาย นางจะสามารถนั่งสมาธิบ่มเพาะพลังลมปราณให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าจะถือดาบ ะโข้ามกำแพงหรือลอยขึ้นไปบนหลังคาก็สามารถทำได้ง่ายดายกว่าตอนที่เริ่มเรียนวรยุทธ์ในชาติที่แล้วหลายเท่า
ผ่านไปครู่หนึ่ง เหอตังกุยที่ได้ผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยก็อดคิดละโมบไม่ได้ แม้เมล็ดพันธุ์จะบ่มเพาะได้แต่ก็ใช้เวลานาน... ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ นางจึงไม่ชักมือออก ปล่อยให้อีกฝ่ายเพลิดเพลินกับการกุมมือนางเงียบ ๆ
ลู่เจียงเป่ยนั่งอยู่บนเตียงใกล้ชิดกับสตรีรูปโฉมงดงาม เขาเหมือนตกอยู่ในความฝันที่รางเลือนราวกับได้ดื่มเหล้าหมักชั้นดีที่ซ่อนไว้ในอุโมงค์
ลู่เจียงเป่ยลอบปรายตามองเด็กสาวที่เขากำลังกุมมืออยู่ พบว่าแววตาคู่นั้นของนางหรี่ลงเล็กน้อย หายใจแ่เบา มีกลิ่นหอมเย็นอ่อน ๆ จากลมหายใจของนาง ราวกับ้าจะเข้าไปในไขกระดูกของเขาอย่างไรอย่างนั้น ในที่สุดเขาก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ต้วนเสี่ยวโหลวเพียงคนเดียวที่ตกหลุมรักนาง
ั้แ่เมื่อใดที่สตรีผู้นี้เดินเข้ามาแล้วทำให้เขาไม่สามารถละสายตาจากนางได้? เมื่อใดกันที่ใบหน้าของนางนับวันยิ่งชัดเจนขึ้นในหัวใจของเขา จนเขาไม่สามารถโกหกตัวเองได้อีกแล้ว?
บทกวีกล่าวว่า “น่าเสียดายที่เราไม่ได้เจอกันตอนที่เราทั้งสองยังไม่มีใคร” เมื่อก่อนตอนที่เขาอ่านบทกวีนี้ก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก คิดเพียงว่าความหลงใหลชั่วครู่จะรับประกันการครองเรือนจนแก่เฒ่าได้อย่างไร แม้ได้พบหน้ากันก่อนออกเรือนแล้วจะมีประโยชน์อันใด ทว่าตอนนี้เขาอยากเขียนประโยคหนึ่งคือ “น่าเสียดายที่เขาไม่ได้เจอนางก่อนที่เขาจะแต่งงานกับภรรยา”
ต้วนเสี่ยวโหลวลงเขาไปจัดเตรียมสินสอดและพิธีแต่งงานอย่างมีความสุข อีกทั้งวิ่งไปขอร้องใต้เท้าเกิ่งและตัวเขาให้เป็พ่อสื่อเจรจาสู่ขออย่างหน้าชื่นตาบาน เขาลอยขึ้นบนกำแพงเพื่อนำเสื้อคลุมขนสัตว์มาให้สตรีผู้นี้และคลุมให้นางด้วยมือของเขาได้... สิ่งที่ต้วนเสี่ยวโหลวทำทั้งหมดคือสิ่งที่ตนอยากจะทำเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าตนมีภรรยาแล้ว
เพราะได้รับลมปราณเจินชี่ของลู่เจียงเป่ย ทำให้ผิวบอบบางอมชมพูของเหอตังกุยเสมือนว่าเป่าเพียงครั้งเดียวก็ปริแตกได้ เส้นผมดำขลับถูกพันไว้ข้างใบหน้า ปลายผมมีหยดน้ำประกายระยิบระยับ ทำให้ผู้พบเห็นอยากไปช่วยเช็ดให้แห้งยิ่งนัก หยาดฝนค่อย ๆ หยดลงบนชุดเป้ยจื่อสีฟ้าอ่อนของนางแล้วหายสาบสูญไปในทันที ทันใดนั้น ลู่เจียงเป่ยสังเกตเห็นว่าชุดเป้ยจื่อสีฟ้าของนางเปียกไปกว่าครึ่งแล้ว อธิบายสั้น ๆ แต่ได้ใจความคือนางเป็ดั่งดอกไห่ถังที่ต้องลมในฤดูใบไม้ร่วง ก่อนจะสลายหายไปจากสายลมอย่างง่ายดาย
ลู่เจียงเป่ยอยากคว้านางมากอดทว่าเขามีภรรยาแล้ว ไม่มีใครทนดูเด็กสาวเช่นนี้ต้องกลายเป็อนุภรรยาได้เป็แน่
แม้ว่าลู่เจียงเป่ยจะรู้ว่ากำลังภายในของตนไม่สามารถเทียบเท่าเกาเจวี๋ยและเจี่ยงพี แต่ก็กลัวว่าจะถ่ายทอดพลังลมปราณเร็วเกินไปจนลุกไหม้เด็กสาวที่เสมือนดอกไห่ถังผู้นี้ได้ ดังนั้นระดับการถ่ายทอดลมปราณจึงช้ายิ่งนัก
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือเหอตังกุยไม่ได้กลัวว่าเขาจะถ่ายทอดลมปราณเร็วเกินไป แต่นางกลับอยากให้ลมปราณเจินชี่นั้นเข้ามาเพิ่มมากกว่านี้อีก
สำหรับคนพื้นฐานต่ำเช่นนาง ลมปราณเจินชี่เปรียบเสมือนเืสดที่ล้ำค่า แต่สำหรับยอดฝีมือเช่นเขา การฟื้นฟูลมปราณเจินชี่ทำได้ง่ายดายเพียงกินข้าวไม่กี่มื้อ อย่างมากก็นอนพักผ่อนและปรับลมหายใจสักสองวัน ลมปราณเจินชี่ก็จะกลับมาดังเดิม เอาล่ะ...แม้นางจะเพิ่งปฏิเสธคำขอแต่งงานและเงินเ่าั้ไป ทว่าตอนนี้นางกลับแอบกลืนกินพลังเจินชี่ของเขาอย่างเงียบ ๆ อาจจะน่าละอายใจอยู่บ้าง...แต่ใครใช้ให้เขามาส่งตนถึงห้องกันเล่า
ทั้งสองอยู่ใกล้ชิดด้วยความคิดที่ต่างกันอย่างเงียบ ๆ ครึ่งชั่วยาม หนึ่งชั่วยาม ชั่วยามครึ่ง...จนถึงสองชั่วยาม ในที่สุดฝนก็หยุดตก พระอาทิตย์ตอนเที่ยงตรงปรากฏขึ้น เหอตังกุยตระหนักได้ว่าตนปล้นลมปราณเจินชี่ของเขามากเกินไปเสียแล้วจึงชักมือกลับมา ลู่เจียงเป่ยก็ถอนมือกลับไปเงียบ ๆ เช่นเดียวกัน ก่อนจะนั่งปรับลมหายใจอยู่บนเตียงเล็กน้อย
เหอตังกุยเดินไปนอกประตู นางเริ่มรู้สึกอึดอัดและไม่เป็ธรรมชาติ เพียงเพราะจดจ่อกับการปรับลมปราณเจินชี่มากเกินไปจนไม่ได้คำนึงถึงเวลา กว่าจะรู้สึกตัวก็เที่ยงวันเสียแล้ว... เหตุใดเจินจิ้งไปตักน้ำแล้วยังไม่กลับมาอีก? หรือนางกลับมาแล้วพบทั้งสองจับมือใกล้ชิดกันจึงใวิ่งหนีไป?
เพียงไม่นาน ลู่เจียงเป่ยก็ใกล้จะรวบรวมพลังลมปราณเสร็จสิ้นแล้ว เหอตังกุยอยากถามหยั่งเชิงเขาเสียหน่อยว่ารู้เื่ที่นางเก็บลมปราณเจินชี่ของเขาไว้ใช้หรือไม่ ในความทรงจำอันเลือนรางของนางมีอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า ประสาทััทั้งหกของยอดฝีมือบางคนสามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงของลมปราณละเอียดอ่อนที่ไหลเวียนในร่างกายได้
ทันใดนั้น ลู่เจียงเป่ยก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี ดวงตาดำขลับดุจเนื้อหยกของเขาอ่อนโยนดั่งสายน้ำ รอยยิ้มสดใสประหนึ่งระลอกคลื่น ทำให้นางไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำถามใด ๆ ออกไปได้
เมื่อส่งลู่เจียงเป่ยที่หน้าประตูสวน เหอตังกุยจึงเอ่ยขออภัย “ใต้เท้าโปรดนำเื่นี้ไปบอกคุณชายต้วนด้วย ข้าน้อยขออภัยอย่างยิ่งที่ทำให้เขาผิดหวัง ข้าน้อยคงไม่ใช่เนื้อคู่ของเขา”
ลู่เจียงเป่ยส่ายหัวพลางเอ่ย “เ้าต้องบอกเขาด้วยตัวเอง อภัยข้าด้วยที่ต้องพูดตรง ๆ เขาไม่เพียงผิดหวังเท่านั้น... ข้าดูออก การสู่ขอเ้าไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบ แต่เขาอยากแต่งงานกับเ้าจากใจจริง ข้ารู้จักเขามาหลายปี ไม่เคยเห็นเขาประทับใจสตรีคนใดนอกจากเ้า”
เหอตังกุยเงียบไปในทันที
“คุณหนูเหอ ข้ามีบางสิ่งจะบอก” ลู่เจียงเป่ยมองเหอตังกุยแน่วแน่ ก่อนจะเอ่ยอย่างอ่อนโยน “สตรีผู้หนึ่ง ไม่ว่าจะฉลาดเพียงใดหรือจะเข้มแข็งเพียงใด สุดท้ายก็ต้องหาที่พักพิงสักแห่ง ตอนนี้เ้าไม่ได้รักเสี่ยวโหลว เพราะเ้ายังไม่เข้าใจเขาลึกซึ้ง ตอนที่เ้าหนาว เหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย เขาจะเป็ที่พึ่งพิงที่ล้ำค่าที่สุด ไม่มีสตรีใดปฏิเสธบุรุษเช่นนี้ เมื่อแต่งเข้าตระกูลต้วน เ้าจะมีชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิม เขาจะคอยปกป้องเ้าจากลมฝนที่โหมกระหน่ำ”
เหอตังกุยก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบอย่างเ็า “ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าจะกลับตระกูลหลัว” สายตาของนางจับจ้องพื้นดินพลางคิดในใจว่านาง้าแก้แค้น จะต้องแก้แค้นให้ได้
แววตาของลู่เจียงเป่ยเหม่อลอย พลางยื่นมือคล้ายจะดึงนางมากอดโดยไม่รู้ตัว เมื่อมือนั้นััตัวนาง แววตาของเขาก็เหมือนได้สติกลับมาแล้วค่อย ๆ กำหมัดอย่างช้า ๆ ก่อนจะชักมือกลับมาสอดในแขนเสื้อ
เมื่อส่งลู่เจียงเป่ยกลับไปแล้ว เหอตังกุยยืนนิ่งมองต้นไม้เหี่ยวเฉาในสวนครู่ใหญ่ ก่อนจะหมุนกายกลับไปห้องของตนเพื่อทำอาหาร ก่อนหน้านี้ตอนที่นางเห็นเงินและโฉนดที่ดินเต็มกล่องใบนั้น จู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่านางในตอนนี้แม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่มีติดตัว หลังจากกลับตระกูลหลัว ขอบเขตการใช้ชีวิตของนางคงจะแคบลงเป็อย่างมาก ทำอะไรล้วนมีขีดจำกัด จะออกไปทำงานหาเงินนอกบ้านก็เป็เื่ยาก
ดังนั้นจึงต้องหาเงินก่อนที่ตนจะกลับตระกูลหลัว เหอตังกุยครุ่นคิดในใจ
ขณะกับข้าวใกล้จะเสร็จ เจินจิ้งก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พลางฉีกยิ้มแทบจะถึงรูหู
เหอตังกุยถลึงตามองนางครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “เด็กโง่ ยิ้มอะไรของเ้า? แล้วหายไปไหนั้แ่เช้า ข้าขอให้เ้าไปตักน้ำไม่ใช่หรือ?”
เจินจิ้งโบกมือพลางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องสนใจเื่ตักน้ำแล้ว เสี่ยวอี้ ตระกูลหลัวส่งคนมารับเ้าแล้ว”
ร่างของเหอตังกุยสั่นสะท้าน หม้อในมือร่วงลงพื้นจนเกิดเสียงดัง “แกร๊ง ๆ ”
เจินจิ้งมองนางด้วยสายตาแปลกใจพลางเอ่ย “เ้าจะได้กลับบ้านแต่เหตุใดถึงไม่ดีใจเลยเล่า” เหอตังกุยกำลังจะพูดบางสิ่ง ทว่ากลับเห็นเจินจูรีบสาวเท้าเข้ามาในห้องพร้อมห่อผ้าในมือ
เจินจูยิ้มแล้วถามว่า “ยินดีกับน้องหญิงด้วย เ้าเก็บของเรียบร้อยหรือยัง? มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่?”
เหอตังกุยลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “พี่หญิงมาทันเวลาพอดี ข้าอยากขอให้พี่หญิงไปพบคนของตระกูลหลัวแล้วบอกว่าข้ายังไม่กลับ ให้พวกเขากลับไปเถิด”
สีหน้าประหลาดใจระคนใฉายชัดบนใบหน้าเจินจู เจินจิ้งก็ร้องใออกมาเสียงดัง ก่อนจะเอ่ยถามเหอตังกุย “เสี่ยวอี้ เ้าคิดถึงแม่มากไม่ใช่หรือ กลับบ้านแล้วเ้าก็จะได้พบนางไม่ใช่หรืออย่างไร? หรือคนในตระกูลหลัวปฏิบัติต่อเ้าไม่ดี เ้าจึงไม่อยากกลับไป?”
เหอตังกุยยิ้มบางพลางเอ่ย “เหตุใดข้าจะไม่อยากกลับเล่า ข้าคิดถึงพวกเขาทุกคน แต่ข้าอยากเตรียมตัวให้ดีกว่านี้ก่อน อีกอย่างข้าก็มีธุระสองเื่ที่ยังจัดการไม่เสร็จ”
เจินจิ้งยังอยากจะถามต่อ แต่กลับถูกเหอตังกุยบอกให้นางรอดู พวกเขาจึงเริ่มกินข้าวเที่ยงด้วยกัน
เนื่องด้วยหม้อและวัตถุดิบทำอาหารของพวกนางเรียบง่ายมาก กับข้าวตอนเที่ยงจึงมีเพียงโจ๊กข้าวกล้องและข้าวคลุกผัก เจินจิ้งมองเหอตังกุยด้วยสายตารู้สึกผิด อีกฝ่ายเป็ถึงลูกสาวของตระกูลร่ำรวย นางไม่เพียงเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเองเท่านั้น แต่ยังต้องกินอาหารหยาบ ๆ เช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น หม้อ ช้อนและธัญพืชเหล่านี้ก็ไม่ใช่วัดจัดหามาให้ แต่เป็ของที่ศิษย์พี่ใช้เงินตัวเองซื้อ เหตุนี้จึงมักจะมีคนพูดจาถากถางศิษย์พี่เจินจู
ั้แ่เจินจิ้งย้ายมาอยู่กับเหอตังกุยที่ห้องปีกซ้ายฝั่งตะวันออก ห้องครัวก็ไม่เคยส่งอาหารมาอีกเลย ไม่กี่วันก่อน เจินจิ้งหิ้วตะกร้าไปที่ห้องครัวสองสามครั้ง แต่ทุกครั้งก็ล้วนกลับมาด้วยตะกร้าที่ว่างเปล่า จากนั้นเป็ต้นมา เหอตังกุยจึงไม่ให้เจินจิ้งไปที่ห้องครัวอีก ด้านโรงกินข้าวของเหล่าแม่ชีก็ไม่อนุญาตให้เจินจิ้งใช้หม้อใส่กับข้าวใบใหญ่ของนางด้วยเช่นกัน เจินจิ้งเองก็หิวเป็ นางจึงไม่สามารถแบ่งอาหารของตนให้แก่เหอตังกุยได้เหมือนชาติที่แล้ว
เหอตังกุยแปลกใจยิ่งนัก แม้ในชาติที่แล้วจะมีแม่ชีไม่น้อยที่ไม่พอใจนางที่ทำให้วัดขาดกำไรไปหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง แต่พวกนางก็ไม่เคยทำเกินไปเช่นนี้ ทุกวันจะมีข้าวให้สองมื้อคือมื้อเช้าและเที่ยง เพียงพอเติมเต็มท้องให้อิ่มได้ เหอตังกุยไม่รู้ว่าเป็เพราะนางไปมาหาสู่กับจิ่นอีเว่ยหรือไม่ จึงทำให้เหล่าแม่ชีที่แอบชื่นชมพวกเขาอยู่เงียบ ๆ ไม่พอใจ เพราะเหอตังกุยไปขัดขวางเส้นทางของพวกนาง แต่ยังดีที่พวกนางอ่านเกี่ยวกับความเมตตาของนักบวชจึงไม่ได้คลุกข้าวใส่ยาพิษให้เหอตังกุยกิน
อย่างไรเสีย สำหรับเหอตังกุยผู้ผ่านการตายและเกิดใหม่มาแล้ว จึงไม่รู้สึกลำบากอะไรกับการกินผักเช่นนี้ ข้าวคลุกผักก็เพียงพอแล้วสำหรับนาง ถือเป็การชมเชยฝีมือการทำอาหารของตนด้วย
เหอตังกุยเอ่ยกับเจินจิ้งด้วยรอยยิ้มว่าจะชวนนางไปกินหมูสับนึ่งน้ำแดงและเป็ดย่างซูเว่ยที่ร้านฉวินเสียนในวันพรุ่งนี้
-------------------------------------------------------------------------------
[1] หม่าปู้ หมายถึงท่านั่งม้า เป็ตำแหน่งการยืนขั้นพื้นฐานในศิลปะการต่อสู้ของประเทศจีน
[2] สี่สรรพสิ่ง หมายถึงสิ่งที่ดี ร้าย มงคลและอัปมงคล