เจินจิ้งไม่คิดว่านั่นคือเื่จริง เหอตังกุยพูดล้อเล่นเป็แน่ แต่จู่ ๆ นางกลับนึกถึงเื่วุ่นวายที่เกิดขึ้นในวัดเมื่อเช้านี้ มีหรือจะสนว่ากับข้าวในถ้วยคืออะไร นางรีบเอ่ยกับเหอตังกุยเป็คุ้งเป็แคว
เช้านี้ขณะเจินจิ้งกลับจากตักน้ำแล้วเดินผ่านห้องโถง นางเห็นศิษย์พี่ศิษย์น้องมุงดูบางอย่างที่ประตูห้องโถงจนแน่นขนัด สีหน้าของพวกนางมีความสุขยิ่งนัก เจินจิ้งจึงเขย่งเท้ามองเข้าไปภายในนั้น ที่แท้ไหวตงกับไหวซินก็กำลังตบตีกันอย่างรุนแรงและดุเดือดต่อหน้าแม่ชีไท่ซั่น
เมื่อคืนหลังจากแม่ชีไท่ซั่นกลับไป นางขบคิดบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง ตราบใดที่ข่าวเื่ขโมยจี้ทองยังไม่แพร่กระจายสู่ภายนอกจนกระทบชื่อเสียงของวัด เื่นี้ก็คงไม่สำคัญเท่าไรนัก แต่เื่เพลิงไหม้นั้น เมื่อมีจิ่นอีเว่ยมาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าพวกเขาจะสรุปคดีเป็จงใจวางเพลิงหรือเป็อุบัติเหตุ นางจะต้องหา “แพะรับบาป” สักคนมาส่งจิ่นอีเว่ยให้ได้ พวกเขาจะได้ระบายอารมณ์ เช่นนี้วัดสุ่ยซังก็จะไม่ถูกโยงไปเกี่ยวข้องอีก ระหว่างไหวซินกับไหวตง แม่ชีไท่ซั่นเลือกไหวซิน เพราะเมื่อก่อนนางเคยช่วยเหลือแม่ชีไท่เฉิน ขัดหูขัดตาแม่ชีไท่ซั่นมานานแล้ว แม้ว่าไหวตงจะเป็คนขโมยจี้ทอง แต่ใครใช้ให้ลูกชายของนางพอใจในตัวไหวตงกันเล่า ขโมยของมิใช่เื่ใหญ่โตอันใด นางจึงอยากให้โอกาสไหวตงอีกสักครั้ง
แม่ชีไท่ซั่นจึงสั่งให้คนไปจับกุมไหวซิน ้าให้นางบอกว่าหลังจากที่นางทำกับข้าวเสร็จแล้วลืมดับไฟเป็ “เื่จริง” แต่ไหวซินไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม นางผลักโทษผู้ร้ายวางเพลิงให้แก่ไหวตงและ้าให้ไหวตงเผชิญหน้ากับนาง เมื่อไหวตงมาถึงก็ลากไหวซินไปคุยส่วนตัว ทั้งสองกระซิบกระซาบเสียงเบาต่อหน้าแม่ชีไท่ซั่นที่กำลังจับจ้องอยู่ ทำให้นางรู้สึกสงสัยยิ่งนัก ไม่รู้ว่าพวกนางกำลังวางแผนอันใดแน่
การเจรจาของไหวตงและไหวซินเป็ไปอย่างไม่ราบรื่น ทั้งสองเริ่มตบตีและด่าทอกัน
ไหวตงเผยว่าเห็นไหวซินกับหลิวเหลาจิ่วอยู่ด้วยกันสองต่อสองในห้องครัว ทุกเที่ยงคืนนางมักจะแอบเข้าห้องของหลิวเหลาจิ่วอย่างหน้าไม่อาย เมื่อฟ้าสางจึงจะออกมา แต่สิ่งที่ไหวซินเผยออกมานั้นน่าใยิ่งกว่า นางบอกว่าระดูของไหวตงไม่มาสองเดือนแล้ว อีกทั้งยังแอบต้มยาสมุนไพรกันแท้งอย่างลับ ๆ นางต้องมีความสัมพันธ์กับบุรุษภายนอกจนตั้งท้องแน่
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่แม่ชีไท่ซั่น เพราะหม่าไท่หลานชายของนางและไหวตงชอบพอกัน เมื่อหนึ่งปีก่อนเื่นี้กลายเป็ประเด็นร้อนขึ้นมา ตอนนี้พวกเขาอยู่ด้วยกันมานานแล้ว มีเื่เช่นนั้นเกิดขึ้นก็ไม่ถือว่าแปลกอันใด ใครจะรู้ว่าแม่ชีไท่ซั่นที่สีหน้าเปลี่ยนไปถึงเพียงนั้นจะเดินเข้ามาตบและทุบตีไหวตงโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด ทุกคนต่างแปลกใจ แม้ไหวตงจะท้องก่อนแต่ง แต่ก็เป็เืเนื้อเชื้อไขของแม่ชีไท่ซั่น อย่างมากที่สุดก็ลาสิกขาแล้วออกไปแต่งงาน เหตุใดต้องใช้ความรุนแรงตบตีนางเช่นนี้? หรือจะบอกว่า...
ทันใดนั้นเอง ไหวตงที่กำลังร้องห่มร้องไห้ก็ะโประโยคที่น่าใที่สุดด้วยเสียงอันดัง ทุกคนจึงได้ยินทั้งหมด
นางกล่าวว่า “ข้าจะบอกพวกเ้าให้นะ หม่าไท่มิใช่หลานชายของแม่ชีไท่ซั่น แต่เป็ลูกชายแท้ ๆ ของนางต่างหาก” ร่างของแม่ชีไท่ซั่นพลันสั่นสะท้าน ก่อนจะผลักไหวตงล้มลงไปกองกับพื้นแล้วใช้เท้าเหยียบใบหน้าของนาง ไหวตงก่นด่าแม่ชีไท่ซั่นว่าในอดีตแม่ชีไท่ซั่นนั้นทำผิดศีลธรรมมากมาย สุดท้ายสิ่งเ่าั้ก็ย้อนกลับมาที่ลูกชายของนาง ทำให้เกิดมาปัญญาอ่อนและไม่ใช่ผู้ชายอย่างแท้จริง
ทุกคนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเมื่อแม่ชีไท่ซั่นได้ยินว่าไหวตงท้อง นางจึงบันดาลโทสะถึงเพียงนี้ ที่แท้ท่านพี่ไท่ผู้นั้น...เป็ขันทีมาั้แ่เกิด
แม่ชีไท่ซั่นกวาดตามองรอบ ๆ พบว่าทุกคนในที่แห่งนี้กำลังมองนางด้วยสายตาเย้ยหยัน บ้างก็ชี้นิ้วมาที่นางพลางกระซิบบางอย่าง ชั่วพริบตาแม่ชีไท่ซั่นก็โมโหจนเป็ลมไป หลังจากไหวตงเช็ดเืบนใบหน้าแล้ว นางก็อาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังก้าวออกมาเพื่อเว้นช่องว่างให้แม่ชีไท่ซั่น วิ่งออกไปจากประตูห้องโถง ก่อนจะออกจากวัดสุ่ยซังแห่งนี้พร้อมห่อผ้าขนาดใหญ่
อีกด้านหนึ่ง ไหวซินแอบเข้าไปหาหลิวเหลาจิ่วที่ห้องครัว หวังให้เขาพานางหนีไปด้วย ทว่าหลิวเหลาจิ่วกลับไม่ได้อยู่ที่นั่น นางจึงไปดูที่ห้องของหลิวเหลาจิ่วพบว่าทั้งคนและของต่างก็หายไปเสียแล้ว ไหวซินร้องห่มร้องไห้อย่างหนัก เมื่อรู้ว่าตนไม่สามารถอยู่ในวัดสุ่ยซังได้อีกต่อไป นางจึงเก็บข้าวของลงจากเขา
เมื่อแม่ชีไท่ซั่นฟื้นก็ได้ยินว่าไหวตงหนีไปพร้อมสัมภาระ นางจึงรีบร้อนวิ่งไปที่ห้องเก็บของ บอกให้เจินจูเรียกคนมาทำลายโซ่พันธนาการประตูด้วยขวาน ค้นหาสมุดบัญชีและตั๋วเงินทั้งหมด ตรวจสอบให้ละเอียด เมื่อตรวจสอบได้ครึ่งหนึ่งจึงพบว่าเงินหายไปสี่สิบกว่าตำลึง เทียนและน้ำมันหอมก็หายไปสิบห้าจิน เหล่าแม่ชีที่เคยอิจฉาไหวตงที่ได้งานดีและมีเงินเดือนสูงนั้นต่างออกมาเยาะเย้ยดูถูกแม่ชีไท่ซั่นไม่หยุด คำพูดคำจาถากถาง ไม่มีความเคารพเช่นแต่ก่อน ทำให้แม่ชีไท่ซั่นสลบไปอีกครั้ง
เจินจูเรียกให้คนช่วยพาแม่ชีไท่ซั่นกลับห้อง ขณะเดียวกันก็ให้หาโซ่เส้นใหม่มาล็อกประตูให้เรียบร้อย ระหว่างรอแม่ชีไท่ซั่นฟื้นก็ตรวจบัญชีไปด้วย ขณะกำลังยุ่งจนงานล้นมือ ไหวเวิ่นก็วิ่งเข้ามากะทันหัน ก่อนจะกระซิบข้างหูเจินจูว่าตระกูลหลัวมารับคุณหนูเหอแล้ว
เจินจูปาดเหงื่อบนหน้าผาก เมื่อคิดถึงคำที่เหอตังกุยเคยพูดว่าหากนางไปก็จะพาเจินจิ้งไปด้วย ทว่าเจินจิ้งเป็แรงงานไร้ความสามารถ ต้องทำงานอยู่ในวัดเพราะติดหนี้ค่าเช่าที่นา หากแม่ชีไท่ซั่นฟื้นแล้วรู้เื่นี้ แม้นางจะไม่กล้าไปหาเื่ตระกูลหลัว แต่นางสามารถลงเขาไปโวยวายกับพ่อแม่ของเจินจิ้งได้ เจินจูคิดดังนั้นจึงทิ้งทุกอย่างแล้ววิ่งไปที่ห้องของตน
เจินจูจำได้แม่นยำ ตอนที่เจินจิ้งมาที่วัดใหม่ ๆ ครอบครัวนางติดหนี้ค่าเช่านาอยู่สองปีด้วยพื้นที่นาห้าหมู่ รวมเงินทั้งหมดสามสิบสองตำลึง ตอนนี้ก็ห้าปีแล้ว หากคำนวณดอกเบี้ยตามร้านปล่อยเงินกู้ของราชสำนัก รวมทั้งต้นและดอกเท่ากับสี่สิบเก้าตำลึง แต่หากคำนวณดอกเบี้ยตามร้านจำนำทั่วไปก็จะสูงขึ้นมาหน่อย ประมาณแปดสิบตำลึง แต่หากคำนวณดอกเบี้ยตามความคิดชั่วร้ายของแม่ชีไท่ซั่น หากไม่มีเงินสามสิบ สี่สิบตำลึง เจินจิ้งก็จะไม่สามารถออกไปจากวัดแห่งนี้ได้ แม้วันนี้นางจะกลับไปที่ตระกูลหลัว แต่ด้วยนิสัยของแม่ชีไท่ซั่น นางไม่มีทางยอมจบเื่นี้โดยง่ายเป็แน่
เจินจูถอนหายใจ หลังจากนางฟ้องหย่าอดีตสามีในปีนั้น นางได้รับโฉนดที่ดินและเงินหนึ่งพันตำลึง ทั้งหมดนี้ล้วนเก็บไว้ในคลังเงินที่เมืองหยางโจว นางคิดว่าจะใช้เงินก้อนนี้เลี้ยงชีพในยามแก่เฒ่า ตอนนี้นางมีเงินเพียงสี่สิบตำลึงเท่านั้น อีกทั้งยังอยู่ในร้านเงินของเมืองตู้เอ๋อร์ที่เชิงเขา สี่ปีมานี้ใช้จ่ายกับของต่าง ๆ จึงเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง เงินที่หยางโจวก็อยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน ทำอย่างไรเจินจิ้งจึงจะออกไปจากวัดได้อย่างราบรื่น? เจินจูที่คิดอะไรไม่ออกนำห่อผ้าเล็ก ๆ ที่นางเก็บไว้ในห้องออกมา นางไม่ชอบแต่งตัวจึงมีเครื่องประดับอยู่น้อยนิด เข็มกลัดผมและกำไลทองแดงก็คงขายได้ไม่ถึงสิบตำลึง
ทันใดนั้น เจินจูก็นึกถึงใบหน้ามั่นใจของเหอตังกุยตอนที่ได้พบครั้งแรก ในหัวใจพลันเกิดแสงสว่าง เหอตังกุยอาจคิดหาหนทางดี ๆ ออกแล้วกระมัง? ดังนั้นเจินจูจึงถือห่อผ้าวิ่งไปที่ห้องปีกซ้ายฝั่งตะวันออก เพื่อดูว่าทางนั้น้าความช่วยเหลืออะไรหรือมีตรงไหนที่ต้องใช้เงินหรือไม่
เมื่อเหอตังกุยได้ยินว่าตระกูลหลัวจะมารับนางกลับไป ความคิดแรกคือนางจะยังไม่พาเจินจิ้งกลับไปด้วย
เมื่อคืนเหอตังกุยก่อเื่วุ่นวายไว้กับแม่ชีไท่ซั่น ทั้งสองต่างถอดหน้ากาก “รักใคร่ฉันมิตร” ออก สายตาที่มองกันและกันเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด แม่ชีไท่ซั่นเกลียดที่เหอตังกุยฉลาดและไม่ยอมรับโทษผู้ร้ายวางเพลิงไปแต่โดยดี สิ่งที่เหอตังกุยเกลียดแม่ชีไท่ซั่นคือความเกลียดชังที่ติดตามมาแต่ชาติปางก่อน ไม่ต้องพูดถึงการทรมานทุกรูปแบบของแม่ชีไท่ซั่นตอนที่นางยังเด็ก ขอเพียงนึกถึงเหตุการณ์ในจวนอ๋องหนิงเมื่อปีนั้น ในใจของเหอตังกุยก็คิดหาวิธีตายมากมายให้แก่แม่ชีไท่ซั่นได้เสียแล้ว
ทุกคนคิดว่าเจินจิ้งเป็พวกเดียวกับเหอตังกุย หากนางกลับตระกูลหลัวแล้วทิ้งเจินจิ้งไว้คนเดียว สภาพของเจินจิ้งจะเป็อย่างไรนั้นก็สามารถจินตนาการได้ เมื่อเห็นท่าทางเซ่อซ่าไร้เดียงสาของนาง เหอตังกุยจึงตัดสินใจทิ้งโอกาสกลับตระกูลหลัวครั้งนี้ เพื่อรอโอกาสที่เหมาะสมกว่าในอนาคต
เมื่อเหอตังกุยและเจินจิ้งกินข้าวคลุกผักเรียบร้อยแล้ว นางจึงเปลี่ยนสวมชุดสีเหลืองแล้วตัดสินใจไปที่ลานขู่เฉียว ไม่ว่า้าเงินหรือ้าเจินจิ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่ที่แม่ชีไท่ซั่น
เจินจูเดินไปที่ห้องเก็บของเป็อันดับแรก ก่อนจะพบว่ากลอนประตูอันใหม่เสร็จแล้ว กลุ่มฝูงชนที่มุงดูกันแน่นขนัดต่างก็พากันแยกย้ายออกไป
นางจึงเดินไปที่ประตูใหญ่หน้าวัดด้วยฝีเท้าที่ไม่ช้าไม่เร็วนัก มองเห็นหญิงชราสองคนที่อยู่หน้าเกี้ยวสีเทาคันเล็กมาแต่ไกล หนึ่งในนั้นยืนเขย่าขาและเท้าไม่หยุดคล้ายอดทนรอไม่ไหวเสียแล้ว
เจินจูเห็นดังนั้นจึงอดตะลึงงันไม่ได้ เกี้ยวสีเทาคันเล็กนั้นไม่เหมือนเกี้ยวของตระกูลหลัว หากแต่เหมือนเกี้ยวรับจ้างขนของราคาหนึ่งพันเหรียญเงินต่อหนึ่งชั่วยามที่ตีนเขาเสียมากกว่า
เป็ดังคาด เมื่อเจินจูเดินเข้าไปใกล้ก็พบชายไม่สวมเสื้อสามคนกำลังนั่งยอง ๆ สูบบุหรี่อยู่ เมื่อทั้งสามพบว่ามีแม่ชีสาวผมยาว รูปร่างผอมเพรียวและมีใบหน้างดงามเดินออกมาก็จ้องมองพิจารณานางอย่างเปิดเผย ในที่สุดสายตาของพวกเขาก็เพ่งมองไปที่จุดจุดหนึ่ง
เกาต้าซานที่แต่งตัวเหมือนหญิงรับใช้ เดิมทีกำลังขมวดคิ้วใช้ไม้จิ้มฟันแคะฟันอยู่ เมื่อเห็นเจินจู รอยยิ้มก็พลันระบายขึ้นมาบนใบหน้าของนาง
เจินจูอดถามไม่ได้ว่า “ตระกูลหลัวมิได้ส่งเกี้ยวประจำตระกูลมารับคุณหนูเหอหรือ? พวกเ้าจะให้นางนั่งเกี้ยวคันนี้ลงเขาเช่นนั้นหรือ? นี่เป็คำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลหลัวใช่หรือไม่?” เมื่อถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงเ็าของนางแฝงการตำหนิอยู่ไม่น้อย
เจินจูเคยอยู่ในตระกูลร่ำรวยมาก่อน นางล้วนรู้กฎมากมายของตระกูลใหญ่ดี
หนึ่งในนั้นคือกฎการนั่งเกี้ยว เกี้ยวของคุณหนูที่ยังไม่ได้ออกเรือนจะต้องเป็หญิงรับใช้ที่มีร่างกายแข็งแรงเป็คนแบก หากคนรับใช้ไม่เพียงพอจำต้องให้บุรุษทำหน้าที่ยกเกี้ยวแทน แต่บุรุษเ่าั้ต้องอยู่ห่างจากเกี้ยว เมื่อคุณหนูเข้าเกี้ยวแล้วจึงจะลากเกี้ยวกลับไปได้ ขณะลงเกี้ยวก็เช่นกัน พวกเขาจะต้องออกไปแล้วให้คุณหนูออกมาก่อน ชายเ่าั้จะไม่มีวันได้เห็นหน้าของสตรีผู้นั้นเป็อันขาด
คงไม่ต้องเอ่ยถึงตระกูลใหญ่เช่นตระกูลหลัวที่มีกินมีใช้เหลือเฟือ แม้แต่ตระกูลที่เปิดโรงเตี๊ยมเช่นตระกูลสามีเก่าของนางก็ยังปฏิบัติตามกฎนี้อย่างเคร่งครัด
เจินจูจำได้ชัดเจน มีครั้งหนึ่งที่ “อดีต” น้องสะใภ้รีบร้อนลงจากเกี้ยวทันทีที่เกี้ยวหยุด ไม่รอให้ชายลากเกี้ยวจากไป นางก็ออกมาเสียแล้ว ทั้งยังสะดุดล้มและได้คนลากเกี้ยวนั้นรับเอาไว้ ต่อมา “อดีต” แม่สามี ทราบเื่เข้าจึงเดือดดาลมาก แม้แต่เจินจูก็พลอยถูก “อดีต” สามีตำหนิไปด้วย
ในครอบครัวที่ร่ำรวย มีเพียงสตรีที่ออกเรือนแล้ว ฮูหยินหรืออนุภรรยาที่ให้กำเนิดบุตรแล้วที่สามารถหลีกเลี่ยงธรรมเนียมและเป็อิสระจากกฎตายตัวของการหลบเลี่ยงชายลากเกี้ยวได้ แต่สตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือน หากถูกพบเห็นว่าทำผิดกฎก็จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงอย่างมหาศาล ในอนาคตเมื่อกล่าวถึงการแต่งงานก็จะมีจุดด่างพร้อย ทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์ได้
เกาต้าซานยิ้มเยาะ “ท่านแม่ชีเจินจู นี่ไม่ใช่ปัญหาของข้า ข้าเพียงทำหน้าที่ของข้าเท่านั้น มีเกี้ยวให้นั่ง ใครจะไม่อยากนั่งเล่า แต่ตระกูลหลัวไม่ได้ส่งเกี้ยวมารับนางน่ะสิ” เมื่อกล่าวจบก็เขยิบไปใกล้เจินจู ก่อนเอ่ยเสียงเบา “นั่น...ติงหรง เป็คนรับใช้ของฮูหยินใหญ่ นางบอกว่าฮูหยินใหญ่งานยุ่งและปวดหัวหนัก เหตุนี้จึงไม่อยากรบกวนนางด้วยเื่เล็กน้อย พวกเราจึงมารับคุณหนูเหอด้วยตัวเอง ที่น่าขบขันกว่านั้นคือเงินค่าจ้างเกี้ยวนี้ก็เป็เงินเก็บของข้า ยังไม่รู้เลยว่าเมื่อกลับไปแล้วทางห้องบัญชีจะคืนเงินส่วนนี้ให้หรือไม่...”
เจินจูได้ยินดังนั้นก็ทั้งโกรธทั้งขบขัน โลกใบนี้มีเื่เช่นนี้ด้วยหรือ
เกรงว่าเกี้ยวในตระกูลหลัวจะมีมากกว่าสามสี่ร้อยคันกระมัง แต่กลับไม่สามารถส่งมารับคุณหนูของตระกูลได้เชียวหรือ? หญิงรับใช้ของตระกูลหลัวมีอย่างน้อยหนึ่งพันคน จัดสรรมายกเกี้ยวให้นางสักสามคนก็ไม่ได้เชียว? แม้จะมีคนจงใจปฏิบัติต่อคุณหนูต่างสกุลอย่างโหดร้ายเพียงใด แม้คนในจวนตระกูลจะปฏิบัติเยี่ยงไร แต่สุดท้ายก็ยังเป็ครอบครัวเดียวกัน พวกเขาคงไม่ทำเกินไปเช่นนี้ต่อหน้าสาธารณชนหรอกกระมัง? หรือแม้แต่ชื่อเสียงของตระกูลหลัวก็ไม่้าเสียแล้ว?
สิ่งที่เจินจูไม่รู้คือเื่นี้ยังมีเหตุผลอื่น ฮูหยินรองของตระกูลหลัวไม่ชอบเหอตังกุยมานานหลายปีแล้ว และเื่นี้ก็ไม่ได้ปิดเป็ความลับ เย็นวันถัดไปหลังจากเหอตังกุยตายแล้วฟื้นกลับมา คุณชายแปดผู้เป็น้องชายแท้ ๆ ของฮูหยินรองก็เสียชีวิตลงกะทันหัน
ฮูหยินรองซุนซื่อเป็บุตรสาวของอนุแห่งตระกูลซุน มารดาของนางไม่เคยได้รับความโปรดปรานจากบิดาหลังจากที่อายุมากขึ้นและแห้งเหี่ยวไปตามกาลเวลา น่าแปลกใจที่นางให้กำเนิดบุตรชายตอนอายุสี่สิบสามปี เขาคือลูกชายที่เกิดมาขณะที่นายท่านซุนอายุมากแล้ว ดังนั้นนายท่านซุนจึงเอ็นดูรักใคร่คุณชายแปดเป็อย่างมาก ทั้งยังให้ความสำคัญแก่มารดาและพี่สาวของคุณชายแปดไม่น้อย แต่เมื่อคุณชายแปดตายั้แ่เยาว์วัย มารดาของซุนซื่อจึงร้องห่มร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ นายท่านซุนก็ปิดประตูห้องหนังสือไม่ยอมพบหน้าผู้ใด
เมื่อพิธีศพสิ้นสุด ซุนซื่อก็กลับมาที่ตระกูลหลัว เมื่อเข้าไปในเรือน สิ่งแรกที่นางได้ยินคือคุณหนูสามที่ตายจากโลกนี้ไปแล้วฟื้นคืนชีพ ในสวนหลายที่ฉลองด้วยการตกแต่งโคมไฟและผ้าประดับหลากสี นั่นทำให้นางเดือดดาลในทันที
หลังจากนั้น เหล่าไท่ไท่ก็ส่งคนไปขอให้ซุนซื่อกลับมาดูแลจัดการจวนอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ขอให้ซุนซื่อส่งคนไปรับคุณหนูสามที่วัดสุ่ยซังกลับจวนโดยเร็วที่สุด อีกทั้งยังให้บริจาคเงินค่าน้ำมันหอมแก่วัดสุ่ยซังเพิ่มอีกสักหน่อย เพื่อขอบคุณทวยเทพที่ปกปักรักษาลูกหลานตระกูลหลัว หลังจากคนที่มาถ่ายทอดคำพูดของเหล่าไท่ไท่กลับไปแล้ว ซุนซื่อก็คว่ำโต๊ะตรงหน้าลงทันที น้องชายของนางตายอย่างกะทันหันแต่ตัวซวยผู้นั้นกลับตายแล้วฟื้น นี่มันยุติธรรมตรงไหนหรือ?!