“ท่านแม่ชีเจินจู เมื่อไหร่คุณหนูสามจะออกมาเ้าคะ? ข้ากับติงหรงเจียให้คนไปแจ้งราวครึ่งชั่วยามแล้ว ค่าจ้างเกี้ยวคันนี้คือหนึ่งพันเหรียญเงินต่อหนึ่งชั่วยาม เ้าดูนางคนนั้น...” เกาต้าซานบุ้ยปากเชิดคางไปทางติงหรงที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก พลางเอ่ยบอกเจินจูเสียงเบา “นางเป็หูเป็ตาให้ฮูหยินรอง ไม่ว่านางรู้เื่อะไรก็จะนำไปบอกฮูหยินรองทั้งหมด...”
เมื่อเจินจูมองตามไปก็พบสตรีอายุห้าสิบปีกว่าเห็นจะได้ ใบหน้าซีดเผือด รูปร่างผอมและสวมใส่เสื้อผ้าชั้นดี
ติงหรงมองไปยังคนที่เดินออกมาจากประตูวัดสุ่ยซังอย่างใจจดใจจ่อ นางช้อนสายตาแล้วเอ่ยปากถาม “สตรีนางนั้นเตรียมตัวเสร็จหรือยัง เมื่อไหร่จะออกเดินทาง ข้ายุ่งจนงานล้นมือแล้ว จะล่าช้ากว่านี้ไม่ได้อีก”
เจินจูคลี่ยิ้มบางพลางหันไปกล่าวกับเกาต้าซาน “ท่านป้าเกา วันนั้นพวกท่านรีบร้อนจากไปเร็วนัก ข้าเองก็ไม่รีบเอ่ยคำที่คุณหนูเหอบอกไว้ก่อนหน้านี้ให้ชัดเจน ช่างน่าตีเสียจริง คุณหนูเหอบอกข้าไว้ว่านางอยากอยู่ที่วัดสุ่ยซังจนถึงวันที่สิบเจ็ดของเดือนนี้ วันนี้เพิ่งจะวันที่สิบสาม นางจึงไม่สามารถจากไปได้ ขออภัยที่ทำให้พวกท่านต้องเสียเวลาเ้าค่ะ”
เกาต้าซานตะลึงงันไปในทันที พลางหันกลับไปมองติงหรง
ติงหรงแค่นเสียงเ็า “นางไปไม่ได้อย่างนั้นหรือ? น่าแปลกใจยิ่งนัก ถือดีมาจากไหนกัน? ฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่ที่บ้านคิดถึงและรอคอยนางกลับมาทุกวัน พร่ำบอกว่านางทั้งรู้ความทั้งกตัญญู แต่สตรีผู้นี้...ทั้งที่เกี้ยวมาถึงหน้าประตูแล้วกลับบอกว่าอยากจะอยู่ต่ออีกสองสามวัน ตรงไหนกันที่นับว่ากตัญญู? ตามความเห็นของข้า นางดีได้ไม่ถึงครึ่งของคุณหนูรองเลย”
เจินจูยิ้มบางแต่ยังคงไม่สนใจนางเช่นเคย จากนั้นก็จูงมือเกาต้าซานเข้าไปในประตูวัด เอ่ยอำลาเสียงเบาก่อนจะยัดเงินให้นางสองก้วน[1]
เมื่อเกาต้าซานได้ฟังก็พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง พลางยิ้มหน้าบานแล้วเก็บเงินไว้ตรงหน้าอกด้านในเสื้อ ก่อนจะกล่าวลาเจินจู
เกาต้าซานเดินออกไปจากวัดแล้วเอ่ยกับชายลากรถสามคนที่กำลังพ่นควันบุหรี่ “ที่นี่ไม่จำเป็ต้องใช้พวกเ้าลากเกี้ยวอีกแล้วล่ะ พวกเ้าลงเขาไปเถอะ เงินหนึ่งพันเหรียญที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ก็ถือเสียว่าเป็เงินเลี้ยงเหล้า” พูดจบก็หันไปมองติงหรงที่กำลังจ้องนางด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ “จ้องข้าอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ คุณหนูสามยังไม่อยากกลับ หรือพวกเราจะไปมัดตัวนางให้กลับไปด้วยกัน? อีกอย่างการฟังบทสวดในวัดทุก ๆ วันก็มีประโยชน์ต่อการบำรุงร่างกาย พวกเรารีบลงจากเขาตอนที่ฟ้ายังสว่างดีกว่า”
......
ภายในลานขู่เฉียว เหอตังกุยและแม่ชีไท่ซีเดินออกมาพร้อมกัน
เหอตังกุยหยุดตรงหน้าประตูใหญ่ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ชีส่งเพียงเท่านี้ก็พอแล้วเ้าค่ะ ข้าน้อยเกรงใจ”
“อวยพรให้เ้ามีความสุข” แม่ชีไท่ซีโบกแส้หางม้าไปด้านหลังแล้วโค้งคำนับ แล้วเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ “คุณหนูเหอมีจิตใจเมตตา ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างใจกว้าง บุญกุศลครั้งนี้จะส่งเสริมให้เ้าโชคดีไม่มีที่สิ้นสุด เื่นี้คงต้องรบกวนเ้าแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณเ้ามาก”
เหอตังกุยยิ้มแย้มแจ่มใส “ท่านแม่ชีช่วยเหลือข้าหลายครั้ง ท่านจะขอบคุณข้าทำไมกัน? ท่านแม่ชีมีจิตใจเมตตา เื่นี้ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ ท่านส่งข้าเพียงเท่านี้เถิด” เมื่อกล่าวจบก็ก้าวออกไปจากลานขู่เฉียว แม่ชีไท่ซีมองแผ่นหลังของนางจนกระทั่งนางเลี้ยวผ่านมุมกำแพงลับตาไป
เหอตังกุยมีความสุขมาก ฝีเท้าของนางก็เบาสบายลงไม่น้อย
นางไม่ได้คาดหวังว่าเื่ราวจะราบรื่นเพียงนี้ ลงมือครั้งเดียวก็สำเร็จถึงสองเื่ ตอนนี้เพียงลงเขาไปหาคนขนย้ายของที่ไว้ใจได้สักสองสามคน ด้วยเหตุที่ว่าไม่สามารถใช้แม่ชีในวัดได้ วิธีนี้จึงทำให้เจินจิ้งไปกินหมูสับนึ่งน้ำแดงและเป็ดย่างตามคำพูดก่อนหน้านี้ได้ อีกทั้งจะได้ซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับด้วย...
ขณะเดินผ่านป่าไผ่ในสวนแห่งหนึ่ง สายตาของนางเหลือบเห็นร่างสวมชุดสีแดงพุ่งเข้ามา เหอตังกุยจึงชะงักฝีเท้าทันที จู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นในหัวใจของนาง
คนผู้หนึ่งยืนพิงอยู่ข้างต้นไผ่สีเขียวขจีไม่ใกล้ไม่ไกลนัก เขาหันหน้าไปทางถนนที่นางกำลังเดิน เสมือนเป็การขวางทางนางไปด้วย ความอบอุ่นอ่อนโยนและใบหน้าที่หล่อเหลาปานเทพบุตรยังเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็ ทว่ารอยยิ้มสดใสเจิดจ้านั้นไม่เหมือนในอดีต กลับเป็ความโศกเศร้าเข้ามาแทนที่
เหอตังกุยลังเลไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ ต้วนเสี่ยวโหลวก็หันหน้ามาทางนาง แววตาคู่นั้นจับจ้องนางไม่ละสายตา
ทั้งสองนิ่งเงียบไปชั่วขณะ
ใบไม้ร่วงโรยราวหยาดฝน เมื่อลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านพวงแก้ม หัวไหล่ แขนเสื้อและเส้นผมยาวสลวยของทั้งสอง วินาทีนั้นราวกับเวลาหยุดหมุนชั่วนิรันดร์
ทันใดนั้น ต้วนเสี่ยวโหลวก็หายไปจากที่ที่เขายืน แต่กลับมาโผล่ที่เบื้องหน้าของเหอตังกุย นางใจนเผลอถอยหลังครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว ทว่าถูกต้วนเสี่ยวโหลวจับไหล่ซ้ายเอาไว้ เขาเดินเข้ามาใกล้อีกครึ่งก้าว ก่อนจะโน้มตัวและก้มหัวลงอย่างช้า ๆ
ร่างของนางไม่สูงนัก ศีรษะของนางสูงเพียงหน้าอกของเขา
ร่างกายบอบบางของนาง ราวจะปลิวออกไปเมื่อมีลมโชย
ความฉลาดและเยือกเย็นของนาง ทำให้คนสงสารและอยากทะนุถนอม
ความเข้มแข็งและดื้อรั้นของนาง ทำให้คนรักใคร่และเกลียดชัง
อายุของนางที่ยังน้อยเช่นนี้ ดูเหมือนจะเกิดช้ากว่าเขาไปสิบสามปี
ต้วนเสี่ยวโหลวก้มหน้าลงหยิบใบไผ่ที่ติดบนเส้นผมบริเวณหูของนางออกอย่างเบามือ สายตาอ่อนโยนจับจ้องเด็กสาวที่กำลังระวังตัว พลางเอ่ยด้วยความเศร้าใจ “ใบไผ่...ติดอยู่บนเส้นผมของเ้า”
นางมิได้เอียงศีรษะหลบ นางเห็นแววตาดำขลับของตนในแววตาของเขา แววตาที่ไร้เดียงสานั้นของตน...
ต้วนเสี่ยวโหลวถอยออกไปเงียบ ๆ ครึ่งก้าวพลางยกยิ้ม ทว่าสายตาคู่นั้นเศร้าหมองนัก เหอตังกุยก้มหน้าลงก่อนจะเอ่ยขอบคุณเสียงแ่ ต้วนเสี่ยวโหลวมิได้กล่าวอันใดอีก ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบพักใหญ่
“เ้า...” “ข้า...”
ทั้งสองเอ่ยขึ้นและหยุดลงในเวลาเดียวกัน ต้วนเสี่ยวโหลวใช้สายตาเป็เชิงให้นางเอ่ยก่อน ริมฝีปากบางเปิดออกถึงสองครั้งจนในที่สุดก็พูดออกมา “เื่เพลิงไหม้เมื่อคืนนี้ พวกท่านปิดคดีเลยได้หรือไม่ ทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน... แม่ชีไท่ซีวานข้าให้มาถามพวกท่าน”
ต้วนเสี่ยวโหลวมองนางด้วยสายตาครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยตอบช้า ๆ “คำขอของเ้า ข้าไม่สามารถปฏิเสธได้”
เหอตังกุยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทันใดนั้นก็พลันสังเกตเห็นในมือต้วนเสี่ยวโหลวกำลังเล่นพัดหยกสีเขียวมรกต นิ้วเรียวยาวเมื่ออยู่ในพัดหยกสีเขียวช่างเป็ความงดงามที่สมบูรณ์แบบ สายตาของเหอตังกุยย้ายไปมองหน่อไม้ที่อยู่บนพื้นก่อนจะกล่าวลา “มืดแล้ว ข้าต้องกลับห้องแล้วเ้าค่ะ”
ต้วนเสี่ยวโหลวพยักหน้า “ข้าไปส่ง” เมื่อกล่าวจบ เขาไม่รอให้นางเอ่ยอันใดก็เป็ฝ่ายเดินนำหน้าไปเสียก่อน เมื่อใบไม้ที่ร่วงสู่พื้นถูกรองเท้าเหยียบก็เกิดเสียงดัง “สวบ ๆ ” เหอตังกุยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามไป
“จริงสิ แม่ของเ้าส่งจดหมายกลับมาแล้ว” ต้วนเสี่ยวโหลวล้วงจดหมายออกมาจากอก ก่อนจะส่งให้เหอตังกุยพลางเอ่ย “จดหมายฉบับนี้ส่งมาถึงเมื่อเช้า คนที่มาส่งบอกว่ามารดาของเ้านั่งสมาธิอยู่ในวัดซานชิงตลอด ไม่ว่าเขาจะเอ่ยอย่างไร แม่ชีผู้นั้นก็ไม่ยอมนำข่าวจากด้านนอกเข้าไป เขาจึงทำได้เพียงอยู่ที่วัดซานชิงสองสามวัน รอจนกระทั่งมารดาของเ้าออกจากสมาธิ จึงนำจดหมายส่งให้นางด้วยมือของตัวเอง”
ความปีติทอประกายบนใบหน้าของนางอย่างเห็นได้ชัด นางรับจดหมายพลางเอ่ยขอบคุณไปด้วย ทว่านางกลับไม่ได้สังเกตใบหน้าของต้วนเสี่ยวโหลวที่อยู่เหนือศีรษะ ซึ่งกำลังจ้องมองใบหน้าของนางด้วยความเซ่อซ่า นางเฝ้ารอจดหมายตอบกลับฉบับนี้อยู่หลายวัน ในที่สุดก็มาถึงมือแล้ว นางทนรอเปิดอ่านไม่ไหว จึงหยุดเดินแล้วฉีกซองจดหมายสีขาวดุจหิมะออก
กระเป๋าผ้าปักลายที่บรรจุเส้นผมเอาไว้ในนั้นและภาพวาดจวนหลังหนึ่งล้อมรอบด้วยกำแพงสูง ภายในลานบ้านของจวนมีต้นหม่อนและใบไม้ที่แห้งเหี่ยวถูกสายลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่าน
ในภาพวาดมีบทกวีเขียนไว้ “ก่อนที่ต้นหม่อนจะผลัดใบ มันสวยงามและเขียวขจีมากเพียงใด เ้านกเขาลายเอ๋ย อย่ากินลูกหม่อนบนต้นเลย”
เหอตังกุยอ่านอย่างละเอียดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในใจรู้สึกผิดหวัง ท่านแม่หนอท่านแม่ เหตุใดต้องเสียใจ เสียความรู้สึกกับคนที่ไม่คู่ควรอยู่ร่ำไป? แม้ผู้อื่นจะไม่จริงใจ ไม่ซื่อสัตย์กับท่าน แต่ท่านยังมีลูกสาวอีกหนึ่งคน ท่านแม่...ลูกสาวของท่านกลับมาจากอีกภพหนึ่งเพื่อมาหาท่าน เหตุใดคำห่วงใยแม้แต่คำเดียวก็ไม่เขียนให้นาง? ท่านรู้หรือไม่ว่าลูกสาวของท่านคิดถึงท่านมากเพียงใด นางปีนออกมาจากขุมนรกในอีกสิบแปดปีข้างหน้า เื่แรกที่นางคิดถึงก็คือจะทำอย่างไรให้ชีวิตท่านดีขึ้น
เมื่อเห็นเหอตังกุยแปลกไปจากเดิม ราวกับอยากจะร้องไห้ออกมาก็ไม่ปาน ต้วนเสี่ยวโหลวจึงก้มหน้ามองภาพ ๆ นั้นด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะช้อนสายตามองใบหน้าของนาง พลางเอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง “เ้าไม่เป็อะไรใช่หรือไม่? ในนี้มีเพียงภาพวาดภาพเดียว ไม่มีจดหมายที่มารดาของเ้าเขียนเองกับมือหรือ? เ้าไม่ต้องร้อนใจ หากเ้าอยากเขียนจดหมายให้นาง ข้าจะรีบส่งคนไปทันที”
เหอตังกุยส่ายหน้า “ขอบคุณมากเ้าค่ะ แต่ไม่จำเป็แล้ว” ต้วนเสี่ยวโหลวถอนหายใจเงียบ ๆ
ทั้งสองเดินไปด้วยความเงียบงันตลอดทาง เหอตังกุยนำภาพวาดและกระเป๋าผ้าปักลายใส่กลับไปในจดหมาย นางพยายามอดกลั้นความเสียใจไว้ ขณะเดินผ่านประตูวัดก็พบว่ามีกลุ่มคนแน่นขนัดกำลังพูดคุยเสียงดังจอแจ เหอตังกุยจึงได้สติกลับมาพลางมองด้วยความสงสัย ก่อนจะพบว่าในกลุ่มนั้นส่วนใหญ่เป็แม่ชีสวมชุดนักบวชสีเทา มีขุนนางในชุดสีน้ำเงินหลายคนปะปนอยู่ด้วย พวกเขากำลังทะเลาะกันไม่หยุดด้วยสาเหตุบางอย่าง
เหอตังกุยเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “พวกเขาทำอะไรกันอยู่เ้าคะ?”
ต้วนเสี่ยวโหลวกำลังจะเอ่ยตอบ ทว่าแม่ชีไท่ซั่นพลันวิ่งโผเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้า นางไม่ได้คุกเข่าให้ต้วนเสี่ยวโหลวแต่เป็เหอตังกุย แม่ชีไท่ซั่นร้องไห้กอดขาเหอตังกุยพลางกล่าว “คุณหนูเหอ ช่วยพวกเราด้วย อย่าเผาหลักฐานการจ่ายเงินของข้า ช่วยข้าด้วย”
เหอตังกุยกำลังจะเอ่ยถามแต่กลับหันไปเห็นเกาเจวี๋ยอยู่ท่ามกลางฝูงชน ในมือของเขาถือคบไฟ ข้างกายมีสมุดและกระดาษกองพะเนินราวห้าหกฉื่อ คนสวมชุดทหารที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ทำให้กองหนังสือเ่าั้อยู่ห่างจากฝูงชน ทันใดนั้นเกาเจวี๋ยก็กวาดตามองมาที่พวกเขา เหอตังกุยรู้สึกว่าคนที่เขามองอยู่นั้นคือตน ในใจเกิดความไม่เข้าใจยิ่งนัก ขณะเดียวกันไฟในมือของเขาก็พลันร่วงหล่นลงไปอย่างช้า ๆ ...
แม่ชีไท่ซั่นร้องโหยหวนจนแสบแก้วหู มือที่จับขาของเหอตังกุยพลันออกแรงมากขึ้นจนนางเจ็บ เหอตังกุยขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าถามต้วนเสี่ยวโหลว “ที่ใต้เท้าเกากำลังจะเผาคือสิ่งใดหรือเ้าคะ?”
ต้วนเสี่ยวโหลวเอ่ยเบา ๆ อย่างมีเลศนัย “ของเ่าั้ล้วนเป็ของที่ไม่ควรอยู่ในวัด พวกเขาค้นเจอเมื่อคืนนี้”
เหอตังกุยเลิกคิ้ว นางกำลังจะเอ่ยบางอย่างแต่แม่ชีไท่ซั่นก็เขย่าร่างของเหอตังกุยอย่างแรง ราวกับจะดึงนางให้ล้มลงกับพื้น โชคดีที่ต้วนเสี่ยวโหลวประคองนางไว้ทัน แม่ชีไท่ซั่นกรีดร้องเสียงแหลมอย่างบ้าคลั่ง “รีบพูดช่วยข้าเร็วเข้าสิ คุณหนูเหอ ช่วยข้าที อย่าให้เขาเผาของเ่าั้เด็ดขาด”
เหอตังกุยมองใบหน้าร้ายกาจของแม่ชีไท่ซั่นครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยถามต้วนเสี่ยวโหลวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบ “ใต้เท้าต้วน ข้าอยากจะขอร้องแทนท่านแม่ชีไท่ซั่น ท่านเห็นแก่ข้าได้หรือไม่เ้าคะ อย่าเผาของเ่าั้เลย” แม่ชีไท่ซั่นจับจ้องที่ปากของต้วนเสี่ยวโหลวอย่างเคร่งเครียด คาดหวังคำว่า “อืม” “ได้” หรือ “หยุด” จากปากของเขา
ต้วนเสี่ยวโหลวเปิดริมฝีปากเล็กน้อย พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ข้าขอโทษ คุณหนูเหอ ครั้งนี้ข้าคงช่วยเ้าไม่ได้ ข้าและเกาเจวี๋ยมีสถานะเท่ากัน ข้าไม่มีอำนาจออกคำสั่งเขาได้”
เกาเจวี๋ยที่อยู่ไม่ไกลได้ยินคำพูดของพวกเขา จึงแค่นเสียงเ็าออกจากจมูก
เหอตังกุยถอนหายใจอย่างแรง ก่อนจะเอ่ยขอโทษแม่ชีไท่ซั่น “ใต้เท้าต้วนและใต้เท้าเกาไม่ยอมทำตามคำขอ ข้าก็จนปัญญาจะช่วยท่าน”
เมื่อเหอตังกุยพูดจบก็มีเสียงโวยวายดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน เกาเจวี๋ยวางคบเพลิงลงบนกองกระดาษที่เต็มไปด้วยน้ำมัน เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมาทันที ฝูงชนเริ่มถอยกระจายออกไป เพราะกลัวประกายเพลิงจะกระเด็นโดนตน
เมื่อแม่ชีไท่ซั่นหันกลับไปมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางก็บ้าคลั่งพลางลุกขึ้นจากพื้นแล้วลากแขนของเหอตังกุยพุ่งไปยังกองเพลิง ต้วนเสี่ยวโหลวคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเื่เช่นนี้ จึงทำได้เพียงมองนางถูกลากไปยังกองไฟราวกับว่าวอย่างไรอย่างนั้น
เหอตังกุยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถูกดึงไปข้างหน้าหลายก้าว นางััได้ว่ามือของแม่ชีไท่ซั่นจับแขนเรียวเล็กของนางแน่นราวกับคีมดัดเหล็ก ชั่วขณะนั้นเหอตังกุยก็เข้าใจทันที แม่ชีไท่ซั่นคิดจะให้ตนพุ่งเข้าไปในกองไฟเพื่อให้ต้วนเสี่ยวโหลวใช้กำลังภายในดับไฟ นางอดหัวเราะเยาะขึ้นในใจไม่ได้ แม่ชีไท่ซั่น...เ้าช่างรนหาที่ตายเสียจริง รู้ได้อย่างไรว่ากำลังภายในของเขาจะพุ่งไปที่เปลวเพลิง ไม่ได้พุ่งไปที่เ้า?
เดิมทีเหอตังกุยอยู่ไกลจากกองเพลิงหลายก้าว แต่เมื่อถูกแม่ชีไท่ซั่นฉุดกระชากลากถูก็ยิ่งเข้าใกล้และยิ่งอันตรายมากขึ้นทุกขณะ ลมเหนือที่พัดมาทางประตูวัดทำให้เปลวเพลิงโหมเข้าหานาง ใบหูข้างหนึ่งััได้ถึงความร้อนที่แผดเผา ทว่าน่าแปลกใจที่นางไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
------------------------------------------------------------------------
[1] ก้วน หมายถึงเงินเหรียญที่ร้อยอยู่ในเชือก มีจำนวนทั้งหมด 1,000 เหรียญต่อหนึ่งเชือก