คิ้วงามของจางอิ๋นฟางเลิกขึ้น เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ก็ต้องสอบเข้าน่ะสิ ไม่สอบจะได้อย่างไร ไม่ว่าผู้ใดก็รับเข้ามาหมด หากรับคนโง่เข้ามา แต่เรียนตั้งหลายปีกลับยังไม่รู้อักษรที่ใช้บ่อยแม้สักตัวแล้วจะทำอย่างไรเล่า”
หลี่หรูอี้หัวเราะออกมา “เ้านี่มีอารมณ์ขันจริงๆ”
หลี่อิงฮว๋าบอกว่า “น้องสาว ตอนแรกที่พวกเราเข้าสำนักเรียนของท่านอาจารย์จางก็ต้องสอบเช่นกัน”
สำนักเรียนของจางซิ่วไฉยังต้องสอบคัดเลือกศิษย์เข้าเรียน ประสาอันใดกับสำนักศึกษาชิงซงที่มีชื่อเสียงอย่างมากในแถบนั้น
หลี่หรูอี้ถามด้วยความสนอกสนใจยิ่งว่า “สอบอย่างไรบ้างหรือเ้าคะ”
ไม่มีใครในที่นี้ที่จะเข้าใจวิธีสอบเข้าสำนักศึกษาชิงซงได้แจ่มแจ้งกว่าจางจินไห่อีกแล้ว เขาเอ่ยเสียงกังวานท่ามกลางสายตาของทุกคนว่า “สำนักศึกษาของเราจะมีการจัดสอบในวันสุดท้ายของเดือนแรกในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง ทุกคนที่สมัครล้วนมาร่วมสอบที่สนามสอบได้ เนื้อหาในการสอบมีการแต่งกลอน แต่งคำขวัญคู่[1] หนังสือข้อราชการ ผู้ที่สอบผ่านก็จะกลายเป็ศิษย์อย่างเป็ทางการ ส่วนคนที่สอบไม่ผ่านในอันดับต้นๆ ถัดจากนั้นหากจ่ายค่าเล่าเรียนเป็สองเท่าก็จะได้เป็ศิษย์ด้วยเช่นกัน”
ตอนนี้สี่พี่น้องสกุลหลี่เริ่มเรียนแต่งกลอนและคำขวัญคู่แล้ว แต่ยังไม่เคยได้ััเื่การเขียนข้อราชการเลย
หลี่หรูอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงปลงว่า “เห็นทีว่าหากอยากเข้าสำนักศึกษาชิงซงก็ไม่ใช่เื่ง่ายๆ เลย”
จางอิ๋นฟางอธิบายอีกครั้งว่า “ถูกต้อง ก็เพราะพี่ชายข้าสอบเข้าได้จึงไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนสองเท่า”
เด็กหนุ่มในตัวตำบลไม่ได้มีแค่จางจินไห่คนเดียวที่เข้าเรียนที่สำนักศึกษาชิงซง หนำซ้ำบ้านสกุลจางเป็คนเชือดหมู จึงถูกพวกที่เรียนหนังสือด้วยกันดูแคลนอีก จางอิ๋นฟางจึงไม่สามารถไปโอ้อวดเื่นี้ต่อหน้าเพื่อนบ้านในตำบลได้
เมื่อมาที่หมู่บ้านหลี่ครานี้ จางอิ๋นฟางเห็นรูปลักษณ์ของพี่น้องชายหญิงของสกุลหลี่ก็รู้ว่าทั้งหมู่บ้านหลี่ต้องไม่มีคนได้เรียนที่สำนักศึกษาชิงซงแน่ๆ
จางอิ๋นฟางจึงรู้สึกว่าตนเหนือกว่าและอดที่จะโอ้อวดต่อหน้าพี่น้องชายหญิงบ้านหลี่สักหลายๆ หนไม่ได้
หลี่อิงฮว๋าเอ่ยด้วยความชื่นชมว่า “พี่จางมีความสามารถจริงๆ”
จางจินไห่กลับถ่อมตนเสียยิ่งกว่า “อันใดกันเล่า เป็ท่านอาจารย์จางสอนสั่งมาดี ข้าจึงสอบเข้าสำนักศึกษาชิงซงได้ต่างหาก”
หลี่หรูอี้ถามว่า “พี่รู้หรือไม่ว่า ค่าเล่าเรียนของสำนักศึกษาเป่ยซานและสำนักศึกษาเป่ยฮว๋า ปีหนึ่งกี่ตำลึงเ้าคะ?”
จางจินไห่นึกอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินชื่อของสำนักศึกษาทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าได้ยินสหายร่วมชั้นบอกว่า ค่าเล่าเรียนของสำนักศึกษาเป่ยซานนั้นปีละสามสิบตำลึง ส่วนสำนักศึกษาเป่ยฮว๋าก็ประมาณยี่สิบแปดตำลึง”
เด็กชายสกุลหลี่ทั้งสี่หันหน้ามองกัน ์ หากพวกเขาสี่คนจะไปเรียนที่สำนักศึกษาเป่ยซาน ปีหนึ่งก็ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนถึงหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง!
เงินทองตั้งมากมายเช่นนี้สามารถซื้อคฤหาสน์ชั้นดีที่อยู่ในพื้นที่ดีๆ ในตัวอำเภอได้หลังหนึ่งทีเดียว
หลี่หรูอี้ไม่ถามต่อแล้วและบอกกับจางจินไห่ว่า “อาจารย์เรืองนามมีศิษย์สูงส่ง อาจารย์ส่วนใหญ่ของสำนักศึกษาชิงซงล้วนเป็จวี่เหริน พี่ร่ำเรียนที่นั่น ยามสอบซิ่วไฉต้องมีโอกาสสอบผ่านเก้าในสิบส่วนเป็แน่”
จางจินไห่รีบบอกว่า “อันใดกันเล่า การเรียนของข้าไม่ได้ดีที่สุดในสำนักศึกษาของเรา จึงยังไม่ค่อยมั่นใจเื่จะสอบซิ่วไฉได้เลย”
จางอิ๋นฟางร้อนใจจึงบอกกับพี่น้องชายหญิงของสกุลหลี่ว่า “การเรียนของพี่ชายข้าดีมากๆ เขาแค่ชอบถ่อมตนเท่านั้น”
จางถงเจียงไม่ได้เอ่ยปากมาครู่ใหญ่แล้ว แต่จู่ๆ กลับถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “พี่ๆ สกุลหลี่ พวกท่านอยากจะสอบเข้าสำนักศึกษาใด เป็สำนักศึกษาชิงซงหรือขอรับ”
จางอิ๋นฟางมองสี่พี่น้องสกุลหลี่ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
หลี่เจี้ยนอันรีบตอบว่า “พวกเราเพิ่งจะเข้าสำนักเล่าเรียน ยังไม่ทันเรียนหนังสือได้สักกี่วันเลย เกรงว่าคงสอบสำนักศึกษาชิงซงไม่ได้กระมัง”
หลี่ฝูคังถอนใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ค่าเล่าเรียนของสำนักศึกษาแพงเหลือเกิน”
หลี่อิงฮว๋ามองจางจินไห่ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความชื่นชมว่า “ถ้าพวกเราพี่น้องมีความรู้เช่นท่านก็คงดี”
หลี่ิ่หานมองหลี่หรูอี้หลายครั้ง เห็นนางไม่ได้มีสีหน้าใดๆ ไม่รู้ว่านางได้ยินว่า เข้าเรียนก็ยาก ซ้ำแล้วค่าเล่าเรียนก็ยังแพงอีก ยังคิดจะส่งพวกเขาสี่พี่น้องไปเรียนที่สำนักศึกษาเป่ยซานกับเป่ยฮว๋าอีกหรือไม่
หลี่ซานรั้งตัวพ่อลูกสกุลจางไว้ทานอาหารเที่ยงด้วยกันมื้อหนึ่ง จ้าวซื่อยังมอบถั่วงอก เต้าหู้แห้ง ผักดอง และขนมไหว้พระจันทร์รสหวาน ทั้งสี่อย่างนี้นับเป็ของกำนัลตอบแทนด้วย
คนขายเนื้อแซ่จางกลัวจะถูกบิดาด่าทอเอาอีก จึงไม่กล้ารับของกำนัล สุดท้ายเป็หลี่หรูอี้ที่เอ่ยปาก เขาจึงยอมรับไว้
ระหว่างทางที่คนสกุลจางทั้งสี่เดินทางกลับเรือน จางอิ๋นฟางอดที่จะชมเชยไม่ได้ว่า “ท่านพ่อเ้าคะ หมอเทวดาน้อยผู้นั้นหน้าตางดงามกว่าแม่นางน้อยในตำบลเสียอีก และยังสุขุมยิ่งนัก ข้ายังได้ยินว่านางรู้หนังสือด้วย”
คนขายเนื้อแซ่จางเห็นว่าจางอิ๋นฟางทำหน้าเหมือนเสียใจที่ได้รู้จักหลี่หรูอี้ช้าเกินไป จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หมอเทวดาน้อย หาใช่แม่นางน้อยทั่วๆ ไปจริงดังว่า”
“พวกพี่ชายสกุลหลี่ต้องสอบเข้าสำนักศึกษาได้เป็แน่” จางถงเจียงรู้ว่าตนยังเป็เด็ก กลัวว่าคำพูดจะไม่มีน้ำหนัก จึงพูดเสริมว่า “ท่านอาจารย์บอกพวกเราเช่นนี้ขอรับ”
จางจินไห่ไม่ได้ส่งเสียงมาตลอดทางจนเกือบถึงประตูเรือนจึงเดินช้าลง รอจนน้องชายน้องสาวเดินไปข้างหน้าและไม่ได้ยินเขาพูดแล้ว จึงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ท่านพ่อขอรับ ท่านปู่กล่าวถูกต้องแล้ว ก่อนนี้ท่านกับท่านแม่ไม่ควรทำเช่นนั้น จนทำให้บ้านสกุลหลี่และชาวบ้านในตำบลดูแคลนบ้านเราเสียแล้ว”
วันนี้บ้านสกุลหลี่รั้งพวกเขาให้อยู่ทานอาหารด้วย อาหารพร้อมสรรพหลากหลาย และยังมีของกำนัลตอบแทนอีกด้วย ซึ่งของกำนัลทั้งสี่อย่างล้วนไม่ใช่ของราคาถูก
คนบ้านเรือนเช่นนี้หากมิใช่เพราะเคยยากจนมาก่อน เกรงว่าแต่แรกที่คนขายเนื้อแซ่จางมอบเครื่องในหมูให้ พอครั้งที่สองก็คงไม่ให้คนขายเนื้อแซ่จางเข้าประตูเรือนแล้ว
จางจินไห่เรียนที่สำนักศึกษาชิงซง ทำให้มีสายตากว้างไกล เข้าใจหลักเหตุผล ทั้งรู้เื่ไมตรีของผู้คน เขาเป็บุตรชายคนโต บางคราเื่ที่ควรพูดก็ยังจำเป็ต้องพูด
ได้ยินคำว่า คนขายเนื้อแซ่จาง ก็ไม่เหลืออารมณ์ดีๆ แล้ว หน้าแดงก้มหัวลง “เื่นี้ล้วนต้องโทษพ่อ” เพียงประโยคเดียวก็รับความผิดของหลิวซื่อไว้ที่ตนเองจนหมด
เมื่อคนสกุลจางเข้าประตูเรือนไป ตาเฒ่าจางก็ได้ยินหลานชายหลานสาวทั้งสามคนพากันเล่าเื่ของสกุลหลี่ และยังได้ยินอีกว่า บ้านสกุลหลี่มีของกำนัลตอบอีกแล้ว จึงชี้ไปที่คนขายเนื้อแซ่จาง และต่อว่าเขาไปอีกยก “ดูซิ คนบ้านหลี่ใจกว้างเพียงใด!”
หลิวซื่อหลบอยู่ในห้อง จางอิ๋นฟางเข้าไปเล่าเื่ของสกุลหลี่ให้นางฟัง
“บ้านหลี่ ลำพังแค่ลาก็มีตั้งสามตัว ข้าเห็นว่าพวกเขาทำการค้าใหญ่โตนักเ้าค่ะ”
หลิวซื่อเหม่อมองก่อนที่จะเอ่ยพึมพำขึ้นว่า “มิใช่ว่าสกุลหลี่ยากจนจนเปิดฝาหม้อไม่ออก[2] หรอกหรือ เหตุใดจู่ๆ ก็ร่ำรวยขึ้นมาเพียงนี้”
ตาเฒ่าจางคิดมาทั้งคืน วันรุ่งขึ้นจึงบอกกับคนขายเนื้อแซ่จางว่า “คนเช่นหมอเทวดาน้อยบ้านเราคงไม่กล้าหวังหรอก ข้าว่าพี่ชายของหมอเทวดาน้อยต่างก็ดีกันทั้งนั้น อิ๋นฟางยังไม่ได้หมั้นหมาย ก็หมั้นหมายกับพี่ชายของหมอเทวดาน้อยนี่เถิด!”
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] คำขวัญคู่ (对联 หรือตุ้ยเหลียน) คือ ถ้อยคำที่ไพเราะ มีสองวรรค มักติดไว้ที่หน้าบานประตู เช่น ในวันปีใหม่
[2] ยากจนจนเปิดฝาหม้อไม่ออก หมายถึง ยากจนมากจึงไม่ค่อยได้เปิดฝาหม้อข้าวเพื่อกินข้าว จนฝาหม้อติดกับตัวหม้อ เปิดไม่ออก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้