หลินหร่านรู้ดีว่าเป็เพราะตนเอง อวี้ฉู่จาวจึงได้เป็เช่นนี้
นอกจากนี้ หลินหร่านได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้แล้ว เขาจึงหันมามองอวี้ฉู่จาว
หลังสบตากันเพียง่เวลาสั้นๆ เขาถึงได้หันหน้ามาพร้อมกับเอ่ยช้าๆ “ตัวตนของกระหม่อมมีเพียงท่านพ่อเท่านั้นที่ทราบเื่นี้ ก่อนหน้านี้ท่านพ่อไปออกรบป้องกันชายแดน เื่นี้จึงไม่มีผู้ใดเคยทราบมาก่อน และท่านพ่อก็ไม่รู้มาก่อนว่ากระหม่อมมีหลอดเืดำคู่จนกระทั่งเมื่อคืน….ท่านอ๋องได้ยืนยันว่าตัวตนของกระหม่อมเป็เช่นนั้นจริง”
หลินหร่านพูดปด นับเป็การหลอกลวงพระจักรพรรดิ
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ เขาััได้ถึงฝ่ามือของอวี้ฉู่จาวที่คอยจับมือของเขาไว้ สายตาของท่านอ๋องจ้องมองเขาอยู่ตลอด ดังนั้น เขาจึงไม่รู้สึกผิดเท่าไรที่ต้องพูดปด และไม่แสดงท่าทีวิตกกังวลออกมาให้เห็นจนถูกจับได้
ที่เขาทำไปก็เพราะ้าปกป้องตนเองกับคนในครอบครัวเท่านั้น จะไม่ยอมชะล่าใจและปล่อยให้คนเลวมีความสุขเด็ดขาด
เวลานี้ เขาอยากเอ่ยกับท่านอ๋องด้วยซ้ำว่า ‘ท่านอ๋องดูสิ ข้าเก่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ’
“ถ้า...เป็เช่นนั้น ก็เท่ากับไม่ได้หลอกลวงอะไรพระจักรพรรดิ”
หลังจากฮ่องเต้ฉงเต๋อตรัสออกมาเช่นนี้ ฮองเฮาจึงได้แต่ข่มเปลวเพลิงแห่งความพิโรธที่กำลังโหม
ตนเป็คนหาเื่เอง คงทำได้เพียงกัดฟันข่มความโกรธเท่านั้น
“หากพระชายามีหลอดเืดำสองเส้นเช่นนี้ก็เป็เื่ดีน่ะสิ เื่ทายาทของจาวเอ๋อร์คงไม่ต้องกังวลกันอีกต่อไป...แต่ก็ไม่รู้ว่า พระชายากับเผ่าจือเม่ยยังติดต่อกันบ้างหรือไม่?” ตอนนี้ในใจของฮ่องเต้ฉงเต๋อสนใจเพียงเื่ของเผ่าจือเม่ย
“ไม่ได้ติดต่อกันแล้วพ่ะย่ะค่ะ รวมถึงเื่ตัวตนของกระหม่อมก็เพิ่งทราบเมื่อวานพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วพ่อของเ้าล่ะ”
“กราบทูลฝ่าา หลังจากที่ฟูเหรินของแม่ทัพฮวาเวยเสียชีวิตไปก็ไม่ได้มีการติดต่อกับเผ่าจือเม่ยอีกพ่ะย่ะค่ะ เผ่าจือเม่ยรักสันโดษ หากบุตรสาวออกเรือนแล้วก็จะขาดการติดต่อกัน และในวันนี้ บุตรสาวของตนได้ลาโลกใบนี้ไปแล้ว พวกเขาจึงไร้การติดต่อกับโลกภายนอก หากยังติดต่อกันพระชายาก็คงไม่ต้องลำบากอย่างเดียวดายมาถึงเจ็ดปีโดยไม่มีใครเหลียวแลเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
อวี้ฉู่จาวร่วมบทสนทนาโดยการหยิบยกเอาเหตุและผลขึ้นมากล่าว
ความในใจของฮ่องเต้ฉงเต๋อ เหตุใดอวี้ฉู่จาวจะไม่รู้กัน เพียงแต่ว่า...
จักรพรรดิผู้ก่อตั้งต้าอวี้นั้น เป็ท่านนายพลที่เก่งกาจและมีความสามารถสูง พระองค์นำทัพทหารมากมายหลายล้านคนเข้าต่อสู้แล้วสถาปนาต้าอวี้ขึ้นมา
ในตอนนั้นเป็่เวลาที่ต้าอวี้แข็งแกร่งที่สุด แต่กลับไม่ได้ทำร้ายเผ่าจือเม่ยแม้แต่ปลายเล็บ อีกทั้งไม่ได้ให้พวกเขาอยู่ใต้อำนาจอีกด้วย
ทว่าต้าอวี้ ณ ตอนนี้จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร แค่มีแผ่นดินที่กว้างใหญ่ มีทรัพยากรและประชาชนมากมายก็นับเป็แคว้นที่เจริญรุ่งเรืองแล้วจริงหรือ?
ท้ายที่สุดมันก็เป็เพียงความฝันโง่งม เผ่าจือเม่ยคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจแตะต้องได้นับั้แ่โบราณกาล
เวลานี้ ฮ่องเต้ฉงเต๋อกำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิด ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร
ขณะนั้น สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกเข้ามารายงาน
“กราบทูลฮ่องเต้ กราบทูลฮองเฮา แม่นางอวี้ฉีมาขอเข้าเฝ้าเพคะ”
ฮ่องเต้ยังคงจมอยู่กับความคิด ส่วนฮองเฮาขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยออกไปด้วยท่าทีใจร้อน “ให้นางเข้ามา”
ไม่นาน หญิงสาวผู้งดงามหน้าตาจิ้มลิ้มพลันเดินเข้ามา ใบหน้าชวนให้รู้สึกต่างจากผู้คนทั่วไปไม่น้อย เครื่องแต่งกายก็ไม่เหมือนวัฒนธรรมของต้าอวี้
แขนเสื้อแคบสายรัดเอวรัดรูปกระโปรงบานฟุ้ง สวมใส่สีแดงั้แ่หัวจรดเท้า เต็มไปด้วยเสน่ห์อันมากล้น ลักษณะที่ไม่เหมือนใคร ยามก้าวเท้าเดินเครื่องประดับสีเงินก็ส่งเสียงกระทบกันกึกก้อง
“หม่อมฉันถวายบังคมเพคะฮ่องเต้ ถวายบังคมเพคะฮองเฮา” น้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะจับใจทำให้ผู้คนที่ได้ยินอดไม่ได้ที่จะใจสั่น
เมื่อได้ยินเสียงของอวี้ฉี ฮ่องเต้ก็ดึงสติกลับมา “ไม่ต้องพิธีรีตองหรอก”
อวี้ฉีค่อยๆ ลุกขึ้น สายตามองไปทางอวี้ฉู่จาว
อวี้ฉีมาจากเผ่ามู่ที่เลี้ยงสัตว์ทางภาคตะวันตก สถานะเทียบเท่ากับองค์หญิงของเผ่ามู่
เผ่ามู่เป็ชนเผ่าขนาดเล็ก อยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างน่าอึดอัด
เบื้องหน้าราวกับเป็ผู้คนของต้าอวี้ เื้ักลับเต็มไปด้วยเหล่าชนเผ่าป่าเถื่อนมากมาย
ในทะเลทรายมีชนเผ่าอื่นจำนวนมากบนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ราวกับกลุ่มโจรสลัดที่ไล่ล่าแสวงหากำไรจากการฆ่าฟัน เมื่อมาลองเทียบดูแล้ว การเป็คนของต้าอวี้นับว่าอยู่ในสถานะที่ดีกว่ามากนัก
ตราบใดที่ยอมจำนนต่อพวกเขาด้วยความเต็มใจ พวกเขาก็สามารถให้ร่มเงาและคอยพิทักษ์พวกเราได้
ดังนั้นเพื่อความมั่นคง ผู้นำเผ่ามู่จึงเลือกชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย ท้ายที่สุดจึงเลือกอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้าอวี้
พวกเขาได้มอบดอกไม้อันล้ำค่าแสนงดงามในทะเลทรายให้กับฮ่องเต้ฉงเต๋อเป็การแสดงความเคารพ
นั่นก็คือหญิงสาวผู้มีนามว่าอวี้ฉี
่เวลาที่อวี้ฉีเพิ่งมาถึง อวี้ฉีราวกับของเลอค่า ทุกคนต่างคิดเหมือนกันว่าหญิงสาวผู้นี้ช่างงดงามหาสิ่งใดเปรียบ ฮ่องเต้ฉงเต๋อก็หลงใหลในตัวนางเป็อย่างมาก จึงมอบให้นางเป็แม่นางคนงามเพียงหนึ่งเดียวของพระองค์
ั้แ่นั้นมา แม่นางอวี้ฉีก็กลายเป็ดอกไม้งามในวังหลวงของเมืองอวี้อัน ใครก็มิอาจเด็ดได้ เว้นแต่ฮ่องเต้ฉงเต๋อเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“ถวายบังคมเพคะจ้านหวัง” อวี้ฉีหันมาถวายความเคารพอวี้ฉู่จาว
อวี้ฉีถูกพาตัวมายังเมืองหลวง หลังจากที่อวี้ฉู่จาวยกทัพไปตีพวกคนเถื่อนจนพวกเขาพ่ายแพ้
อวี้ฉู่จาวพยักหน้ารับ ก่อนที่อวี้ฉีจะทอดสายตามองไปทางหลินหร่านที่อยู่ข้างกาย “ท่านผู้นี้คงจะเป็พระชายาคนใหม่ของจ้านหวัง ใช่หรือไม่เพคะ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ” หลินหร่านยิ้มรับ พร้อมพยักหน้าด้วยท่าทีมีมารยาท
“ได้ยินมาว่าจ้านหวังสู่ขอพระชายาที่เป็ชาย รูปลักษณ์ราวกับตุ๊กตาดินเผา งดงามเหมือนกับหยก รูปร่างเล็กดูอ่อนโยนนุ่มนวล คล้ายกับ้าการปกป้องจากท่านอ๋อง วันนี้ได้พบ…” อวี้ฉีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงเอ่ยต่อ “ก็เป็เช่นนั้นจริง”
อวี้ฉีช่างงดงามราวกับภาพวาด ฮ่องเต้ฉงเต๋อหลงใหลแต่แรกพบและเชยชมแต่เพียงผู้เดียว
ทว่าในสายตาของฮองเฮา นางคือสุนัขจิ้งจอกทะเลทราย
ฮองเฮาจ้องอวี้ฉีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา มองร่างกายอันบอบบางของนางจนแทบทะลุเป็รู ไม่รู้ว่าในใจก่นด่า ‘นังจิ้งจอก’ นี่ไปแล้วกี่หน
หลินหร่านได้ยินคำพูดของอวี้ฉี ในใจรู้สึกอึดอัดไม่น้อย
ถ้อยคำเ่าั้ฟังดูเหมือนคำชม แต่ที่จริงแล้วไม่ได้หมายความเช่นนั้นเลย
คำพูดของหญิงผู้นี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบเขา ตัวเขาเองก็เป็คนอ่อนไหวง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีคนไม่ชอบตนเองจะรับรู้ความรู้สึกเ่าั้ได้แม่นยำนัก
“แม่นางเอ่ยเกินไป ชายาของเปิ่นหวังร่างกายแข็งแรง บอบบางราวกับสายลมอะไรกัน นอกจากนี้ หากเป็ชายาของเปิ่นหวัง เปิ่นหวังก็ต้องปกป้อง นับเป็เื่ปกติอยู่แล้วมิใช่หรือ” อวี้ฉู่จาวเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวด้วยท่าทีเ็า แต่สายตาไม่แม้แต่จะแลมอง จากนั้น เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วดึงหลินหร่านเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
หลินหร่านไม่รู้ว่าอวี้ฉีผู้นี้เป็คนเช่นไร แต่เขามองออกว่าอวี้ฉู่จาวมีท่าทีไม่ชอบนางเท่าไรนัก
“เสด็จพ่อ หากไม่มีธุระอันใดแล้ว ลูกกับพระชายาคงต้องกราบทูลลา” อวี้ฉู่จาวกล่าวออกมา
“ได้ พวกเ้ากลับไปเถิด”
หลังจากนั้น อวี้ฉู่จาวจึงพาหลินหร่านออกไปจากวังหลวง
.........
ภายในพระราชวังเฟิงอี้
ฮ่องเต้ฉงเต๋อได้ก้าวลงจากขั้นที่นั่งชั้นสูงเพื่อเตรียมออกไปจากที่แห่งนี้ ซึ่งพระองค์ได้พาอวี้ฉีออกไปด้วย
“่นี้แม่นางเป็อย่างไรบ้าง ไหนเล่าให้ข้าฟังสิ”
อวี้ฉีเอนตัวเข้าสู่อ้อมกอดของฮ่องเต้ฉงเต๋อ “หม่อมฉันจะทำอะไรได้ละเพคะ ทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย มองดูเหล่าขันทีน้อยวิ่งเล่นไปมา พระองค์ไม่เสด็จมาหาหม่อมฉันที่พระราชวังจายซิงบ้างเลย” น้ำเสียงของอวี้ฉีแสดงถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ
ฮ่องเต้ฉงเต๋อหัวเราะด้วยความพึงพอใจ “ได้ๆๆ ต่อไปข้าจะไปหาแม่นางที่วังอย่างแน่นอน”
ฮองเฮาที่คำนับอยู่ด้านหลังพลันรู้สึกแข็งทื่อไปทั้งตัว สายตาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
ฮ่องเต้จากไป แม้แต่ถ้อยคำกล่าวลานางสักคำยังไม่มี กระทั่งเหลือบมองก็ไม่แม้แต่จะกระทำสักนิด วันนี้จิตใจช่างเต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธเคืองเสียจริง
เดิมทีเป็พระสนมลี่ที่ต่อสู้ฟาดฟันกับนาง ตอนนี้สนมลี่คงทำได้เพียงคอยมองจากด้านหลัง มองดูตำแหน่งของนางกับตำแหน่งรัชทายาทของโอรสอย่างอวี้ฉู่ซวนเท่านั้น
แต่เวลานี้ กลับมีแม่นางอวี้ฉีเพิ่มเข้ามาอีกคน ถึงแม้นางจะยังไม่มีทายาท แต่ก็ฉกฉวยฝ่าาไปทุกวันทุกคืน เพราะอีกฝ่ายได้รับความรักความเอ็นดู เป็เหตุให้พระองค์แทบไม่เคยสนใจนางที่เป็ฮองเฮาเลย
หลังจากที่พบเจอเื่เหล่านี้ ทำให้ฮองเฮารู้สึกปวดหัวยิ่งนัก
-----------------------------------------