ระหว่างทางออกมาจากพระราชวัง
“ท่านอ๋อง...แม่นางอวี้ฉีผู้นั้นเป็ใครหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลินหร่านรับรู้ได้ว่า อีกฝ่ายท่าทางจะรู้จักท่านอ๋องดี
“นางเป็องค์หญิงจากเผ่ามู่ทางตะวันตกที่ถูกส่งมาให้เสด็จพ่อ เป็สนมคนโปรด”
องค์หญิง? ตำแหน่งสูงส่งเช่นนั้นแต่ก็ยังถูกกำหนดชะตาชีวิต ช่างน่าสงสารเสียจริง
หลินหร่านนึกถึงรูปลักษณ์ที่เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์ของอวี้ฉี เ้าหล่อนยังดูเป็สาวรุ่นที่อายุยังไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ ยังเด็กมากจน...ฮ่องเต้สามารถเป็บิดาของนางได้เลย
หลินหร่านไม่เอ่ยถามอะไรอีก
อวี้ฉีแสดงท่าทีไม่เป็มิตรกับเขา เขาก็จะคิดแค่ว่านั่นคงเป็นิสัยใจคอของคนต่างถิ่น อีกทั้งตอนนี้เขาเป็พระชายาแล้ว ใครจะดูถูกเขาก็ปล่อยไป
.........
กลับมาถึงตำหนักเทพเ้าแห่งา
อวี้ฉู่จาวเพิ่งอุ้มหลินหร่านลงจากรถม้า ท่าเสวี่ยพลันปรากฏตัวคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า
ท่าเสวี่ยไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร
หลินหร่านหันมามองอวี้ฉู่จาว ก่อนที่อวี้ฉู่จาวจะหันมาหาเขาพร้อมเอ่ยขึ้น “เ้าไปเปลี่ยนชุดก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวข้าตามไป”
“พ่ะย่ะค่ะ” หลินหร่านพยักหน้ารับ ก่อนเดินเข้าไปในตำหนักพร้อมกับติงหร่วน
รอจนหลินหร่านเดินออกไป อวี้ฉู่จาวจึงได้เอ่ยปากถาม “ฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ” คนที่พวกเขาหมายถึงคืออวี้ฉู่เฉิง ผู้ที่บุกเข้ามายังหอเนี่ยนอวิ๋นเมิ่งซีเมื่อคืนวาน
เวลานี้ อวี้ฉู่จาวเดินเข้าไปในห้องก็พบอวี้ฉู่เฉิงที่นั่งอยู่บนพื้น เอาร่างพิงเตียงนอน เขาทอดสายตาเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาแดงก่ำ สภาพจิตใจเกรงว่าจะย่ำแย่ ไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู อวี้ฉู่เฉิงจึงค่อยๆ หันมามองอย่างเชื่องช้า
เขาเงยหน้ามองอวี้ฉู่จาวตาไม่กะพริบ
ข้างหลังอวี้ฉู่จาวไม่มีใครตามเข้ามา หยางซานยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ท่าเสวี่ยหายลับไปอีกครั้ง
ท่าเสวี่ยได้บอกกับอวี้ฉู่จาวว่าเมื่อคืนวานนี้ คนที่ลักลอบเข้ามาในตำหนัก ตรวจสอบดูแล้วพบว่าเป็มือสังหารขององค์ชายสองอวี้ฉู่ซวน แต่ที่าเ็นั้นมาจากฝีมือขององค์ชายสี่ผู้นี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อคืนวานอวี้ฉู่เฉิงเมามาก ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมาอยู่ที่หอเนี่ยนอวิ๋นเมิ่งซีได้
อวี้ฉู่เฉิงได้แต่ยืนอยู่ตรงแท่นวางดอกไม้ มองเข้าไปในห้องหอที่มีเทียนสีแดงจุดสว่างไสว เขานึกถึงคุณชายน้อยที่ช่วยชีวิตตนเองและกำลังรอคอยที่จะเป็พระชายาของคนอื่น ซึ่งคนผู้นั้นเขาไม่อาจแตะต้องได้
กระทั่งเขามองเห็นมือสังหารในชุดดำที่แอบมองอยู่รอบๆ ก่อนจะเข้ามาใกล้หน้าต่างและกำลังเฝ้ามองบางอย่าง
อวี้ฉู่เฉิงที่ดื่มสุราจนเมามาย เพราะฤทธิ์ของเครื่องดื่มทำให้เขาโกรธจนเข้าไปทำร้ายชายผู้นั้น
ผลสุดท้ายเขามึนหัวเป็อย่างมากจึงปล่อยให้คนผู้นั้นหนีรอดไปได้ เมื่อวิ่งตามไม่ไหวเขาจึงเคาะประตูเพื่อส่งสัญญาณบอกให้ติงหร่วนได้รับรู้
หลังจากนั้นก็อดใจไม่ได้จึงเดินไปที่ประตูเพื่อแอบดู เมื่อเขาเห็นหลินหร่านที่แสนจะงดงามอยู่เบื้องหน้าเขาพลันสลบไป
“ข้าแค่อยากถามเ้า เหตุใดถึงทำเช่นนั้น” อวี้ฉู่จาวยืนอยู่ตรงหน้าอวี้ฉู่เฉิง มือทั้งสองข้างประสานเอาไว้ด้านหลัง สายตาจ้องไปทางผู้ถูกถาม
อวี้ฉู่เฉิงััได้ถึงแรงกดดันที่ส่งมา เขาเงยหน้ามองชายตรงหน้า ยิ่งทำให้ตนเองรู้สึกตัวเล็กลงไปอีก
“ดื่มมากไป...ก็เลยเมา” อวี้ฉู่เฉิงตอบกลับหลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ใบหน้าของอวี้ฉู่จาวไม่เปลี่ยนแปลง สีหน้าที่แสดงออกตอนนี้บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาไม่พอใจกับคำตอบนัก
หลังจากเห็นปฏิกิริยาตอบรับ อวี้ฉู่เฉิงก็ได้แต่ยิ้มหยัน “องค์ชายที่น่าเวทนาเช่นข้าจะทำสิ่งใดได้ เสด็จพี่สามกังวลอะไรหรือ? คุณชายน้อยเคยช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าก็แค่ขับไล่มือสังหารเป็การตอบแทน ไม่ได้หรือไง?”
“เขาเป็พี่สะใภ้ของเ้า” อวี้ฉู่จาวจ้องมองคนตรงหน้าพลางเอ่ยเสียงแข็ง แสดงถึงคำเตือน
อวี้ฉู่จาวเห็นใจในภูมิหลังกับสิ่งที่อวี้ฉู่เฉิงต้องพบเจอ พวกเขาทั้งคู่ไม่มีผู้เป็มารดาคอยดูแล และไม่ใช่โอรสที่เสด็จพ่อชื่นชอบ ไม่มีคนคอยดูแลใส่ใจ เป็องค์ชายที่โดนดูถูก
แม้อยู่ภายใต้ฐานะอันสูงส่ง แต่ชีวิตยังดีไม่เท่าคนธรรมดาทั่วไปเสียด้วยซ้ำ ความภาคภูมิใจของตนเองเต็มไปด้วยการถูกเหยียบย่ำ
หากไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากเสด็จอาอวี้หนานถัง สภาพของอวี้ฉู่จาวในวันนี้ก็คงไม่ต่างจากอวี้ฉู่เฉิงนัก
อย่างไรก็ตาม อีกมุมมองหนึ่ง อวี้ฉู่เฉิงเปรียบเสมือนเงาสะท้อนของอวี้ฉู่จาว แม้จะไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเืโดยตรง แต่อวี้ฉู่จาวก็รับรู้ความรู้สึกบางอย่างได้
เพราะอย่างนั้น อวี้ฉู่จาวจึงไม่คิดปฏิบัติกับเขาในฐานะศัตรู แต่หากอวี้ฉู่จาวคอยจับตาดูแลอวิ๋นซีของเขาอยู่เช่นนี้ เขาเกรงว่าอีกฝ่ายอาจไม่เห็นแก่เขา กระทั่งเมินเฉยไปแล้วกระมัง
“เื่นั้นข้ารู้ดี เสด็จพี่ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ทำอะไรหรอก”
แต่ต่อไปภายหน้า…ใครจะรู้!
“เหตุใดเสด็จพี่จึงไม่คิดจะถามว่าข้ารู้หรือไม่ว่ามือสังหารคนนี้ถูกใครส่งมา” อวี้ฉู่เฉิงพยายามพยุงร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของเขาขึ้นมา แต่ก็ซวนเซไปเล็กน้อย
อวี้ฉู่จาวยังคงจ้องมองเขา ไม่เอ่ยตอบ
“ช่างเถิด” อวี้ฉู่เฉิงยืนขึ้นมาได้ในที่สุด เขาใช้โต๊ะที่อยู่ตรงหน้าประคองตนเองไว้ “ดูท่าท่านคงไม่กลัว คงจะมีเพียงอวี้ฉู่ซวนที่แสนโง่เขลาเท่านั้นที่กล้าปฏิบัติต่อคนบ้าบิ่นเช่นท่านแบบนี้ มีคำกล่าวหนึ่งบอกไว้ว่า หมาที่มันกัดคนมักจะไม่เห่า”
มุมปากของอวี้ฉู่เฉิงปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา เขาจับโต๊ะพลางมองอวี้ฉู่จาว
“ใช่แล้ว หมาที่มันกัดคนมักจะไม่เห่า” อวี้ฉู่จาวจ้องมองอีกฝ่ายเช่นกัน ทั้งคู่ต่างจ้องกันไม่วางตา
“สิ่งที่อวี้ฉู่ซวนปฏิบัติต่อเ้าไม่ใช่สิ่งที่ปฏิบัติต่อคน” นั่นคือประโยคที่อวี้ฉู่จาวเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะปล่อยอวี้ฉู่เฉิงไป
แม้อวี้ฉู่เฉิงจะไม่ได้มีจุดยืนหรือความสำคัญสำหรับอวี้ฉู่ซวนกับฮองเฮานัก แต่เขาก็รู้จักอวี้ฉู่ซวนเป็อย่างดี
“ท่านอ๋องจะปล่อยเขาไปเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” หยางซานที่ยืนอยู่ข้างกายถามด้วยความสงสัย “เขาเป็คนขององค์ชายสองนะพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ?” อวี้ฉู่จาวทอดสายตามองด้านหลังคนที่ถูกปล่อยออกไป โดยมีคนพยุงออกไปพร้อมตอบรับ
ตอนแรกเขาก็คิดว่าคนผู้นี้เป็เพียงคนนิสัยแปลก มีโชคชะตาอันน่าอนาถ
แต่หลังจากวันนี้ เขาคงต้องมองอวี้ฉู่เฉิงใหม่เสียแล้ว
.........
่ที่อวี้ฉู่จาวกลับมายังหอเนี่ยนอวิ๋นเมิ่งซี หลินหร่านก็ได้เปลี่ยนชุดเรียบร้อย
เวลานี้ หลินหร่านสวมเครื่องแต่งกายเป็ฉางฝูสีน้ำเงินขาว แม้จะเป็ฉางฝูแต่ก็ทำออกมาด้วยความประณีต ดูหรูหรา
สีขาวกับสีน้ำเงินช่างทำให้หลินหร่านเปรียบเสมือนเด็กหนุ่มล้ำค่ายิ่งนัก
เมื่อได้รับการเลี้ยงดูที่ดี ผิวพรรณของหลินหร่านจึงดูขาวอมชมพู
“ท่านอ๋อง~” หลังจากหลินหร่านหันมาเห็นอวี้ฉู่จาวก็ส่งรอยยิ้มแสนหวานไปให้
อวี้ฉู่จาวในตอนนี้อยากจะซุกซ่อนคนงามเอาไว้ไม่ให้ใครพบเจอเสียจริง
“งดงามมาก” อวี้ฉู่จาวลูบผมของหลินหร่านพลางบอก
หลินหร่านยิ้มร่า “ท่านอ๋องก็รีบเปลี่ยนชุดเถิด”
การสวมชุดของพระชายาเอาไว้เพียงครึ่งวันทำให้หลินหร่านรู้เลยว่า เหล่าชุดที่เป็ทางการทำให้รู้สึกลำบากมากเพียงไหน ทั้งหนักและแข็ง ทำให้ปวดเนื้อปวดตัวไปหมด
อวี้ฉู่จาวรีบไปเปลี่ยนชุดเช่นกัน ชุดของเขายังคงเป็ฉางฝูลายงูใหญ่สีดำทอง เสื้อคลุมด้านนอกแขนกว้าง ด้านในเป็ผ้าเนื้อบางเบา มีสายคาดเอวกับสายรัดข้อมือ เหมาะกับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เป็อย่างยิ่ง
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าและรับประทานมื้อเที่ยงเรียบร้อย อวี้ฉู่จาวก็เริ่มกล่อมหลินหร่านให้นอนกลางวัน
่ที่หลินหร่านหลับก็มีคนที่้าเข้าเฝ้าพระชายา แต่อวี้ฉู่จาวได้สั่งให้ไล่ผู้คนเ่าั้กลับไป
ฟูเหรินที่อยู่วังหลังเ่าั้ล้วนแต่เข้ามาเพื่อหลอกลวง อวี้ฉู่จาวไม่รู้แน่ชัดว่าเหตุใดเหล่าฟูเหรินของนายทหารในเมืองอวี้อันต้องทำเช่นนี้ พวกเขามีจุดประสงค์อะไร เช่นนั้นแล้วตัวเขาควรจัดการอย่างไรดี
เขารู้แค่ว่า แม้หลินหร่านจะเป็พระชายาของเขา แต่หลินหร่านก็เป็เพียงผู้ชายคนหนึ่ง อย่างนั้นจะต้องไปตบตีกับคนเ่าั้ทำไม
อันที่จริงไม่ควรต้องไปเกี่ยวข้องกับผู้หญิงเ่าั้เลยด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้ อวี้ฉู่จาวจึงเป็คนจัดการให้คนขับไล่กลับไปทั้งหมด
“ท่านอ๋อง ที่พระองค์ทำเช่นนี้ ้าขัดขวางอะไรพระชายาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ลุงตงที่เริ่มทนนิ่งเฉยไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
อวี้ฉู่จาวละสายตาจากตำราในมือก่อนมองลุงตงที่กำลังชงชาอยู่ข้างกาย หลังจากนั้นจึงมองไปทางเตียงที่มีผ้าม่านกั้นอยู่
เมื่อวานหลินหร่านคงเหนื่อยมาก ตอนนี้เขากำลังหลับสบาย ดังนั้น อวี้ฉู่จาวจึงออกมาด้านนอกเพื่อตรวจดูกิจการทหารต่อไป
-------------------------------