โม่เสวี่ยถงไม่สนใจเหล่าคุณหนูที่กำลังโมโหหน้าดำหน้าแดงเพราะคำพูดประโยคนั้นของนาง หันมาย่อกายคารวะต่อเฟิงเจวี๋ยเสวียนอย่างแช่มช้อยและนอบน้อม “ขอบังอาจถามองค์ชายใหญ่หน่อยเถิดเพคะ ว่าพี่สาวของหม่อมฉันเกิดอะไรขึ้น”
นางมั่นใจเต็มที่ว่าสิ่งที่เฟิงเจวี๋ยเสวียนคิดย่อมไม่เหมือนกับโม่เสวี่ยิ่แน่นอน
ไม่ว่าเขากับโม่เสวี่ยิ่จะมีความสัมพันธ์ต่อกันจริงหรือไม่ เบื้องหน้าย่อมต้องปกป้องชื่อเสียงหน้าตาของทุกฝ่าย หากเื่แพร่งพรายออกไปว่าเขากับลูกอนุขุนนางขั้นห้าแอบนัดพบกัน ทำให้ชื่อเสียงสกุลโม่เสียหาย ชื่อเสียงดีงามของฉู่อ๋องผู้นี้จะยังคงอยู่ได้อย่างไร สำหรับเขาแล้วการ่ชิงตำแหน่งรัชทายาทคือสิ่งสำคัญที่สุด ไม่อาจให้สตรีผู้หนึ่งมาทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงได้
โม่เสวี่ยถง้าเพียงสิ่งนี้ คำอธิบายของฉู่อ๋องเพียงประโยคเดียว มีประโยชน์มากกว่าถ้อยคำนับหมื่นของผู้อื่น
และแล้วเฟิงเจวี๋ยเสวียนก็แถลงไขด้วยรอยยิ้มสง่างามและอ่อนโยน “เปิ่นหวางก็ไม่รู้เช่นกันว่าคุณหนูใหญ่โม่เกิดเหตุอันใดขึ้น เปิ่นหวางกำลังพักผ่อนอยู่ในศาลา คุณหนูใหญ่โม่เดินมาถึงที่นี่ก็เป็ลมล้มไปกะทันหัน เปิ่นหวางจึงให้ขันทีน้อยช่วยประคองนางไปพักผ่อนอยู่ด้านข้างและไปตามหมอหลวง อีกประเดี๋ยวก็คงจะมา”
“ขอบพระทัยฉู่อ๋องเพคะ” สีหน้าของโม่เสวี่ยถงเต็มไปด้วยความซาบซึ้งราวกับรู้สึกขอบคุณเฟิงเจวี๋ยเสวียนอย่างแท้จริง ที่ช่วยพาโม่เสวี่ยิ่เข้ามาพักในศาลา แล้วยอบกายคำนับอย่างงดงาม แสดงบทบาทน้องสาวผู้แสนดีได้อย่างยอดเยี่ยม หลังจากนั้นก็ถอยห่างออกไป รักษาระยะห่างกับชายหนุ่ม
ด้วยการวางตัวที่ดีงามรู้จักกาลเทศะ โม่เสวี่ยถงจึงได้รับการยอมรับจากเหล่าคุณหนูเ่าั้อย่างรวดเร็ว สายตาที่จ้องมองอย่างไม่เป็มิตรในตอนแรกก็เริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ คุณหนูสามโม่ผู้นี้ไม่ใช่คนยโสโอหัง ไร้ความสามารถดังข่าวลือ และแน่นอนว่ากระทำของคุณหนูใหญ่ในวันนี้มิใช่สิ่งที่กุลสตรีพึงกระทำ
ข่าวลืออย่างไรก็เป็เพียงข่าวลือวันยังค่ำ!
สกุลโม่จะต้องถูกอนุภรรยากุมอำนาจ บุตรอนุจึงกำแหงออกมาเพ่นพ่านเป็แน่
ทุกคนต่างเป็บุตรภรรยาเอก ใครบ้างจะไม่รู้ว่าแม้มารดาของตนเองจะเป็บ้านหลัก แต่บางครั้งกลับถูกเหล่าอนุยิ้มเยาะ ความขื่นขมเหล่านี้มีเพียงบุตรภรรยาเอกเท่านั้นที่มองเห็นและเข้าใจ ย่อมต้องเกิดความรู้สึกสงสารพวกเดียวกัน แววตาของพวกนางที่มองโม่เสวี่ยถงอ่อนโยนและเป็มิตรมากขึ้น เผยความรู้สึกอยากช่วยปลอบประโลม
“คุณหนูสามอย่าร้อนใจไปเลย พี่สาวของเ้าอีกประเดี๋ยวก็คงฟื้น ที่จริงวันนี้อากาศก็ไม่ร้อน ไม่น่าจะหน้ามืดวิงเวียนได้” มีคนเห็นนางหน้าซีดก็ร้อนใจรีบกล่าวปลอบใจ
“ไม่เป็ไรหรอก ดูจากสีหน้าของนางแล้วยังแดงปลั่งสดใสอยู่เลย เป็เ้าเสียอีกที่ดูท่าจะสุขภาพไม่ค่อยดี อย่าให้คนพี่ไม่เป็อะไร แต่คนน้องเกิดย่ำแย่ขึ้นมากะทันหันเสียเล่า บ้านของเ้าก็กระไรเลย คนเป็พี่ไม่ดูแลน้อง กลับต้องให้น้องมาร้อนใจแทนอีก” คุณหนูอีกคนกล่าวร้องหาความเป็ธรรมให้นางขึ้นมาบ้าง
พอเฟิงเจวี๋ยเสวียนได้ฟังคำพูดของคุณหนูสองสามคนนั้น สายตาก็พลันเลื่อนไปที่ใบหน้าเล็กขาวซีดของโม่เสวี่ยถง สีหน้าของนางไม่ดีเอาจริงๆ หลังจากตกน้ำคราวก่อน แล้วก็เกิดเื่นั้นเื่นี้อยู่เรื่อย จึงมิได้ฟื้นบำรุงเต็มที่นัก ผิวขาวกระจ่างใสดั่งหยกงามล้ำค่าซีดเซียวจนน่าปวดใจ
มุมปากของนางหยักยิ้มบางๆ ยืนสงบเงียบอยู่ตรงนั้น อาภรณ์สีขาวเรียบที่สวมบนเรือนร่างสะบัดพลิ้วไปตามกระแสลมประหนึ่งเทพธิดาบนสรวง์ ความสง่างามเป็ธรรมชาติในแบบธิดาภรรยาเอกของตระกูลใหญ่เผยออกมาเด่นชัด เมื่อผนวกกับความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาไม่ว่าอย่างไรก็ดึงดูดสายตาผู้คนให้จับจ้องจนไม่อยากละสายตา
งดงามยิ่ง! หากภายในศาลานี้เป็ดั่งภาพวาด นางก็คือสีสันที่งดงามโดดเด่นอยู่ตรงกลาง ดวงตาเหมือนกับสายน้ำแห่งสารทฤดู คิ้วงามที่มุ่นเล็กน้อยยั่วเย้าให้เกิดจิตปฏิพัทธ์
“เชิญคุณหนูทุกท่านนั่งลงก่อนเถอะ หมอหลวงคงจะมาในไม่ช้า” เฟิงเจวี๋ยเสวียนนั่งนำก่อนเป็คนแรก ใบหน้าสุภาพอ่อนโยนกลั้วยิ้มละมุนละไมกวาดมองไปที่คุณหนูทุกคน ชั่วขณะนั้นพวกนางต่างเขินอายหน้าแดงไปตามๆ กัน ได้นั่งร่วมกับฉู่อ๋องและยังได้พูดคุยสนทนา เป็ใครก็รู้สึกยินดีทั้งสิ้น ทุกคนต่างก็ใฝ่ฝันอยากเป็ที่หมายตาของฉู่อ๋อง จะได้อยู่ร่วมงานเลี้ยงต่อในค่ำคืนนี้
แต่ละคนใบหน้าแดงปลั่งด้วยความตื่นเต้นดีใจ ไหนเลยจะมีใครไม่ยินยอม ต่างย่อกายคารวะต่อเฟิงเจวี๋ยเสวียน แล้วก็ผลักกันไปผลักกันมาเข้าไปนั่งที่ชานระเบียงด้านนอก
หลังจากนั่งลงแล้ว เฟิงเจวี๋ยเสวียนก็หยักยกริมฝีปากอมยิ้มมองไปที่สาวน้อยร่างบอบบางที่นั่งชิดกับโม่เสวี่ยิ่อยู่ที่มุมเสา แล้วเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “คุณหนูสามโม่เพิ่งมาเมืองหลวงหรือ แล้วก่อนหน้านั้นไปอยู่ที่ไหนเล่า ไฉนจึงไม่มาเมืองหลวงพร้อมกับใต้เท้าโม่”
เขาถามต่อเนื่องกันเป็ข้อๆ ทำให้โม่เสวี่ยถงยากจะตอบคำถามได้จริงๆ โดยเฉพาะตอนนี้เขาเป็บุรุษที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมสตรี ใครได้พูดคุยกับเขาย่อมทำให้สตรีคนอื่นๆ รู้สึกริษยาอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ โม่เสวี่ยถงไม่รู้ว่าตนเองไปต้องตาฉู่อ๋องได้อย่างไร ได้แต่มองโม่เสวี่ยิ่ที่อยู่ด้านข้างด้วยความกลัดกลุ้มสุดประมาณ
ในขณะที่นางกำลังถอนใจอยู่เงียบๆ อย่างจนใจ กำลังคิดจะเอ่ยปากพูด ทันใดนั้นก็ััได้ว่าขนตาของโม่เสวี่ยิ่ขยับไหว ชั่วขณะที่ตะลึงงันอยู่นั้น ภายใต้ก้นบึ้งดวงตาก็ฉายแววเ้าเล่ห์ออกมาวูบหนึ่ง สีหน้าราบเรียบไม่เปลี่ยนแปลง รอยยิ้มผลิบานอย่างอ่อนหวาน
โม่เสวี่ยิ่คิดจะแกล้งเป็ลม ก็ต้องดูด้วยว่านางเห็นด้วยหรือไม่
“หม่อมฉันสุขภาพไม่แข็งแรงจึงพักอยู่ที่อวิ๋นเฉิงมาโดยตลอดเพคะ” นางตอบกลับ เพียงประโยคเดียวก็ตอบครบใจความทั้งสองคำถาม ไม่มีการใส่ร้ายพาดพิงถึงใครให้คนรู้สึกรังเกียจ ไม่แสร้งไม่ตอบคำถาม นางมองผ่านองค์ชายใหญ่ผู้สูงศักดิ์อย่างช้าๆ พูดไปพลางก็ยื่นมือเข้าไปประคองศีรษะที่อ่อนพับของโม่เสวี่ยิ่มาวางไว้บนอ้อมแขน
นางยังเด็กแขนก็เล็กจ้อยร่อย ศีรษะของโม่เสวี่ยิ่พาดอยู่บนท่อนแขนดูจะเป็งานหนักอยู่ไม่น้อย แต่นางก็เคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน เห็นได้ชัดว่ากลัวโม่เสวี่ยิ่จะรู้สึกไม่สบายจึงพิถีพิถันอย่างยิ่ง ความอ่อนโยนของนางไม่ทำให้รู้สึกรำคาญตาเลยสักนิด
เห็นท่าทางของนางดูช่ำชองเช่นนั้น คุณหนูคนหนึ่งก็อดใจไม่ไหวเอ่ยถามขึ้นด้วยความแคลงใจ “คุณหนูสาม ปรกติพี่สาวของเ้าก็สุขภาพไม่ดีเช่นนี้อยู่บ่อยๆ หรือ เ้าจึงดูแลนางคล่องมือถึงเพียงนี้”
แม้ว่าคำถามนี้จะไม่ดังมาก แต่กลับทำให้ทุกคนรู้สึกสนใจขึ้นมา ชั่วขณะนั้นพวกนางก็จ้องมองนางด้วยแววตาวับวาว
หากคุณหนูใหญ่สกุลโม่เป็พวกอมโรคจริงๆ นั่นก็เป็ข่าวใหญ่ สกุลไหนอยากแต่งภรรยาที่สุขภาพไม่แข็งแรงเข้าจวนกันบ้างเล่า หลังจากแต่งเข้ามาไม่เพียงแต่ไม่อาจปรนนิบัติสามี แม้แต่ทายาทก็อาจมีให้ไม่ได้ นี่เป็เื่ใหญ่ที่สุด บุตรธิดาอนุภรรยาจะมีมากมายเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบความสำคัญกับบุตรธิดาของภรรยาเอกได้
ใครๆ ต่างก็เข้าใจเหตุผลข้อนี้ทั้งสิ้น
หากเื่ตนเองสุขภาพอ่อนแออมโรคแพร่งพรายออกไป งานแต่งที่วาดหวังไว้อย่างยิ่งใหญ่ก็เป็อันจบสิ้น โม่เสวี่ยิ่ที่พิงอยู่ในอ้อมแขนของโม่เสวี่ยถงเวลานี้โกรธจนแทบกระอัก เหงื่อเย็นไหลซึมไปทั่วร่าง
แต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ ตอนที่นางมาถึงทางเข้าศาลา พอสายตาสบกับเฟิงเจวี๋ยเสวียนก็ตื่นตระหนก เบื้องหน้าสายตาพลันมืดไปล้มลงตรงนั้น นางมิได้เป็ลมถึงขั้นไม่ฟื้น หลังจากหน้ามืดวิงเวียนอยู่ชั่วครู่ก็รู้สึกตัว แต่คิดไม่ถึงว่าในศาลายังมีขันทีน้อยอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง เฟิงเจวี๋ยเสวียนมิได้อุ้มนางขึ้นมาด้วยตนเอง แต่กลับให้ขันทีน้อยข้างกายอุ้มนางขึ้นมานั่งพิงที่ราวกั้นระเบียง
หลังจากนั้นขันทีน้อยก็ถูกส่งให้ไปตามหมอหลวง จึงเหลือเขาและนางอยู่ด้วยกันเพียงสองคนในศาลาอย่างแท้จริง ขณะที่กำลังแอบดีใจ นึกจินตนาการอยู่ว่าจะลืมตาขึ้นมาแล้วกล่าวคำขอบคุณด้วยท่าทางแช่มช้อยอ่อนหวานอย่างไรอยู่นั้น กลับมีสตรีกลุ่มหนึ่งกรูเข้ามา พูดจาเอะอะโวยวายว่านางแอบนัดพบกับบุรุษเป็การส่วนตัว ครั้นนางจะฟื้นขึ้นมาตอนนี้ก็ดูไม่สมเหตุผล จึงจำเป็ต้องแกล้งเป็ลมต่อไป และคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อย่างเงียบๆ
ในใจขุ่นเคืองจนอยากไล่ตะเพิดนังแพศยาเหล่านี้ไปให้หมด แผนการดีๆ ของตนเองต้องพังทลายลงไม่เป็ท่า มิหนำซ้ำนางยังต้องแกล้งเป็ลมต่อไปอีก ยังดีที่พวกนางไม่ได้ต่อว่าแต่ตนเองอยู่คนเดียว โม่เสวี่ยถงที่รับหน้าอยู่ก็โดนต่อว่าเสียดสีไปด้วย จึงค่อยรู้สึกสงบใจลงได้หน่อย รอชมละครสนุกฉากต่อไป
แต่คาดไม่ถึงว่าการที่โม่เสวี่ยถงประคองนางเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง กลับดึงนางเข้าสู่ประเด็นที่เป็หัวใจสำคัญอีกครั้ง
หัวข้อสนทนาเื่นี้ไม่ดีอย่างยิ่ง หากโม่เสวี่ยถงกล่าวถึงสิ่งที่ไม่เป็ผลดีกับนางก็แย่น่ะสิ! ฉู่อ๋องก็ประทับอยู่ฝั่งตรงข้าม นังโม่เสวี่ยถงตัวแสบช่างร้ายนัก
“พี่หญิง... สุขภาพแข็งแรงดีมาก แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเป็ลมสักครั้ง จริงๆ นะ นางสุขภาพแข็งแรงจริงๆ” โม่เสวี่ยถงแววตาวูบไหว ท่าทางอึกอักมองไปยังฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทางร้อนใจ ใบหน้าร้อนผ่าวจนแดงเถือก แต่กลับยังตอบคำถามด้วยน้ำเสียงมั่นคง แต่ใครๆ ก็มองออกว่าคำพูดของนางมีจุดอ่อน ปากกับใจไม่ตรงกันอย่างชัดเจน คิดแต่จะปกป้องพี่สาวของตนเอง
“แล้วเหตุใดคุณหนูสามซึ่งเป็คุณหนูของสกุลใหญ่โต จึงดูแลคนป่วยคล่องแคล่วเช่นนี้เล่า” มีคุณหนูบางคนไม่เชื่อจึงถามต่อ ไม่คิดปล่อยนางไปง่ายๆ
ริมฝีปากของโม่เสวี่ยถงเผยแววยิ้มเยาะออกมาวูบหนึ่ง แต่นางก้มหน้าอยู่จึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ชาติภพที่แล้วก่อนแต่งงานนางก็ดูแลใครไม่เป็ แต่พอแต่งเข้าไปอยู่ในบ้านของซือหม่าหลิงอวิ๋น มารดาผู้ร้ายกาจของเขาผู้นั้นสุขภาพไม่ค่อยดี และมักจะข่มเหงนางเพื่อระบายอารมณ์อยู่บ่อยๆ ด้วยรูปโฉมอัปลักษณ์ทำให้นางรู้สึกละอายใจต่อซือหม่าหลิงอวิ๋น จึงไม่กล้าเกียจคร้าน แม้จะทั้งถูกตบตีด่าทอก็ยังดูแลปรนนิบัติแม่สามีอย่างดี ในเมื่อนางทำทุกสิ่งด้วยตัวเองจะไม่ให้คล่องมือคงไม่ได้
เห็นทุกคนจ้องนางด้วยแววตาคมกริบ โม่เสวี่ยถงก็ทำท่าตื่นตระหนก อ้ำๆ อึ้งๆ ราวกับพูดไม่ออก ดวงตาช้อนขึ้นมองอย่างหวาดหวั่น ให้ความรู้สึกคล้ายไม่รู้ว่าตนเองผิดอะไร ขบริมฝีปากแน่นพยายามทำใจให้สงบ แต่ดวงตากลับกลอกไปมา ใครๆ ก็ดูออกว่านางมิได้พูดอย่างที่ใจคิด “มารดาที่บ้านสุขภาพไม่ดี ดังนั้นจึงต้องคอยดูแล”
มารดาผู้ใดสุขภาพไม่ดี จำเป็ต้องพึ่งพาเด็กสาวอายุน้อยตัวแค่นี้ด้วยหรือ ไม่ใช่ว่าขาดสาวใช้น้อยใหญ่คอยดูแลเสียหน่อย ไหนเลยจะมีเื่ราวเช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่ามีเจตนานำเื่อื่นขึ้นมาปกปิด แค่ดูก็รู้แล้วว่าทำเพื่อพี่สาวของตนเอง
โม่เสวี่ยิ่กลับร้อนใจขึ้นมาจริงๆ ไม่อาจแสร้งเป็ลมได้อีกต่อไป ไม่รู้ว่านังสารเลวโม่เสวี่ยถงจะคิดจัดการกับตนเองอย่างไรอีก หากเื่แบบนี้ถูกแพร่งพรายออกไป เื่การแต่งงานที่นางวาดหวังไว้คงไม่มีทางได้สมดังใจอีก ราชวงศ์ไหนเลยจะยอมรับสตรีที่สุขภาพอ่อนแอไปเป็ชายารององค์ชาย ยิ่งไม่ต้องคาดหวังถึงสถานะมารดาของแผ่นดินในอนาคต
นางไม่อาจเป็ลมแล้วปล่อยให้โม่เสวี่ยถงพูดจาเหลวไหลได้อีก
หลังจากตัดสินใจแล้วก็ขยับศีรษะเล็กน้อย ยกมือลูบคลำศีรษะแล้วลืมตาขึ้น ราวกับเพิ่งฟื้นคืนสติ ดวงตายังดูสะลึมสะลือมองไปที่เฟิงเจวี๋ยเสวียนที่อยู่ตรงข้าม ริมฝีปากคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยการประคับประคองของโม่เสวี่ยถง แล้วยอบกายคำนับอย่างแช่มช้อย “ขอบพระทัยฉู่อ๋องเพคะ เมื่อคืนหม่อมฉันอยู่เฝ้ามารดาจนดึกดื่น ต้องลมหนาว วันนี้จึงรู้สึกไม่ค่อยสบาย เมื่อครู่ดื่มสุราไปสองสามจอก รู้สึกมึนเมาเล็กน้อย วิงเวียนหน้ามืดไป ทำให้ฉู่อ๋องเห็นเื่ชวนขบขันแล้ว”
โม่เสวี่ยิ่เดิมทีก็มีหน้าตาสะสวย ยามนี้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนจึงทำให้ผู้อื่นรู้สึกดีได้ นอกจากนี้คำพูดที่นุ่มนวล พวงแก้มแดงปลั่งสดใส ดูแล้วไม่เหมือนคนป่วยอย่างแท้จริง ที่แท้ก็เพียงถูกลมหนาวยามค่ำคืนและมีสาเหตุมาจากเมาสุราเท่านั้น
“ก็มิได้ยุ่งยากอันใด ต่อไปหากคุณหนูใหญ่โม่จะออกมาข้างนอกก็ระวังสุขภาพหน่อยก็แล้วกัน” เฟิงเจวี๋ยเสวียนยิ้มกล่าวอย่างมีมารยาท เขาเป็คนสุภาพอ่อนโยน ยามนี้เห็นโม่เสวี่ยิ่ผลิยิ้มงดงามตระการตา เหล่าคุณหนูที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นแล้วก็รู้สึกขัดตายิ่งนัก
“มารดาของคุณหนูใหญ่เสียชีวิตไปแล้วมิใช่หรือ ไฉนจึงมีมารดาเพิ่มขึ้นมาอีกคนเล่า หรือว่าใต้เท้าโม่แต่งภรรยาเอกใหม่แล้ว นี่ไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ เห็นบอกว่ายังไม่ออกทุกข์มิใช่หรือ ไฉนจึง...” คุณหนูคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ด้านขวามือของโม่เสวี่ยถงเอ่ยถามขึ้นราวกับไม่ตั้งใจ แต่คำพูดช่างบาดใจยิ่ง
“เมื่อครู่ข้ารีบอธิบายไปหน่อย จึงกล่าวผิดไป ที่จริงแล้วเป็อี๋เหนียง” โม่เสวี่ยิ่หน้าแดง กล่าวอธิบายอย่างอ่อนโยน
“แค่อี๋เหนียงคนหนึ่งต้องให้คุณหนูใหญ่ของจวนโม่ไปเยี่ยมเยือนจนดึกดื่นเลยหรือ หรือว่าไปคุยปรึกษากันเื่ที่คุณหนูใหญ่จะมาร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาได้หรือไม่กันเล่า” คำพูดอีกประโยคตามมาอย่างรวดเร็วอย่างไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย
โม่เสวี่ยิ่มุ่นคิ้วขมวด ปรกติคุณหนูเหล่านี้ก็ไม่ชอบขี้หน้านางอยู่แล้ว แต่ไม่เคยใช้วาจาระรานเช่นนี้มาก่อน วันนี้แต่ละคนกลับทำราวกับไปกินดินปืนมา พูดจาแต่ละคำล้วนไม่มีความเกรงใจ
“น้องสามมาได้อย่างไร ในวังเ้าก็ยังไม่คุ้นเคย หากเดินสะเปะสะปะหลงทางไป แล้วพี่สาวจะหาตัวเ้าพบได้อย่างไร” โม่เสวี่ยิ่แสร้งทำไม่ได้ยินคำพูดของพวกนาง ย่นหัวคิ้วหันมาถามโม่เสวี่ยถง
พูดอ้อมไปอ้อมมาแต่เจตนา้าสื่อความหมายว่าโม่เสวี่ยถงไม่รู้ความ เที่ยวไปเดินเล่นสะเปะสะปะกับคุณหนูคนอื่นๆ แต่หากหยั่งความหมายเชิงลึกก็คือกล่าวว่านางเจตนาไปหาคนมาต่อว่าผู้เป็พี่สาวอย่างนาง ส่อให้เห็นถึงเจตนาไม่ดี
คุณหนูทุกคนมิใช่คนโง่ แค่ฟังก็รู้สึกโมโหขึ้นมา บางคนทนไม่ไหวถึงกับลุกขึ้นยืน
“พี่ใหญ่...” โม่เสวี่ยถงถูกว่ากล่าวรู้สึกราวกับถูกปรักปรำอย่างไม่ยุติธรรมจึงลุกขึ้น มือบีบผ้าเช็ดหน้า พูดพึมพำได้เพียงสองคำก็ถูกคนพูดแทรกขึ้นมา
“คุณหนูใหญ่มิใช่มาวังหลวงเป็ครั้งแรก แล้วปล่อยให้คุณหนูสามรออยู่ที่นั่นผู้เดียวได้อย่างไร ตัวเองแล่นมาพบฉู่อ๋องถึงที่นี่ น้องสาวของตนเองแท้ๆ ควรต้องดูแลให้ดีมิใช่หรือ” คุณหนูคนหนึ่งทนดูไม่ได้อีกต่อไป จึงเอ่ยวาจากระทบกระเทียบเสียดสี ตัวเองแล่นมาจับฉู่อ๋องแท้ๆ แต่กลับโทษว่าเป็ความผิดของน้องสาว ช่างไร้ยางอายจริงๆ
“คุณหนูสามโม่มาที่นี่เพราะพวกเรากลัวว่านางไม่รู้ทาง อาจพลัดหลงไปฝั่งที่นั่งของบุรุษ จึงดึงนางออกมาด้วยกัน ไม่มีอันใดมากไปกว่านั้น” ทุกคนล้วนเป็บุตรภรรยาเอก ทนเห็นความโอหังของบุตรอนุภรรยาไม่ได้ ตนเองมาพบบุรุษไม่พูดถึง กลับกล่าวโทษว่าน้องสาวพาผู้อื่นมาทำลายเื่ดีของตนเองอีก จึงมีคนกล่าวออกหน้าแทนโม่เสวี่ยถง
เฟิงเจวี๋ยเสวียนที่นั่งอยู่อีกด้านกวาดตามองมาที่โม่เสวี่ยิ่ปราดหนึ่ง แววตาล้ำลึกไม่เห็นก้นบึ้ง
“คุณหนูทุกท่านอย่าต่อว่ากันอีกเลย พี่สาวมิได้บอกว่าข้ามีเจตนาเสียหน่อย....” เห็นผู้อื่นรุมต่อว่าโม่เสวี่ยิ่ โม่เสวี่ยถงก็ช้อนตาขึ้นขบริมฝีปาก พยายามอธิบายแล้วหมุนตัวไปหาโม่เสวี่ยิ่เป็การตัดบท
“พี่หญิงใหญ่ หากไม่เป็อะไรแล้ว พวกเราก็กลับกันเถอะ”
หากกลับไปตอนนี้ก็แสดงว่า้าละทิ้งโอกาสร่วมงานเลี้ยง่ค่ำ ไม่ปรารถนาในตำแหน่งชายาเอกและชายารองน่ะสิ...