“ตอนนี้ยังเช้าอยู่ คอยอีกสักครู่เถอะ ฮองเฮายังไม่มีพระราชเสาวนีย์ลงมา บุตรธิดาของขุนนางอย่างพวกเราจะกลับก่อนได้อย่างไร” โม่เสวี่ยิ่โมโหจนแทบอดกลั้นไม่ไหว นางวางแผนแทบตายจะให้กลับไปมือเปล่าได้อย่างไร สายตาของฉู่อ๋องั้แ่ต้นจนบัดนี้ก็ยังอยู่ที่ตนเองไม่ไปไหน เห็นชัดว่ามิใช่ไม่มีใจด้วย นางไม่เชื่อว่าความงามของตนเองจะทำให้เขาพึงพอใจไม่ได้
“พี่หญิงใหญ่ ตอนออกมาท่านพ่อกำชับกับถงเอ๋อร์ไว้ว่า หากงานเลี้ยง่กลางวันเลิกแล้วต้องรีบกลับ ถ้าพี่หญิงอยากอยู่ต่อ ถงเอ๋อร์ก็ขอกลับก่อนนะเ้าคะ ท่านพ่อจะได้ไม่เป็ห่วง” โม่เสวี่ยถงมุ่นคิ้วเล็กน้อย ดวงตาสงบนิ่งดั่งวารีไหววูบอย่างลำบากใจ คุณหนูคนอื่นๆ ได้ยินแล้วจึงจับผิดได้อีกครา
คุณหนูที่ปากคอเราะรายผู้นั้นพูดต่อทันที “คุณหนูสามโม่ คุณหนูใหญ่มิได้ตามเ้าเข้าวังมาด้วยกันหรอกหรือ จึงไม่ได้ยินแม้แต่คำสั่งของใต้เท้าโม่ หรือว่านางเข้าวังมากับผู้อื่น”
บุตรสาวอนุภรรยาคนหนึ่งสามารถเข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาได้ก็เป็เื่เหลือเชื่ออยู่แล้ว หากตามผู้อื่นซึ่งมีป้ายคำสั่งเข้ามา ก็ยิ่งทำให้ผู้อื่นเชื่อว่าต้องมีปัญหาแน่นอน
เมื่อเจอกับคำถามแบบนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของโม่เสวี่ยิ่ก็ชะงักค้าง สีหน้าคล้ำสลับซีด ถามขึ้นต่อหน้าฉู่อ๋องเยี่ยงนี้ ยิ่งเป็การยืนยันว่านางมีใจหมายเกาะกิ่งสูงเป็แน่แท้ คำถามนี้ตอบไม่ง่ายและไม่ว่าคำตอบจะใช่หรือไม่ล้วนไม่เป็ผลดีทั้งสิ้น แม้ว่าโม่เสวี่ยิ่จะมีปฏิภาณไหวพริบเฉียบไว แต่พอเจอคำถามที่เจาะจงโดยตรงแบบนี้ ก็ตอบไม่ออกเหมือนกัน สีหน้ากระอักกระอ่วนสุดประมาณ
“คุณหนู ฟื้นแล้วหรือเ้าคะ ช่างดีเหลือเกิน หมอหลวงมาแล้วเ้าค่ะ” เสียงของโม่จิ่นลอยมาได้เวลาพอดี สายตาและความสนใจของทุกคนจึงเคลื่อนไปด้านนอกศาลา โม่เสวี่ยิ่ลอบถอนใจด้วยความยินดี ขันทีน้อยและหมอหลวงท่านหนึ่งปรากฏตัวขึ้นหน้าทางเข้าลานสวนซึ่งอยู่ไม่ไกล โม่จิ่นเดินนำเข้ามาก่อน
เหล่าคุณหนูรีบถอยออกไปอย่างมีมารยาท โม่เสวี่ยถงลังเลใจชั่วครู่ขณะลุกขึ้นคิดจะกล่าวทูลลา กลับถูกเฟิงเจวี๋ยเสวียนรั้งไว้ “ช้าก่อน... คุณหนูสามโม่ อย่าเพิ่งไป รอหลังจากตรวจอาการก่อน แล้วค่อยว่ากันเถิด”
เฟิงเจวี๋ยเสวียนมีกระแสรับสั่งออกมาแล้ว หากนางยังดึงดันจะไปให้ได้ย่อมไม่สมควร โม่เสวี่ยถงจึงจำต้องถอยไปยืนหลบมุมอยู่อีกด้านหนึ่ง
โม่เสวี่ยิ่ย่อมไม่ต้องไปแล้ว จึงนั่งลงรอหมอหลวงเข้ามาตรวจอาการ
หลังจากหมอหลวงตรวจดูแล้วก็ไม่พบว่าเป็อะไร บอกเพียงว่าหลังดื่มสุรา และยังต้องลมทำให้สุขภาพอ่อนแอลงชั่วขณะ ได้พักผ่อนสักพักหนึ่งก็จะหายดี
คำวินิจฉัยนี้กล่าวได้ดียิ่ง ให้พักผ่อนพักหนึ่ง ไม่อาจรู้ได้ว่า 'พักหนึ่ง' นับเป็เวลาเท่าไร หรือต้องรอถึงเวลางานเลี้ยง่ค่ำจึงจะนับว่ากำลังดี
เห็นโม่จิ่นกระตือรือร้นพาหมอหลวงไปส่งที่ประตูชั้นนอก โม่เสวี่ยถงก็ก้มหน้าลงต่ำริมฝีปากเผยรอยยิ้มเยาะหยัน แม้แต่หมอหลวงโม่เสวี่ยิ่ยังสามารถซื้อตัวได้ แบบนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
“ฉู่อ๋อง พี่สาวของหม่อมฉันอาการยังไม่ดี รบกวนท่านอ๋องเมตตาหาห้องพักให้นางพักผ่อนสักครู่เถิดเพคะ” โม่เสวี่ยถงช้อนตาขึ้นมองเฟิงเจวี๋ยเสวียนด้วยสีหน้าลำบากใจ หากโม่เสวี่ยิ่หมายจะจับเฟิงเจวี๋ยเสวียนแน่นอนแล้ว ตนเองก็จะผลักดันให้ รอดูว่านางจะมีชีวิตรอดไปถึงตำแหน่งชายาอ๋องได้หรือไม่
“คุณหนูสามเกรงใจไปแล้ว หากคุณหนูใหญ่ไม่สบาย คุณหนูสามก็รั้งอยู่ดูแลนางก่อน รอให้หายดีแล้วค่อยกลับไปด้วยกันก็ได้” ใบหน้าคมสันหล่อเหลาผลิยิ้มอ่อนโยน กล่าวเชื้อเชิญอย่างสุภาพ
“ขอบพระทัยในความหวังดีของฉู่อ๋อง เพียงแต่ท่านพ่อรออยู่ที่บ้าน ร่างกายของพี่สาวก็มิได้เป็อะไรมาก ได้พักผ่อนอีกเล็กน้อยก็คงหายดี ท่านอ๋องช่วยเป็ธุระดูแลให้เท่านี้ หม่อมฉันก็ซาบซึ้งใจยิ่งแล้วเพคะ”
โม่เสวี่ยถงยิ้มกล่าวอย่างนุ่มนวล ดวงตากระจ่างใสเป็ประกายราวกับผิวน้ำ แววตาบริสุทธิ์ไร้เดียงสางดงามเป็ธรรมชาติ ยามแย้มยิ้มประหนึ่งฝันอันงดงาม ที่ตรึงตาตรึงใจจนไม่อยากตื่น
เพียงหนึ่งยิ้มทอประกายบนใบหน้าทุกสิ่งรอบข้างพลันมัวหมอง แม้แต่ความงามที่บานสะพรั่งของโม่เสวี่ยิ่ยังไม่อาจเปล่งประกาย รูปลักษณ์ความงามเช่นนี้ อีกไม่กี่ปีจะกลายเป็ยอดหญิงงามล้ำเลิศปานไหนหนอ
เฟิงเจวี๋ยเสวียนหรี่ตาลงมองดรุณีน้อยผู้มีรอยยิ้มประหนึ่งบุปผา รอยยิ้มยิ่งอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ เอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล “ก็ให้คนไปแจ้งบิดาของเ้าก่อนสิ พี่สาวเ้าเป็แบบนี้ หากข้างกายไม่มีญาติพี่น้องคอยดูแลคงไม่ดีนัก”
กล่าวจบก็ไม่รอให้นางออกความเห็นใดๆ หันไปสั่งการกับขันทีน้อยเป็การเฉพาะ ขันทีรับคำสั่งแล้วก็ออกไปหน้าลานสวนแล้วถ่ายทอดคำสั่งให้ผู้อื่นอีกที หลังจากนั้นก็กลับมากราบทูลว่าได้ส่งคนไปแจ้งใต้เท้าโม่แล้ว
สิ่งนี้บ่งชัดถึงความประสงค์ที่้ารั้งให้อยู่ต่อ เบื้องลึกดวงตาของโม่เสวี่ยถงฉายแววเคลือบแคลงสงสัย นางไม่รู้สึกว่าตนเองมีความจำเป็ต้องอยู่ แต่เฟิงเจวี๋ยเสวียนก็ไม่รอคำตอบจากนาง ซ้ำยังเป็ธุระแทนให้อีก จึงไม่อาจปฏิเสธได้
เฟิงเจวี๋ยเสวียนจัดหาห้องให้พวกนางสองห้อง หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยเขาก็จากไป โม่จิ่นประคองโม่เสวี่ยิ่ที่ดูอ่อนแรงเข้าไปพักผ่อนในห้องที่ดูสว่างสดใส ทิ้งให้โม่เสวี่ยถงอยู่อีกห้องที่ค่อนข้างมืดเล็กน้อย
“คุณหนู้าพักผ่อนสักครู่หรือไม่เ้าคะ” หลังจากเข้ามาในห้องแล้ว โม่หลันก็เข้ามาทำความสะอาดรอบหนึ่งก่อนเอ่ยถามเสียงเบา
โม่เสวี่ยถงพยักหน้า มุ่นหัวคิ้วเล็กน้อยก่อนขึ้นไปเอนกายบนตั่งโฉมงาม ตัดสินใจว่าอีกสักครู่จะแกล้งป่วย ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาในตอนค่ำเด็ดขาด ด้านหลังพิงหมอนใบใหญ่ เอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดอ่านฆ่าเวลา ภายในห้องเงียบเชียบ มีเพียงเสียงพลิกตำราเบาๆ
โม่หลันรออยู่ในห้องก็ไม่เห็นว่าจะมีใครมาส่งน้ำชาให้เสียที จึงออกไปหาคนให้ช่วยนำน้ำชาเข้ามาให้
“ทำไมจึงไม่กลับไปเล่า หรือคิดรั้งอยู่เพื่อตำแหน่งชายาองค์ชาย พวกเรามาตกลงกันดีหรือไม่ ด้วยสถานะของเ้าแม้ว่าจะด้อยไปนิด แต่ให้เป็ชายารองก็พอไหวอยู่”
น้ำเสียงคล้ายคนเกียจคร้านแฝงความโอหังลอยมา โม่เสวี่ยถงเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเฟิงเจวี๋ยหร่านในอาภรณ์สีม่วงงามสง่ายืนพิงอยู่ที่หน้าต่าง ไม่รู้ว่ามาั้แ่ตอนไหน เขายืนเชิดหน้า ริมฝีปากหยักยกคล้ายเยาะหยัน รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ดั่งปีศาจร้าย
“ถวายบังคมเซวียนอ๋อง” หญิงสาวลุกขึ้นจากตั่ง จัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อยก่อนยอบกายคำนับเขาอย่างเต็มพิธีการ สุภาพไว้มารยาทและห่างเหินเป็ที่สุด
เฟิงเจวี๋ยหร่านพลิกกายเข้ามาทางหน้าต่าง ถือวิสาสะเข้ามานั่งที่เก้าอี้มีพนักพิงตัวใหญ่ที่อยู่ด้านใน ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย กล่าวว่า “ท่าทางมีมารยาทของเ้าแบบนี้ ช่างเห็นได้ยากยิ่ง มาเป็สาวใช้ส่วนตัวของข้าเป็อย่างไร ก็ไม่ด้อยไปกว่าตำแหน่งชายาองค์ชายเท่าไรหรอกนะ เป็ชายาจะพบองค์ชายยังต้องผ่านสามพิธีสี่กราบทูล แต่ถ้าเป็สาวใช้ อยากพบข้าตอนไหนก็ไม่ต้องบอกให้ผู้ใดรับรู้”
คำพูดนี้ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็น่าโมโห นางได้แต่จนใจทำอะไรไม่ได้ จึงไม่นำพาต่อวาจาของเขา เอ่ยถามเสียงเรียบ “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมีสิ่งใดจะบัญชาหรือเพคะ”
เขาเป็ถึงเซวียนอ๋องผู้สูงศักดิ์ นางไม่คิดว่าระหว่างนางกับเขาจะมีเื่อะไรให้ยุ่งเกี่ยวกันได้
“เ้าไม่อยากไปจากวังหลวงจริงๆ หรือ ได้... หากอยากแต่งให้องค์ชายผู้นั้น ข้าก็จะไปช่วยพูดให้ แต่หากพึงใจข้าก็ไม่เป็ไรนะ คราวนี้ข้าจะไปทูลขอเสด็จพ่อให้ประทานเ้าให้ข้าเอง” นิ้วเรียวยาวของเฟิงเจวี๋ยหร่านดีดโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าเล่นเบาๆ กระดกหางตาขึ้นอย่างยั่วเย้า
“หากท่านอ๋องช่วยให้หม่อมฉันออกไปได้ หม่อมฉันจะซาบซึ้งในพระกรุณาเป็อย่างยิ่ง” ยามนี้โม่เสวี่ยถงใจเย็นลงแล้ว แม้ไม่ทราบว่าเขามาหาตนเองด้วยธุระอันใด แต่เป็ไปได้สูงว่ามิใช่เื่ดี ถึงจะเคยพบกันเพียงไม่กี่ครั้ง ก็รู้ได้ว่าเขาเป็คนอารมณ์แปรปรวนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่อาจคาดเดา แม้ดวงตาคู่นั้นจะละม้ายรอยยิ้ม แต่กลับลึกไม่ถึงก้นบึ้ง เขามิได้เป็อย่างที่แสดงออกมาให้เห็นแน่นอน ตนเองควรระมัดระวังการปฏิบัติตัวต่อเขาให้มากจึงจะถูกต้อง
“เ้าไม่อยากเป็ชายาองค์ชายหรือ” เฟิงเจวี๋ยหร่านจ้องนางด้วยแววตาล้ำลึก พลังที่ทอดมาสายนั้นราวกับว่าหากนางกล้าคิด เขาก็พร้อมกลืนนางเข้าไปทั้งตัว
“ไม่อยากเพคะ” โม่เสวี่ยถงตอบอย่างใสซื่อ
เห็นนางตอบคำถามด้วยท่าทางสงบนิ่ง มุมปากของเฟิงเจวี๋ยหร่านก็กระดกขึ้นฉับพลัน ยิ้มอย่างพึงพอใจ นิ้วมือเคาะลงไปบนโต๊ะอีกสองครั้งตามอารมณ์ แล้วก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคุกคามเล็กน้อย “เสด็จพี่ใหญ่ทรงเป็ผู้ที่มีโอกาสถามหากระถางสำริด[1]มากที่สุดเชียวนะ เ้าไม่คิดจะ...”
คำพูดปลุกปั่นพรรค์นี้เขายังกล้าพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง พระโอรสผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์พระองค์นี้ช่างไม่เหมือนผู้ใดจริงๆ ความบ้าบิ่นของเขามีมากกว่าคนธรรมดามากนัก
“ไม่คิดเพคะ และไม่มีทางคิดอย่างเด็ดขาด!” โม่เสวี่ยถงตอบอย่างหนักแน่น แม้ไม่รู้ว่าเขา้าอะไร แต่ดูจากท่าทางแล้วเหมือนจะพึงพอใจในคำตอบก่อนหน้า แล้วนางจะไม่ยืนกรานให้หนักแน่นขึ้นอีกได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็ไม่้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ภายในราชวงศ์ด้วย
ครานี้เห็นได้ชัดว่าเฟิงเจวี๋ยหร่านพึงพอใจกับคำตอบอย่างแท้จริง ในมือของเขาไม่รู้ว่าหยิบพัดออกมาั้แ่ตอนไหน โบกอยู่สองสามครั้ง ดวงตาก็เกิดประกายวาววับราวกับมีความคิดชั่วร้าย ก่อนกระซิบเอ่ยข้อเสนอ
“เอาจริงนะ หากเ้าไม่อยากเป็สาวใช้ ก็มาเป็ชายาของข้าดีไหม”
“...” โม่เสวี่ยถงอึ้งงัน พูดไม่ออก หมดวาจาไปโดยปริยาย
เห็นนางอ้าปากตาค้างดูโง่งมไร้เดียงสา แตกต่างจากสาวน้อยที่ดูเปราะบางยามปรกติโดยสิ้นเชิง เฟิงเจวี๋ยหร่านก็รู้สึกอารมณ์ดีเป็อย่างยิ่ง โบกมือกล่าวอย่างใจกว้าง “ไม่คิดจริงๆ หรือแกล้งไม่คิด ไม่เป็ไรๆ ข้าอนุญาตให้เ้าไตร่ตรองก่อนได้”
เขายังอุตส่าห์คิดแทนผู้อื่นได้อีกแหนะ!
โม่เสวี่ยถงระงับความคิดหุนหันพลันแล่นที่จะกระโจนกัดเขาให้จมเขี้ยวลงไป ไม่ใช่เพราะตนเองเยือกเย็นอะไรมากมาย แต่เพราะคนผู้นี้อันตรายเกินไปจริงๆ
“น้ำพระทัยอันเปี่ยมล้นขององค์ชาย หม่อมฉันจะจำใส่ใจ แต่ไม่ทราบว่าทรงพอมีวิธีการส่งหม่อมฉันออกจากวังหรือไม่เพคะ” ตอนนี้นางอยู่ในที่ของเขา ไม่อาจระบายโทสะได้ เอาเถิด... นางจะทน โม่เสวี่ยถงคิดในใจ แม้ว่าปากจะกล่าวอย่างมีมารยาท แต่ดวงตาหวานกลับจ้องมองเขาอย่างรู้สึกอึดอัด ลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่เงียบๆ
“เ้าอยากจะออกจากวังจริงๆ?” เฟิงเจวี๋ยหร่านนั่งพิงเก้าอี้อย่างสบายใจเฉิบ ออกปากถามไปเรื่อย
“เพคะ ไม่ทราบว่าองค์ชายมีวิธีหรือไม่ เื่วันนี้ต้องขอขอบพระทัยในพระกรุณา” โม่เสวี่ยถงเอ่ยวาจาสุภาพ ยิ่งกล่าวก็ยิ่งให้ความรู้สึกห่างเหิน นางไม่อยากเข้าใกล้วังหลวงแม้แต่น้อย
“การช่วยเหลือวันนี้นับว่ายิ่งใหญ่หรือไม่” เฟิงเจวี๋ยหร่านกำลังอารมณ์ดียิ่ง ดวงตากลอกไปรอบๆ รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งหล่อเหลาร้ายกาจ เปี่ยมเสน่ห์จนชวนตาลาย
“ยิ่งใหญ่เพคะ” โม่เสวี่ยถงไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร แต่จำต้องไหลตามน้ำไปก่อน
“ความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่แบบนี้... แล้วเ้าคิดจะขอบคุณข้าอย่างไรบ้าง” ใบหน้าของเฟิงเจวี๋ยหร่านอาบด้วยรอยยิ้มเยี่ยงสุนัขจิ้งจอก
โม่เสวี่ยถงไร้วาจา ยกมือขึ้นคลึงขมับก่อนตอบอย่างจนใจ “องค์ชายประสงค์สิ่งใดเล่า”
การวางตัวเป็ธรรมชาติไร้การระวังป้องกันเช่นนี้ของนาง สร้างความเบิกบานใจให้เขา เฟิงเจวี๋ยหร่านแววตาแฝงยิ้ม นั่งยืดหลังตรงขึ้นมา ตัดสินใจปล่อยนังเหมียวตัวน้อยที่แสนน่ารักและฉลาดเฉลียวตัวนี้ไป ด้วย 'พระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่' แน่นอนว่าน้ำใจที่ติดค้างเขาย่อมทวงถาม ก่อนออกไปยังกำชับกับนางเป็พิเศษว่า อีกประเดี๋ยวหากเขาพานางออกจากวังไปได้แล้ว ขอนับว่าวันนี้เขาช่วยเหลือนาง 'อย่างยิ่งใหญ่' ไปแล้วถึงสองเื่ ครั้งหน้าให้คิดมาด้วยว่าจะขอบคุณเขาอย่างไร
โม่เสวี่ยถงย่อมรับประกันว่าตนเองไม่ใช่คนลืมบุญคุณคน ต้องตอบแทนอย่างแน่นอน แม้ว่า... ต่อให้ไม่อาจตอบแทนในชาตินี้ก็จะจดจำตลอดชีวิตไม่ลืมเลือน เฟิงเจวี๋ยหร่านถึงยอมปล่อยนาง
โม่หลันเดินเข้ามาพร้อมนางกำนัลคนหนึ่ง หลังส่งน้ำชาเข้ามาไม่นาน ก็มีขันทีน้อยมารายงานว่าใต้เท้าโม่ให้คุณหนูสามรีบกลับจวน ส่วนคุณหนูใหญ่ไม่สบายให้พักผ่อนสักครู่ก่อนค่อยตามกลับภายหลัง ผลลัพธ์แบบนี้สร้างความยินดีกับทุกฝ่าย ไม่ว่าโม่เสวี่ยิ่ก็ดีหรือโม่เสวี่ยถงก็ดี ล้วนพึงพอใจกับคำตอบที่ได้
หลังจากบอกกล่าวแล้ว โม่เสวี่ยิ่ย่อมไม่รั้งนางไว้ เพียงบอกให้นางเดินทางกลับดีๆ การจากไปของโม่เสวี่ยถงนำความยินดีปรีดามาให้โม่เสวี่ยิ่ สายตาของเฟิงเจวี๋ยเสวียนที่มองโม่เสวี่ยถงเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าแตกต่างกับที่มองนาง ทำให้โม่เสวี่ยิ่ขัดเคืองใจยิ่ง
โม่เสวี่ยิ่กระวีกระวาดเดินไปส่งโม่เสวี่ยถงถึงหน้าประตูด้วยรอยยิ้มอย่างสนิทสนม คล้ายพี่สาวน้องสาวคลานตามกันมาก็ไม่ปาน
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูสามกลับไปแบบนี้ จะไปฟ้องอะไรนายท่านหรือไม่” โม่จิ่นยืนมองสองนายบ่าวจากไป แล้วถามด้วยความกังวล
“ฟ้องอะไร ข้าทำสิ่งใดไม่ถูกหรือ” โม่เสวี่ยิ่ลอยหน้าอย่างไม่รู้สึกรู้สา ยกมุมปากยิ้มเยาะก่อนหมุนตัวเดินกลับมา ยามนี้ไม่มีผู้อื่น นางไม่จำเป็ต้องปั้นหน้าเป็คุณหนูใหญ่ผู้อ่อนโยนแสนดี
“แต่หากนายท่านทราบว่าคุณหนูมีเจตนารั้งอยู่ที่นี่...” โม่จิ่นยังไม่วางใจ การที่คุณหนูมาร่วมงานเลี้ยงวันนี้คือแผนที่วางไว้ล่วงหน้านานแล้ว หากนายท่านล่วงรู้ เกรงว่าจะไม่ใจดีกับคุณหนูเหมือนเช่นที่ผ่านมาอีก
“แล้วอย่างไรหรือ? หากต่อไปข้าได้เป็ชายาองค์ชาย ท่านพ่อจะว่าอะไรได้ แม้ว่าเขาจะรักนังแพศยานั่นแค่ไหน ข้าก็มีวิธีทำให้นางตายได้อยู่ดี” โม่เสวี่ยิ่แค่นเสียงเย็น ปรายหางตามองโม่จิ่นอย่างไม่พอใจ “นางไปได้ก็ดี”
นังโม่เสวี่ยถงไปได้ยิ่งดี นางจะได้ทำอะไรสะดวกหน่อย
กลางดึกคืนนั้น โม่เสวี่ยถงสะดุ้งตื่นจากเสียงเอะอะที่ดังขึ้นกะทันหัน เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นโม่หลันเข้าห้องมาอย่างรีบร้อน กล่าวละล่ำละลัก “คุณหนูใหญ่เกิดเื่ในวังเ้าค่ะ”
…….....................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] กระถางสำริด หรือ ติ่ง เป็สัญลักษณ์แห่งอำนาจ สำนวน ‘ถามหากระถางสำริด’ จึงหมายถึงมีอำนาจมากพอในการ่ชิงบัลลังก์