“เื่อะไร” โม่เสวี่ยถงหลับตาลงพิงหมอนนุ่มถามเสียงเรียบ
“บ่าวก็ยังไม่รู้แน่ชัด เมื่อครู่มีคนกลุ่มหนึ่งพาคุณหนูใหญ่เข้ามา โม่เยี่ยได้ยินเสียงจึงออกไปดู บอกว่าเป็ขันทีสองสามคน แม้แต่ฟางอี๋เหนียงที่ถูกกักบริเวณอยู่นายท่านก็ยังให้คนไปตามตัวมา ตอนนี้นายท่านพาคุณหนูใหญ่ไปที่เรือนฝูฉิงแล้วเ้าค่ะ” โม่หลันเองก็รู้ไม่มากนัก แต่หากเป็เื่เมื่อตอนกลางวันนางกระจ่างใจยิ่ง
เหตุเกิดในวังหลวง ย่อมเป็ไปได้ทั้งเื่เล็กและเื่ใหญ่ โม่เสวี่ยิ่ปรารถนาจะเป็ที่หมายตาของฉู่อ๋อง คิดจะอาศัยรูปโฉมของตนปีนป่ายสู่ตำแหน่งชายา แต่โม่เสวี่ยถงรู้ว่านั่นเป็เพียงฝันลมๆ แล้งๆ
ชาติภพที่แล้วใน่เวลานี้ผู้ที่เข้าวังพร้อมกับนางก็คือโม่เสวี่ยิ่ ถึงเวลาตนเองกลับถึงจวน จึงไม่ได้ยินข่าวว่าโม่เสวี่ยิ่ไปพัวพันกับเหล่าองค์ชาย แต่ด้วยนิสัยของนางผู้ใดก็ไม่น่าเย้ายวนใจเท่าองค์ชายที่มีทั้งสถานะสูงส่งและมีอำนาจบารมียิ่งใหญ่ใกล้ชิดบัลลังก์ัอีกแล้ว รัฐทายาทิกั๋วกงแม้จะสูงศักดิ์ แต่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับองค์ชายที่มีบรรดาศักดิ์อ๋องสามพระองค์นั้น
ไม่ว่าชาติที่แล้วหรือชาตินี้ โม่เสวี่ยิ่ก็ยังคงฝันเฟื่องไม่เปลี่ยนแปลง คาดไม่ถึงว่างานเลี้ยงครั้งนี้จะเป็งานดับฝัน ตัดหนทางตะกายสู่ที่สูงของนางโดยสิ้นเชิง ชาติที่แล้วนางก็ตามหลังโหยวเยวี่ยเฉิงอยู่หลายปี แต่ก็ไร้ผล หรือว่า... อาจมีสาเหตุมาจากเื่นี้
“โม่เยี่ยล่ะ?”
“นางเพิ่งบอกกับบ่าวว่าจะไปเฝ้าจับตาสังเกตการณ์ที่เรือนฝูฉิง แล้วจะกลับมารายงานให้คุณหนูรับทราบเ้าค่ะ” ในบรรดาสาวใช้ประจำตัวของโม่เสวี่ยถง โม่หลันย่อมกระจ่างใจที่สุดว่าโม่เยี่ยมิใช่สาวใช้ธรรมดา ปรกติก็ค่อนข้างสนิทสนมกับนาง
“นางกลับมาเมื่อไร ก็ปลุกข้าด้วยแล้วกัน” โม่เสวี่ยถงหาวหวอดอย่างเกียจคร้าน แล้วหาตำแหน่งที่สบายที่สุดทิ้งตัวหลับต่อ
“เ้าค่ะ” โม่หลันยกเชิงเทียนออกไป
โม่เสวี่ยถงรู้สึกหลับสบายยิ่ง ยามตื่นขึ้นมาอีกครั้ง โม่เยี่ยก็กลับมาแล้ว โม่หลันเข้ามาปรนนิบัติล้างหน้าแต่งตัวให้ ส่วนโม่เยี่ยก็ยืนรายงานสิ่งที่ได้พบเห็นและได้ยินมา
“เ้าว่าคุณหนูใหญ่ไปมีเื่กับผู้สูงศักดิ์ และยังล่วงเกินคนผู้นั้นด้วยหรือ” โม่เสวี่ยถงนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งถามเรียบๆ โม่หลันกำลังแปรงผมยาวดำขลับให้นางอย่างพิถีพิถัน ภาพใบหน้าหญิงสาวที่สะท้อนอยู่บนกระจกทองเหลืองสดใสไร้เดียงสา ร่างน้อยบอบบางน่าทะนุถนอมเหมือนกระเบื้องเคลือบที่แตกหักง่าย แต่ภายใต้บรรยากาศยามรุ่งสางที่แสงแรกแห่งอรุณยังไม่ทอทาบขอบฟ้ากลับสะท้อนให้เห็นความเยือกเย็นประหนึ่งน้ำแข็งเหมันต์
“บ่าวเห็นใบหน้าของคุณหนูใหญ่มีรอยนิ้วมือสองรอย เสื้อผ้ายับยุ่ง แม้กระทั่งทรงผมก็หลุดลุ่ยกระจัดกระจายเ้าค่ะ” เมื่อวานโม่เยี่ยมิได้นอนตลอดคืน ออกไปปะปนกับในกลุ่มสาวใช้ที่อยู่นอกเรือน แม้ว่าจะอยู่ไกลออกมา แต่นางเป็ผู้มีวรยุทธ์ ทักษะในการมองเห็นและการได้ยินล้วนไม่เลว จึงรับรู้เื่ราวโดยรวมได้ชัดเจน
ในวังหลวงมีผู้สูงศักดิ์ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็ผู้ใดโม่เสวี่ยิ่ก็ไม่อาจล่วงเกินได้ทั้งสิ้น แต่ผู้ที่สามารถใช้ขันทีให้มาส่งคุณหนูสกุลสูงผู้หนึ่งออกมาจากวังหลวงยามค่ำคืนได้ย่อมมิใช่ผู้สูงศักดิ์ธรรมดา
ด้วยความลุ่มลึกของโม่เสวี่ยิ่ไฉนจึงถึงกับควบคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่ไปล่วงเกินผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นได้ โม่เสวี่ยถงรู้ซึ้งถึงขีดความอดทนของโม่เสวี่ยิ่ดีกว่าใคร เมื่อชาติที่แล้วกว่านางจะเผยโฉมหน้าอำมหิตที่แท้จริงออกมา ก็คือวาระสุดท้ายที่กรอกสุราพิษให้ตนเอง
“โม่จิ่นไม่ได้กลับมาด้วยเ้าค่ะ” ในสมองพลันเกิดลำแสงสว่างวาบ คำกล่าวประโยคนี้คือสิ่งยืนยันที่แน่ชัด
“ใช่เ้าค่ะ บ่าวไม่เห็นโม่จิ่นเลย คนที่วังหลวงส่งกลับมา มีแค่คุณหนูใหญ่คนเดียวเ้าค่ะ”
เรือนฝูงฉิงชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด ทั้งสาวใช้รุ่นเล็กรุ่นใหญ่ถูกไล่ให้ไปอยู่นอกเรือน โม่เยี่ยจับตาสังเกตอยู่ตลอดเวลาจึงพบว่าผู้ที่ออกมามีเพียงโม่ซิ่วคนเดียว แต่โม่จิ่นผู้จองหองกลับไม่เห็นแม้แต่เงา จากที่ไปแอบสอบถามมาจึงทราบว่ามีเพียงโม่เสวี่ยิ่คนเดียวที่ถูกส่งกลับมา
เมื่อเกิดเื่ราวฉาวโฉ่ สาวใช้ต่ำต้อยคนหนึ่งที่รู้เื่ราวย่อมไม่อาจมีชีวิตรอดออกมา เมื่อชาติภพที่แล้วเคยนึกว่าสิ่งที่ลั่วิจูเล่าให้นางฟังเป็เพียงข่าวลือที่ไม่น่าเชื่อถือ บัดนี้มาไตร่ตรองดู เื่เหล่านี้มีแนวโน้มเชื่อถือได้มากกว่าครึ่งจริงๆ
ลั่วิจูเคยเตือนให้นางระวังโม่เสวี่ยิ่ ตอนนั้นนางเอ่ยถึงเื่นี้ บอกว่าโม่เสวี่ยิ่มีประวัติไม่ดี เข้าวังไปก็ส่งจดหมายนัดพบฉู่อ๋องเป็การส่วนตัว แต่คิดไม่ถึงว่าองค์ชายใหญ่จะไม่ได้มา ผู้มากลับเป็องค์หญิงห้าและโยนจดหมายฉบับนั้นใส่หน้า
จดหมายฉบับนั้นเป็หลักฐานยืนยันว่าโม่เสวี่ยิ่ทำสิ่งไร้ยางอายคิดหมายจะจับฉู่อ๋อง หลังจากถูกตบหน้าสั่งสอนไปสิบกว่าที แล้วส่งตัวกลับจวน เมื่อชาติภพก่อนโม่เสวี่ยิ่เข้าวังก็ถูกดับฝันด้วยเหตุนี้ ได้ยินมาว่าพอฮองเฮาทรงทราบเื่ก็กริ้วจัด ส่งคนมาด่าทอนาง มิหนำซ้ำยังปล่อยข่าวลือว่า “สตรีผู้นี้ร่านราคะ ฝ่าฝืนระเบียบเข้าวังโดยมิได้รับอนุญาต”
ตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัวทำให้ความฝันของโม่เสวี่ยิ่ที่หมายขยับฐานะสู่ที่สูงต้องพังทลายไม่เป็ท่า นับั้แ่นั้นมาก็ไม่มีการติดต่อสานสัมพันธ์กับตระกูลสูงอื่นๆ อีกเลย
ข่าวลือในชาติภพก่อนได้ปรากฏให้เห็นต่อหน้าในชาติภพนี้ ริมฝีปากเล็กยิ้มเยาะอย่างไร้สุ้มเสียง ชาตินี้โม่เสวี่ยิ่เลิกหวังจะเหยียบย่ำนางเพื่อตะกายขึ้นสู่ตำแหน่งสูงไปได้เลย...
กล่าวว่าเื่นี้มีผู้หวังดีพยายามปกปิด แต่นางกลับไม่คิดเช่นนั้น หากพิจารณาด้วยเหตุผลแล้ว อย่างมากตำหนักฉู่อ๋องก็แค่รับอนุชายาเพิ่มเข้ามาคนหนึ่ง บิดาก็ยังคงได้รับความสำคัญจากฝ่าาเหมือนเดิม ฮองเฮามีความจำเป็ใดต้องกระทำการไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้ด้วยเล่า
“โม่หลัน ไปหาแม่นมสวี่ บอกให้สอบถามและพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ให้ไปสอบถามจากหลายๆ คนหน่อย หากมีคนถามถึงโม่จิ่น ก็ไม่จำเป็ต้องปิดบัง” โม่เสวี่ยถงกล่าวเสียงเรียบ
“ให้ป้าสวี่ไป จะไม่ทำให้นายท่านแคลงใจคุณหนูหรือเ้าคะ” โม่หลันไตร่ตรองดูก็เข้าใจเหตุผลของผู้เป็นาย แต่ยังอดห่วงไม่ได้
“ข้าเพียงแค่ห่วงใยพี่สาวเท่านั้น คนรับใช้ในจวนมีมากมาย คนเยอะเื่ซุบซิบนินทาก็ย่อมมีมาก คุณหนูที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในจวนเช่นข้าจะควบคุมปากของพวกเขาได้หรือ” โม่เสวี่ยถงคลี่ริมฝีปากเล็กน้อย กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“บิดาของโม่จิ่น ฟางอี๋เหนียงเป็คนสนับสนุนขึ้นมา ทั้งยังเป็ผู้ดูแลประตูรองของจวน มารดาของนางเป็หัวหน้าโรงครัว ที่บ้านดูเหมือนจะมีพี่น้องคนหนึ่ง สุขภาพไม่ค่อยดี ไม่ได้มีหน้าที่การงานใดในจวนเ้าค่ะ” โม่หลันกับโม่จิ่นเกิดในครอบครัวที่อยู่ในจวนนี้ จึงรู้เื่ราวของกันและกันเป็อย่างดี
“พี่หญิงใหญ่กลับมา แต่กลับไม่เห็นบุตรสาวของตนเองกลับมาด้วย ย่อมมีคนร้อนใจยิ่งกว่าพวกเรา เพียงแต่ตอนนี้เกรงว่าจะยังไม่รู้เื่เท่านั้น” โม่เสวี่ยถงลุกขึ้นยืนอย่างไม่อนาทรร้อนใจ เรือนผมยาวที่ยังไม่ได้รวบขึ้น ทิ้งตัวสยายลงคลุมแผ่นหลัง หมุนตัวมายืนนิ่งที่ริมหน้าต่าง ท้องฟ้ายามต้นเหมันต์สว่างช้า เวลานี้ภายนอกยังแทบไม่เห็นแสงสว่าง
แสงแห่งอรุโณทัยยังไม่อาจฝ่าความมืดมิดสุดท้ายของวันเก่าออกมาได้ ยามนี้หากมีคนหนีออกไป ในจวนย่อมไม่มีผู้ใดพบเห็น ไม่ว่าท่านพ่อหรือโม่เสวี่ยิ่ต่างหมดเรี่ยวแรงไปกับเื่เมื่อคืน ย่อมไม่มีใครสนใจว่าในจวนจะมีผู้ใดหลบหนีออกไปหรือไม่
“โม่หลัน เ้ารีบไปเถอะ แม่นมสวี่รู้จักคนเก่าแก่ในจวนทั้งหมด หากมีอะไรสงสัยก็สามารถถามให้รู้ความได้” คำบอกเล่าเหล่านี้ย่อมถูกส่งต่อไปอย่างรวดเร็ว เ้านายทั้งหลายยังไม่ตื่น ไม่มีใครมาควบคุมบรรดาบ่าวไพร่ เื่ของโม่เสวี่ยิ่ก็จะแพร่ออกไปนอกจวนในไม่ช้า
“เ้าค่ะ บ่าวจะรีบไปบอกท่านป้าสวี่เดี๋ยวนี้” เห็นคุณหนูของตนมีท่าทางมั่นใจ โม่หลันก็ตัดสินใจทันที หมุนหัวยกม่านขึ้น แล้วรีบวิ่งไปหาสวี่มามาที่เรือนข้างฝั่งขวาทันที
โม่เสวี่ยถงหมุนตัวกลับเดินไปหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โม่เยี่ยรับแปรงสำหรับสางผมมาจากโม่หลัน คิดจะมุ่นมวยผมให้โม่เสวี่ยถงต่อ แต่ถูกนางห้ามไว้และรับแปรงจากมือโม่เยี่ยมาสางผมด้วยตนเอง ก่อนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“โม่เยี่ย เ้าเข้ามาอยู่ในจวนได้ไม่นาน แต่คงจะรู้จักประตูด้านหลังแล้วกระมัง”
“บ่าวทราบเ้าค่ะ ที่นั่นมีท่านยายคนหนึ่งเป็ผู้ดูแลอยู่ ยามนี้ก็คงไปเปิดประตูแล้ว และให้ผู้าุโอีกสองคนเฝ้าประตูไว้ คิดจะลอบออกไปไม่ใช่เื่ง่าย” แม้ว่าโม่เยี่ยจะไม่ทราบว่าโม่เสวี่ยถงคิดจะทำสิ่งใด แต่ย่อมตระหนักได้ว่าสิ่งที่เ้านายเพิ่งเอ่ยถึงย่อมมีความหมายซ่อนเร้น จึงรายงานสิ่งที่นาง้ารู้
“เ้าไปที่ประตูหลังล่อบ่าวสองคนนั้นออกมาก่อน หากมีคนเฝ้าอยู่ตลอดจะให้คนหนีออกไปก็คงไม่ใช่เื่ง่าย” โม่เสวี่ยถงเอ่ยปากเบาๆ ริมฝีปากราวกับผลอิงเถาน้อยๆ ยามขยับดูงดงามน่ารักไร้เดียงสา แต่กลับทำให้คนรู้สึกหนาวสะท้านได้อย่างน่าประหลาด สีหน้าอมยิ้มบางๆ กลับมองไม่เห็นความยินดี
โม่เยี่ยรับคำสั่งแล้วก็ไม่ถามสิ่งใดอีก หมุนตัวเลิกม่านขึ้นเดินออกไปราวกับว่าสิ่งที่นางสนใจก็คือการยุให้สาวใช้สองคนที่เฝ้าประตูทะเลาะกัน แล้วค่อยแยกพวกนางออกมา
นับั้แ่โม่เสวี่ยถงเอาตัวลงไปอยู่ในถังน้ำเย็นจัดในวันที่อากาศหนาวเหน็บ เพื่อซ่อนตัวจากซือหม่าหลิงอวิ๋น โม่เยี่ยก็ทราบว่าคุณหนูผู้นี้มิได้อ่อนแอดั่งที่แสดงให้เห็นจากภายนอก ความเด็ดขาดและความโหดร้ายเยี่ยงนั้น แม้แต่บุรุษที่มีความคิดลึกซึ้ง ยังไม่แน่ว่าจะทำได้
โหดร้ายกับผู้อื่นทำง่าย แต่โหดร้ายกับตนเอง... จะมีสักกี่คนที่ทำได้
โม่อวี้เห็นสาวใช้ทั้งสองคนไปกันหมดแล้ว จึงเข้าไปช่วยมุ่นผมแบบเรียบง่าย แต่ไม่ทิ้งความสง่างามให้กับโม่เสวี่ยถงแทน
หลังจากนั้นโม่เสวี่ยถงก็ไปโรงครัวเล็กที่อยู่ภายในเรือน แล้วลงมือตุ๋นโจ๊กและทำอาหารจานเล็กด้วยตนเอง เวลายังเช้าอยู่ เมื่อคืนดึกดื่นค่อนคืนแล้วท่านพ่อก็ยังไม่ได้นอน วันนี้คงตื่นไม่เช้านัก
โม่เสวี่ยถงทำอาหารเสร็จเรียบร้อยก็ล้างมือ และพาโม่อวี้ไปที่ห้องหนังสือด้านนอกของบิดา ่นี้บิดานอนที่ห้องหนังสือทุกวัน ไม่เข้ามาเรือนชั้นใน แม้แต่เรือนของอี๋เหนียงอีกสองคนก็ไม่ได้ไป เมื่อเข้าไปถึงประตูก็เห็นบ่าวชายที่รับใช้ประจำตัวของบิดาสีหน้าอมทุกข์นั่งอยู่ใต้ต้นไม้หน้าประตู เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถง ดวงตาพลันสว่างวาบ รีบวิ่งมาหาแล้วค้อมกายคารวะ “คารวะคุณหนูสาม”
“ท่านพ่อเล่า?”
“นายท่านเพิ่งตื่น แต่กลับไม่มีอารมณ์จะรับสำรับเช้า ยามนี้กำลังอ่านเอกสารราชการอยู่ขอรับ” บ่าวชายตอบอย่างกลัดกลุ้ม พลางชี้ไปที่กล่องอาหารด้านข้าง
ในบ้านเกิดเื่เช่นนี้ขึ้นและยังเกี่ยวข้องกับวังหลวง บิดาจะหลับลงได้อย่างไร ยามนี้ตื่นแล้ว เกรงว่าเมื่อคืนคงไม่ได้นอนเท่าไรกระมัง เื่นี้คงทำให้บิดารู้สึกละอายใจ แต่ความแค้นระหว่างนางกับโม่เสวี่ยิ่จำเป็ต้องมีหนึ่งคนที่เป็ผู้สูญเสีย เื่บางเื่ถูกกำหนดไว้แล้ว นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้
“เ้าไปก่อนเถอะ ไปเตรียมจัดอาภรณ์ของท่านพ่อให้เรียบร้อย” หลังจากพยักหน้าให้บ่าวผู้นั้นออกไป โม่เสวี่ยถงก็หันกลับมารับจานอาหารจากโม่อวี้ แล้วสั่งให้นางเฝ้าอยู่ด้านนอก ส่วนตนเองก็ผลักประตูเดินเข้าไป
วันนี้เดิมทีเป็วันหยุดพักผ่อนของบิดา แต่เมื่อเกิดเื่นี้ขึ้น บิดาจำเป็ต้องออกไปฟังข่าว
ภายในห้องหนังสือ โม่ฮว่าเหวินนั่งกุมศีรษะ หลับตาหัวคิ้วขมวดแน่น ใต้ตาเป็วงหมองคล้ำ แค่ดูก็รู้ได้ว่าคงแทบไม่ได้นอน คงจะกลัดกลุ้มเื่ของโม่เสวี่ยิ่ทั้งคืน ความรู้สึกผิดหวังเอ่อล้นอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ
ยามถูกทิ้งให้อยู่ที่เมืองอวิ๋นเฉิงคนเดียว ไม่รู้ว่าท่านพ่อจะคิดถึงนางเช่นนี้หรือไม่ สองวันมานี้ท่านพ่อก็ดีกับตนเองอย่างยิ่ง กล่าวได้ว่าไว้เนื้อเชื่อใจโดยไม่มีเงื่อนไข
ท่านพ่อเชื่อมั่นในตัวนางจริงๆ หรือเชื่อมั่นเพราะรู้สึกละอายใจที่เคยผิดต่อนาง ยิ่งไปกว่านั้นความไว้วางใจนี้ก็ต้องดูว่าใครเป็ใคร นางบอกได้เลยว่าอี๋เหนียงที่เขาเชื่อใจมากที่สุดคือนางจิ้งจอกที่สวมอยู่ในร่างมนุษย์ที่งดงาม คือคนที่นางสงสัยว่าเป็ผู้ที่ทำร้ายท่านแม่จนตาย และเขายังภูมิใจในบุตรสาวคนโตเป็หนักหนา ทั้งที่สตรีนางนั้นจิตใจโเี้อำมหิต วางแผนทำลายตนเองทุกอย่าง หากบอกท่านพ่อว่าชาติที่แล้วตนเองถูกพวกนางสองคนทำร้ายจนตาย ท่านพ่อจะเชื่อหรือไม่
ในโลกนี้ไม่มีความเชื่อมั่นโดยไม่มีสาเหตุ ไม่มีความรักความโปรดปรานโดยไร้เหตุผล นางมิได้ตำหนิบิดาของตนเอง เพราะบิดาก็ถูกพวกนางสองแม่ลูกปิดหูปิดตาเช่นเดียวกัน เมื่อชาติก่อนกว่านางจะรู้ความจริงทั้งหมดก็เป็วาระสุดท้ายของชีวิต ที่แท้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ในแผนการของผู้อื่น แม้แต่ชีวิตก็ถูกผู้อื่นกำหนดไว้แล้วและยังต้องพลีด้วยชีวิตอีก บัดนี้นางรู้กระจ่างทุกสิ่งทุกอย่าง แต่บิดาไม่เคยผ่านเื่ราวเหล่านี้มาก่อนจึงไม่รู้อะไรเลย
“ท่านพ่อ ทำไมแม้แต่โจ๊กก็ยังไม่กินเล่า รู้สึกไม่สบายหรือไม่ หากไม่สบายก็ต้องให้ท่านหมอมาตรวจดูอาการ อย่าปล่อยเลยตามเลย ถงเอ๋อร์จะร้อนใจไปด้วยนะเ้าคะ” นางยืนอยู่หน้าประตู เก็บอารมณ์ทั้งหมดลงไป ก่อนเอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินเข้ามาในห้อง