จากคำให้การของหยวนชิว เมื่อคืนหลังจากเก็บกวาดห้องครัวเล็กแล้วนางก็ไม่ได้ไปที่ห้องนอนของจ้าวผินอีก เป็หยวนฟางที่รั้งอยู่กับจ้าวผิน
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนถามนางกำนัลอีกสองคนก็ให้การใกล้เคียงกับหยวนชิวและหยวนฟาง
ต่อจากนั้น พวกเขาจึงไปยังโรงครัวเล็ก
โรงครัวเล็กอยู่ทางตะวันออกของตำหนัก พวกหม้อกระทะถ้วยชามมีมากมาย แต่จัดเก็บได้เรียบร้อยมาก อีกทั้งยังสะอาดปราศจากฝุ่น
พวกเขาไม่หวังจะเจอเบาะแสอะไรในห้องครัวเล็ก เพียงแค่มาดูพอเป็พิธี
เป็อย่างคิด ไม่ได้เบาะแสใดเพิ่มเติม
หลังจากนั้นพวกเขาก็ไปที่ตำหนักด้านข้าง พานางกำนัลมาด้านนอกตำหนัก จากนั้นเสิ่นจือเหยียนจึงดำเนินการตรวจสอบศพของจ้าวผินอย่างละเอียด
มู่หรงฉือมองดูอยู่ทางด้านข้าง จากกระบวนการตรวจสอบของเสิ่นจือเหยียน ในหัวสมองของนางพลันปรากฏภาพจ้าวผินครั้งยังมีชีวิตอยู่ทีละภาพ ราวกับนางได้เห็นทุกเหตุการณ์ไล่เรียงกันไปด้วยตาตัวเอง...
โจ๊กซิ่งเหรินที่หยวนชิวทำ...หยวนฟางเอาโจ๊กซิ่งเหรินเข้าไปส่งในตำหนัก...จ้าวผินทานโจ๊กซิ่งเหริน...จ้าวผินสวมชุดตัวหลวม...จ้าวผินถูกพาไปยังที่เกิดเหตุ...จ้าวผินถูกเอาไปแขวนไว้บนต้นซินอี๋พลางดิ้นรน...
แต่ละฉากที่เกิดขึ้นทั้งพร่ามัวและห่างไกล
“จ้าวผินตายด้วยการฆ่าตัวตายจริงๆ บนตัวไม่มีาแอื่น”
เสิ่นจือเหยียนตรวจสอบั้แ่หัวจรดเท้าของนางอีกรอบหนึ่ง นอกจากคอที่มีรอยม่วงช้ำกับรอยห้อเืที่เล็บ ก็ไม่มีอย่างอื่นแล้ว
ทั้งสองคนออกจากตำหนักจิ่งฝู มู่หรงฉือเดินไปก็พูดไป “เล็บของจ้าวผินทำไมถึงได้หักเช่นนั้น? หากนางเป็คนฆ่าตัวตายเองคงไม่มีทางดึงเชือกแน่”
เขาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “นี่คือจุดน่าสงสัยจุดที่หนึ่ง จุดที่สอง เหตุใดจ้าวผินถึงได้คิดสั้นฆ่าตัวตาย? หากนางคิดสั้นจริงๆ เหตุใดเมื่อคืนยังทานโจ๊กซิ่งเหริน? จุดที่สาม หากจ้าวผินจะฆ่าตัวตายจริงๆ นางไม่จำเป็ต้องวิ่งมาไกลถึงเพียงนี้ ที่ตำหนักจิ่งฝูก็สามารถฆ่าตัวตายได้”
“หากจ้าวผินถูกฆ่า เปิ่นกงคิดว่าคงจะเป็เช่นนี้ เมื่อคืนนางทานโจ๊กแล้วหลับไป ในโจ๊กอาจจะมีคนใส่อะไรลงไป อย่างพวกยานอนหลับ ดังนั้นเพราะไม่ทันระวังจึงปล่อยให้คนมาวางแผนทำร้ายได้ ตกกลางดึก คนร้ายก็บุกเข้าตำหนัก ก่อนอื่นต้องทำให้หยวนฟางที่นอนเฝ้าอยู่หลับไป แล้วค่อยสวมใส่อาภรณ์สวยงามให้จ้าวผิน จากนั้นก็แบกนางไปยังที่เกิดเหตุ ก่อนจะเอานางไปแขวนไว้บนต้นซินอี๋ สุดท้ายอาจเป็เพราะฤทธิ์ยานอนหลับหมดลง ตอนที่ทรมานที่สุดจ้าวผินถึงได้ตื่นขึ้นมา ดังนั้นนางจึงดิ้นรนไม่อยากตาย ใช้มือจับเชือก แต่เพียงไม่นานนางก็หายใจไม่ออกตาย” มู่หรงฉือวิเคราะห์ออกมาทีละขั้น “ชุดที่จ้าวผินสวมเป็ชุดที่งดงามที่สุด ปกติจะไม่ค่อยได้เห็นนางใส่ เหตุใดคนร้ายถึงจงใจให้นางสวมชุดนั้น?”
“การคาดเดาของเตี้ยนเซี่ยสมเหตุสมผล ดูแล้วน่าจะใกล้เคียงความจริงที่สุด” เสิ่นจิอเหยียนขมวดคิ้ว “โจ๊กซิ่งเหรินถ้วยนั้น มีแค่หยวนฟางกับหยวนชิวที่ได้ัั พวกนางล้วนน่าสงสัย”
“หยวนชิวจะลงมือในโจ๊กนับว่าเป็เื่ง่าย หลังจากหยวนฟางรับถ้วยไปแล้วก็นำไปส่งที่ตำหนัก ลงมือในชั่วเวลาสั้นๆ จะต้องมีฝีมือคล่องแคล่ว แต่ก็ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้”
“เตี้ยนเซี่ยรู้สึกหรือไม่ว่าคำให้การของหยวนชิวผิดปกติ?”
“ถึงแม้หยวนชิวจะไม่เหมือนหยวนฟางที่เสียใจมากมายขนาดนั้น แต่ว่าคำให้การของหยวนชิวไม่ได้มีอะไรผิดแปลก นางคิดว่าจ้าวผินถูกคนฆ่าตาย ขอให้พวกเราทวงความยุติธรรมให้กับจ้าวผิน” มู่หรงฉือนึกย้อนกลับไปถึงท่าทางของหยวนชิว ไม่คิดว่ามีอะไรที่แปลกไป
“พวกเราไม่ได้บอกว่าจ้าวผินฆ่าตัวตายหรือว่าถูกฆ่า เหตุใดหยวนชิวถึงมั่นใจว่าจ้าวผินถูกคนฆ่าตายเล่า? อีกอย่าง ข้ารู้สึกว่าท่าทางเสียใจของหยวนชิวเป็การเสแสร้ง ตอนให้ปากคำทุกการกระทำทุกคำพูดคือการแสดง ถึงแม้จะดูไม่มีอะไรผิดแผก แต่ว่ายิ่งไม่มีข้อสงสัยมากเท่าไรก็ยิ่งมีปัญหา ราวกับว่านางได้คิดคำให้การเอาไว้แล้ว รอให้พวกเรามาถามเท่านั้น” ใบหน้าหล่อเหลาของเสิ่นจือเหยียนเจิดจ้าขึ้นภายใต้แสงแดดที่สาดส่องลงมา
“เ้าพูดเช่นนี้ เปิ่นกงก็คิดขึ้นมาได้แล้ว ทั้งๆ ที่นางไม่ได้เสียใจขนาดหยวนฟาง แต่กลับขอให้พวกเราทวงความยุติธรรมให้กับจ้าวผิน หากว่ากันเช่นนี้ หยวนชิวก็ดูน่าสงสัยขึ้นมาเสียแล้ว แต่เหตุใดนางถึงต้องทำเช่นนี้เล่า? เป็นางที่ฆ่าจ้าวผินหรือ?”
“หากหยวนชิวมีวิทยายุทธ์ คนๆ เดียวก็เพียงพอที่จะฆ่าจ้าวผินได้ หาไม่แล้ว นางย่อมไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะแบกจ้าวผินไปยังที่เกิดเหตุ และเอาตัวนางขึ้นไปแขวนบนต้นซินอี๋ด้วย”
“หยวนชิวดูแล้วไม่เหมือนคนที่มีวิทยายุทธ์ แต่ก็ยังมีความเป็ไปได้อยู่อย่างหนึ่งคือนางได้รับสินบนมาแล้วรับผิดชอบแค่วางยา”
“หยวนชิวร่วมมือกับคนร้ายฆ่าจ้าวผิน คนร้ายสามารถหิ้วจ้าวผินออกมาจากตำหนักจิ่งฝูได้โดยที่ไม่ทำให้คนในวังและหน่วยลาดตระเวนรู้ตัว เห็นได้ชัดว่าคนร้ายคุ้นเคยกับวังหลวงมาก และน่าจะมีวิชาตัวเบาที่ยอดเยี่ยม ถึงสามารถลอบเข้ามาในวังหลังได้โดยไม่มีใครสังเกต ทว่า เพราเหตุใดคนร้ายถึงได้ฆ่าจ้าวผิน? เหตุผลอยู่ที่ตรงไหน? เตี้ยนเซี่ยคิดว่าการตายของจ้าวผินเกี่ยวข้องกับเื่ที่เกิดขึ้น่นี้หรือไม่?”
มู่หรงฉือมีความสงสัยอยู่เล็กน้อย “จ้าวผินตายอย่างกะทันหัน ไม่เข้ากับเพลงนั้น”
เสิ่นจือเหยียนพยักหน้าอีกครั้ง “ดูจากเบาะแสในตอนนี้ การตายของจ้าวผินเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับเื่ที่เกิดขึ้นใน่นี้เลย”
ทั้งสองคนพูดคุยกันพลางมุ่งหน้าไปยังตำหนักบูรพา กลับมาถึงตำหนักบูรพา หรูอี้ ฉินรั่วก็รีบยกชาขิงเข้ามาให้เพื่อขับไล่ความเย็น หรูอี้เปลี่ยนเสื้อให้มู่หรงฉือเพราะว่าก่อนหน้านี้ที่นางออกไปฝนยังตกอยู่
ในห้องตำรา หรูอี้วางชาสองถ้วยเสร็จก็ถอยออกไปด้านนอก
มู่หรงฉือนั่งอยู่ที่หนังโต๊ะหนังสือ ดื่มน้ำชาร้อนไปครึ่งถ้วย “เมื่อวานเปิ่นกงไปที่เรือนชุนอู๋มา สองศพที่เอาไปโยนทิ้งที่สุสานป่าช้าคือสามัญชนไป๋กับสามัญชนโม่ พวกนางเป็เฟยผินของเสด็จพ่อ ยี่สิบปีก่อนถูกลดขั้นปลดเป็สามัญชน แล้วเข้าไปอยู่ในเรือนชุนอู๋”
เสิ่นจือเหยียนยิ้มอย่างชื่นชม “พบอะไรที่เรือนชุนอู๋?”
“บนเตียงของพวกนาง เปิ่นกงพบเส้นผมสีขาวหนึ่งเส้น” นางเอาเส้นผมสีขาวสองเส้นมาวางไว้บนโต๊ะ “เส้นหนึ่งมาจากมือของศพ อีกเส้นมาจากผ้าห่มบนเตียงของผู้ตาย เปิ่นกงคิดว่าผมขาวสองเส้นนี้คงจะเป็เส้นผมที่คนร้ายทิ้งเอาไว้โดยไม่รู้ตัว”
“หากเส้นผมเป็สิ่งที่คนร้ายทิ้งเอาไว้จริงๆ เช่นนี้คนร้ายก็เป็คนมีอายุ อย่างน้อยก็ราวห้าสิบกว่าปี” เขาพยักหน้า ครุ่นคิดแล้วพูด “คนร้ายมีความเป็ไปได้ว่าจะเป็คนในเรือนชุนอู๋หรือไม่?”
“เวลาการตายของสามัญชนไป๋กับสามัญชนโม่ใกล้เคียงกับตอนที่เกิดเื่หยกโลหิตตกจากฟ้าที่ตำหนักเฟิ่งเทียนมาก เปิ่นกงคิดว่า คนที่อยู่เื้ัน่าจะสังหารสามัญชนไป๋กับสามัญชนโม่ก่อนแล้วเอาเืของพวกนางมา จากนั้นจึงไปจัดฉากที่ตำหนักเฟิ่งเทียนให้เป็ ‘โลหิตตกจากฟ้า’” มู่หรงฉือวิเคราะห์เป็เื่ๆ ไป
“นี่ก็ไขเื่เืคนของ ‘หยกโลหิตตกจากฟ้า’ ว่ามาจากไหนได้แล้ว” เสิ่นจือเหยียนกล่าว
“ฝนเืที่ตกในตำหนักชิงหยวน เปิ่นกงคิดว่าน่าจะเป็เืสุนัข เปิ่นกงรู้มาว่าเมื่อหลายวันก่อนมีสุนัขห้าตัวในเมืองตายไป เืถูกสูบออกจนหมด”
“เช่นนั้นพวกเราเริ่มพิจารณาคดีจากตรงนี้กัน”
เสิ่นจือเหยียนนั่งอยู่ตรงข้ามนาง วางถ้วยชาลง หยิบพู่กันมาขีดเส้นแนวนอนสั้นๆ ลงบนกระดาษสีขาวหนึ่งแผ่น “ขั้นแรกสุดคงจะเป็การเผยแพร่เพลงนั้น ต่อมาก็เป็หยกโลหิตตกจากฟ้า ซึ่งเกิดเหตุขึ้นในตอนเช้า เืเป็เืคน มีความเป็ไปได้ที่จะเป็เืของสามัญชนไป๋กับสามัญชนโม่ ที่มาที่ไปของหยกโลหิตยังหาไม่พบ หยกโลหิตที่ตกจากฟ้ากับ “หยกโลหิต” ปรากฏในเพลงเป็การส่งสัญญาณ”
มู่หรงฉือเพิ่มเส้นแนวนอนสั้นๆ เหนือเส้นแนวนอนเส้นแรก แล้วพูดต่อ “ต่อมาเกิดฝนโลหิตที่ตำหนักชิงหยวน วันนั้นเป็วันที่ฝนตกตอนเช้าพอดี นางกำนัลหลายคนเห็นฝนโลหิตไหลลงมาจากหลังคาตำหนักชิงหยวนกับตา เืที่ใช้เป็ไปได้ว่าจะเอามาจากเืสุนัขที่ตายไปห้าตัวในเมือง แต่ว่า คนที่จัดฉากเอาเืไปกระจายใส่ฝนในวันนั้นได้อย่างไร? คำนวณว่าจะทำเื่น่ากลัวเช่นนี้ออกมาอย่างแม่นยำได้อย่างไร? เื่นี้เข้าทางกับ “ฝนโลหิตเต็มฟ้า” ของเพลงนั้นพอดี”
เสิ่นจือเหยียนเติมขีดแนวนอนเส้นที่สามลงไป “ต่อมาก็เป็ปลากินคน ผู้ที่ตายในแม่น้ำลั่วคือซุนอวี้เหม่ย ใบหน้ากับร่างกายมีแผลถูกสัตว์กัด อาการาเ็ที่ทำให้ถึงตายคือหัวใจฉีกขาด ผู้ตายกับสามีเฝิงเคอมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจึงตัดความเป็ไปได้ที่จะถูกคนในครอบครัวฆ่า ส่วนผู้ตายเสี่ยวลู่ตายที่บึงเสี่ยวเยว่ในวัง สาเหตุการตายเหมือนกับซุนอวี้เหม่ย คือหัวใจฉีกขาดจนตาย แล้วถูกคนร้ายนำมาโยนทิ้งในบึงน้ำ จัดฉากว่าเป็ปลากินคน สามารถทำร้ายหัวใจของคนๆ หนึ่งให้ฉีกขาดได้ เห็นได้ชัดว่าเป็คนที่มีกำลังภายในสูงส่ง ฝีมือไม่ธรรมดา แต่ว่าในตอนนี้ข้าก็ยังคิดไม่ออกว่าเป็สัตว์อะไรที่กัดใบหน้ากับร่างกายของผู้ตายทั้งสอง”
มู่หรงฉือเพิ่มขีดสั้นๆ อีกเส้นเหนือเส้นแนวนอนนั้น พูดเสียงเย็น “เช้าวันนี้ นางกำนัลพบจ้าวผินถูกแขวนอยู่ที่ต้นซินอี๋ข้างทางเดินในวังหลัง จ้าวผินมีความเป็ไปได้ว่าจะทานโจ๊กซิ่งเหรินที่ผสมยานอนหลับ หลังจากหลับไปแล้วก็ถูกสังหาร คนร้ายเหมือน...มีแผนที่จะสร้างสถานการณ์ให้จ้าวผินฆ่าตัวตาย แต่ว่ากลับสร้างช่องโหว่ที่ทำให้จับผิดได้อย่างชัดเจน จุดนี้กลับทำให้คนไม่เข้าใจ อีกอย่าง คนร้ายพานางไปที่ยังเกิดเหตุโดยที่ไม่มีใครรู้ได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าต้องมีวิชาตัวเบาอันยอดเยี่ยม แต่ว่าคดีของจ้าวผินนั้นเหมือนจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเพลงอย่างชัดเจน”
ในหัวสมองของนางราวกับมีพลุถูกจุดขึ้น พูดออกมาด้วยความประหลาดใจ “ผู้ตายทั้งสองที่ถูกปลากัดอย่างซุนอวี้เหม่ยกับเสี่ยวลู่ คนร้ายมีฝีมือด้านกำลังภายในลึกล้ำจนสามารถทำลายอวัยวะภายในของพวกนางได้ ส่วนคนที่ฆ่าจ้าวผินนั้นมีวิชาตัวเบายอดเยี่ยม แปลว่าวิชาการต่อสู้ย่อมไม่ธรรมดา คนร้ายในสามคดีที่เกิดขึ้นจะเป็คนๆ เดียวกันหรือไม่?”
“คดีของจ้าวผินต้องแยกออกมา บางทีอาจจะเป็แค่ความบังเอิญ” ดวงตาของเสิ่นจือเหยียนสีเข้มขึ้น “หยกโลหิตที่ตกลงมาจากฟ้านั้นชี้ไปทางคนร้ายที่มีอายุมากหน่อย มีผมสีขาว บางทีอาจจะเป็คนในเรือนชุนอู๋ หากคนร้ายเป็คนของเรือนชุนอู๋ แล้วจะออกจากเรือนชุนอู๋มาก่อเหตุได้อย่างไร? บางทีคนที่อยู่เื้ัจะจับสามัญชนไป๋กับสามัญชนโม่มาเอาเืออกเมื่อไหร่ตามใจชอบก็ได้ เมื่อเป็เช่นนี้ ก็หมายความได้ว่าคนร้ายที่ฆ่าสามัญชนไป๋กับสามัญชนโม่ก็เข้าออกเรือนซุนอู๋ได้อย่างเงียบเชียบโดยไม่ต้องออกแรงเสียด้วยซ้ำ”
“ความผิดปกติเหล่านี้ซ้อนทับกัน เกิดเื่ราวขึ้นมากมาย ยิ่งมีคนเกี่ยวข้องมากก็ยิ่งซับซ้อนมาก เปิ่นกงคิดว่าคนที่จัดฉากพวกนี้อยู่เื้ัจะต้องมีลูกน้องช่วยทำ”
“เ้าวิเคราะห์ใช้ได้”
“พวกเรายังไม่มีประเด็นสำคัญที่จะไขปริศนาอีกหลายจุด เช่น หยกโลหิตเป็ของที่หาได้ยากถึงเพียงนั้นไปหามาจากไหนกัน ฝนโลหิตตกที่ตำหนักชิงหยวนบังเอิญขนาดนั้นได้อย่างไร าแบนตัวและใบหน้าของซุนอวี้เหม่ยกับเสี่ยวลู่ถูกสัตว์อะไรกัด คนร้ายคือใคร ต่อไปยังจะมีเื่อะไรเกิดขึ้นอีก”
“ย้อนกลับไปยังต้นตอสาเหตุนั้นเกิดจากอะไรกันแน่ เื่ราวทั้งหมดนี้ผู้ใดเป็คนทำ เขามีแผนการอะไรถึงได้เพ่งเล็งราชวงศ์ หรือเพียง้าแสดงความทะเยอทะยานของตนเองให้พวกเราได้รับรู้” เสิ่นจือเหยียนกล่าว
สายตาของมู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนเบือนออกจากเส้นบนกระดาษ ต่างมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเป็กังวล
ยังมีปริศนามากมายที่ยังไขไม่กระจ่าง อีกทั้งยังไม่รู้เบาะแสของคนที่อยู่เื้ัคนนี้ พวกเขาเป็ฝ่ายถูกกระทำ ทั้งร้อนใจและกังวล
ทว่า ที่พวกเขากังวลที่สุดคือสามคำนี้
แย่งชิงแคว้น!
ขอเพียงมู่หรงอวี้้า ก็ไม่มีคำว่าเป็ไปไม่ได้
ใช่แล้ว คนที่เพลงชี้ไปก็คือมู่หรงอวี้!
หัวใจของมู่หรงฉือเหมือนมีก้อนหินหนักๆ กดทับจนนางหายใจไม่ออก ใบหน้าเล็กขาวซีด ขนตายาวสั่นน้อยๆ
เสิ่นจือเหยียนเข้าใจความรู้สึกของนาง “เตี้ยนเซี่ย บางทีเื่ราวอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิด ทางด้านอวี้หวางก็ไม่มีการเคลื่อนไหวที่ผิดแปลก ข้าคิดว่าเขาเองก็คงจะเดาได้ถึงการชี้นำของเพลง ดังนั้นจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า ใน่คลื่นลมแรงเช่นนี้ หากเขามีการเคลื่อนไหวย่อมเป็ที่ครหา ถูกประชาชนรุมประนามให้อับอายในทันที”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้