“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณคือคุณฉินหรือเปล่าคะ? ที่นี่คือบริษัทกวงิฟิล์มนะคะ ฉันชื่อหวังตัน เป็ผู้รับผิดชอบเื่การเซ็นสัญญาของนักแสดงค่ะ” หญิงสาวปลายสายเอ่ยเสียงเรียบ
ฉินซีที่ยังไม่ได้สติกลับมาดี หลังจากรับสายนี้ก็ถึงกับนิ่งไปทันที
ไม่ใช่คนที่เฉินเจวี๋ยจัดหาให้มาเซ็นสัญญากับเขาหรอกเหรอ? ทำไมคนที่โทรเข้ามาถึงเป็… บริษัทกวงิฟิล์มไปได้ล่ะ!
กวงิฟิล์ม ถือเป็บริษัทภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากบริษัทหนึ่ง และนี่ยังไม่ใช่เื่สำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดคือ นี่เป็บริษัทที่ฉินซีในชาติก่อนรวมถึงชาตินี้ฝันอยากจะเข้าไปมากที่สุด! เขาชอบดาราในบริษัทนี้หลายคน และเทพบุตรของเขาก็รวมอยู่ในนั้นด้วย
แม้จะเป็คนที่ย้อนกลับมาเกิดใหม่ แต่เมื่อได้รับสายนี้อย่างไม่ทันตั้งตัว เขาก็ไม่อาจควบคุมเสียงของตนให้มั่นคงได้เสียอย่างนั้น “ใช่ครับ ผมคือฉินซี”
ฝั่งนั้นพูดต่อ “สวัสดีค่ะคุณฉิน พวกเราเห็นภาพของคุณบนอินเทอร์เน็ต รวมทั้งคลิปพิเศษที่คุณถ่ายด้วย อยากจะสอบถามว่าตอนนี้คุณเซ็นสัญญาไปแล้วหรือยังคะ?”
“ยังครับ”
“ถ้าแบบนั้นคุณฉินพอจะพิจารณาเซ็นสัญญากับบริษัทของเราได้ไหมคะ?” หวังตันพูดพร้อมกับแนะนำให้ฉินซีฟังว่ากวงิฟิล์มเป็บริษัทขนาดใหญ่บริษัทหนึ่ง อีกทั้งในบริษัทยังมีดาราซึ่งเป็ที่รู้จักอีกไม่น้อย ความจริงแม้ว่าหวังตันจะไม่บอก ฉินซีก็ทราบถึงชื่อเสียงและอิทธิพลของกวงิฟิล์มในวงการดี
ฉินซียับยั้งความตื่นเต้นในใจ จู่ๆ ภาพใบหน้าของเฉินเจวี๋ยก็ปรากฏขึ้นในสมอง ความกระตือรือร้นอยากจะตอบตกลงเมื่อสักครู่ราวกับถูกสาดน้ำเย็นใส่ เขาจึงสงบนิ่งลง และไตร่ตรองเรียบเรียงคำพูดสักพัก จากนั้นเขาก็พูดกับปลายสาย “สวัสดีครับ ผมจะต้องขอเวลาคิดสักหน่อย แบบนั้นได้ไหมครับ?”
“แน่นอนค่ะ คุณสามารถบันทึกเบอร์ของฉันเอาไว้ได้เลย ถ้าสนใจก็ติดต่อมาที่เบอร์นี้ได้ตลอดเวลานะคะ” ในที่สุดน้ำเสียงเรียบนิ่งของหวังตันคล้ายว่าปรากฏรอยยิ้มขึ้น
หลังจากฉินซีวางสายไป เขาก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
เมื่อชาติก่อน... หลังจากนี้หลายปี เฉินเจวี๋ยจะซื้อบริษัทบันเทิงที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของเมืองหนิงชื่อ หลังจากนั้นบริษัทนี้ก็เปลี่ยนชื่อเป็ บริษัทเหอมู่เอนเตอร์เทนเมนต์ และกลายเป็บริษัทหนึ่งภายใต้ชื่อของตระกูลเฉินอย่างเป็ทางการ แม้เฉินเจวี๋ยจะมีอิทธิพลในมือทำให้ผู้คนเกรงกลัว แต่ในตอนแรกการพัฒนากลับไม่ได้ราบรื่นนัก อย่างไรเขาก็เป็คนฮ่องกง ทั้งยังเป็เด็กนอกที่ไปอยู่ต่างประเทศมานานหลายปี จึงไม่ได้มีความมั่นใจเื่ความชอบของคนจีนแผ่นดินใหญ่นัก ประกอบกับที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหนิงชื่อได้ไม่นาน หาก้าจะพัฒนาขึ้นไป ก็ต้องอาศัยการแลกเปลี่ยนกับจี่อวี้เซวียนและทังเจ๋อ จี่อวี้เซวียนไม่ได้ัักับวงการบันเทิงนัก แต่พอพูดถึงทังเจ๋อแล้ว ผู้คนต่างก็รู้กันว่าเขามีบริษัทจัดการขนาดใหญ่อยู่
หาก้าจะขยับขยายสร้างพื้นที่ของตัวเองในเมืองหนิงชื่อให้รุ่งเรือง เฉินเจวี๋ยก็ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปี
แต่ในชาตินี้ เฉินเจวี๋ยซื้อบริษัทมาเร็วก่อนกำหนด ยังไม่แน่ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เมื่อเทียบกันระหว่างบริษัทเปิดใหม่ของเฉินเจวี๋ย กับบริษัทเก่าแก่อย่างกวงิฟิล์ม แน่นอนว่ากวงิฟิล์มย่อมโดดเด่นกว่ามาก ทั้งยังบังเอิญเป็บริษัทที่ชาติก่อนเขาใฝ่ฝันอยากจะเซ็นสัญญาด้วยมากขนาดนั้น ดูเหมือนไม่จำเป็ต้องพูด เขาก็น่าจะต้องเลือกกวงิฟิล์มถึงจะถูก
แต่ฉินซีก็นึกไปถึงตอนที่เฉินเจวี๋ยพยายามเสนอให้เขาเซ็นสัญญากับตัวเองหลายครั้งหลายครา คิดไปถึงตอนที่เฉินเจวี๋ยช่วยตัวเองลงโทษผู้ช่วยคนนั้น และเฉินเจวี๋ยยังปกป้องเขามาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง… ทั้งชาตินี้และชาติก่อน ดูเหมือนว่าเขาจะตอบแทนเฉินเจวี๋ยไม่ได้เลย หากจู่ๆ ตอนนี้เขาไปบอกกับเฉินเจวี๋ยว่า เขามีตัวเลือกใหม่แล้ว เฉินเจวี๋ยจะรู้สึกว่าเขาเป็คนทรยศที่เลี้ยงไม่เชื่องหรือเปล่า?
ฉินซีนิ่งเงียบไป ในใจของเขาเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา
ฝั่งหนึ่งคือความสัมพันธ์ อีกฝั่งหนึ่งคือความฝัน
เลือกอะไรดีนะ?
ฉินซีขยี้เรือนผมของตัวเองด้วยความวุ่นวายใจ สุดท้ายเขาก็คิดอะไรไม่ออก ช่างเถอะๆ เขายังมีเวลาพิจารณาอีกหลายวัน… ก็ปล่อยวาง… ไปก่อนก็แล้วกัน… ฉินซีคิดไม่ถึงเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะเกิดความคิดเลี่ยงปัญหาแบบนี้!
ในตอนนั้นก็มีโทรศัพท์อีกสายเข้ามาทำลายความสับสนและลังเลของฉินซีไป “ฉินซี ทางกองถ่ายเตรียมจะไปรายการวาไรตี้รายการหนึ่ง พวกเราจะพาพวกนักแสดงนำไปด้วย ถือเป็การโปรโมตละครไปด้วย นายพอจะไปได้หรือเปล่า?”
ดวงตาของฉินซีพลันเปล่งประกาย “ไปครับ ไปแน่นอน” นักแสดงจำนวนมาก แม้จะแสดงละครไปแล้วแต่ก็ยังไม่เป็ที่รู้จัก ทว่าหากได้ไปออกรายการวาไรตี้ล่ะก็ ไม่แน่ว่าอาจจะเพิ่มโอกาสให้ผู้ชมได้มองเห็นมากขึ้นก็ได้ รวมทั้งยังได้สะสมความนิยมอีก ฉินซีมั่นใจในตัวเองมาก ตอนนี้พวกเด็กสาววัยรุ่นต่างก็ชอบคนที่หน้าตาดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็หนุ่มหล่อมาดแมนหรือหนุ่มหน้าสวยก็ตาม ภายในวงการบันเทิงรูปลักษณ์ภายนอกของฉินซีก็ถือว่าโดดเด่นมากแล้ว ขอเพียงมีช่องทางในการโปรโมต เขาก็ไม่กังวลเลยว่าตัวเองจะไม่สามารถดึงดูดแฟนคลับได้
และเขาต้องอาศัยโอกาสนี้ทำให้แฟนคลับที่หายไปเพิ่มกลับคืนมา...
ฉินซีคุยเื่เวลาถ่ายรายการกับสวี่เทาในสาย หลังจากนั้นฉินซีก็ไปค้นหาวิดีโอก่อนหน้านี้ของรายการมาดู โดยปกติในรายการมักจะมีสคริปต์ แต่คนหน้าใหม่อย่างฉินซีไม่น่าจะได้รับการดูแลนัก ตอนอยู่ในรายการเขาอาจถูกมองข้ามไปได้ง่ายๆ ดังนั้นตอนนี้ฉินซีต้องเตรียมตัวให้ดี ทำความเข้าใจรายการรวมถึงพิธีกรอย่างเต็มรูปแบบ ตอนไปออกรายการจะได้สะดวก ไม่เพียงแต่จะได้ไม่ทำอะไรอับอาย แต่ถ้าได้ออกหน้าไปสักหน่อยก็น่าจะดี
ในใจของฉินซีเกิดแผนการหนึ่งขึ้น เขาเตรียมตัวมาเป็อย่างดี เพียงพริบตาก็ถึงวันถ่ายทำ
แต่ในหลายวันมานี้ ฉินซีก็ไม่ได้พบกับพนักงานเซ็นสัญญาของเฉินเจวี๋ย เขาจึงถอนหายใจอย่างไม่รู้ตัว เพราะงานของเฉินเจวี๋ยยุ่งจนล้นมือ เดิมทีก็ไม่ได้มีเวลาว่างมาสนใจเขาอยู่แล้ว
ฉินซีเรียกรถไปยังสถานที่ถ่ายทำรายการด้วยตัวเอง
รายการวาไรตี้นี้ ถือเป็รายการที่ค่อนข้างโด่งดังในประเทศ เนื่องจากเมื่อชาติก่อนบริษัทที่ฉินซีเข้าไปไม่ได้ดีอะไรนัก เขาจึงไม่เคยมารายการแบบนี้มาก่อน หลังจากที่ได้รู้จักกับจี่อวี้เซวียน เขาก็เคยได้ร่วมรายการพวก Talk Show, เรียลลิตี้โชว์, และรายการให้สัมภาษณ์ทั้งเล็กใหญ่มาบ้าง มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่ถือเป็ครั้งแรกในทั้งสองชาติของเขา
ฉินซีจำได้ว่าผู้จัด รวมทั้งพิธีกรของรายการนี้มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับสวี่เทา ดังนั้นเวลามีละครใหม่ สวี่เทาจึงมักมาโปรโมตที่รายการนี้
เขาลอบคิดว่าวันนี้พิธีกรไม่น่าจะสร้างความอึดอัดแก่พวกเขานัก เพราะความสัมพันธ์ที่มีต่อสวี่เทา
เพียงแต่รอจนไปถึงแล้ว ก็พบว่าเจี่ยงถิงเฟิงมาเร็วยิ่งกว่าเขาเสียอีก เจี่ยงถิงเฟิงลากตัวฉินซีเข้าไป ทั้งสองเข้าไปในห้องแต่งตัวด้วยกัน ในระหว่างที่ผู้ช่วยยืนเลือกเสื้อผ้าให้พวกเขาอยู่ข้างๆ เจี่ยงถิงเฟิงก็ลากฉินซีเข้ามาคุย
“ในที่สุดก็ได้เห็นนายที่ปลอดภัยสมบูรณ์ไร้าแสักที” ความกังวลบนใบหน้าของเจี่ยงถิงเฟิงจางหายไปในที่สุด
ฉินซีอดยิ้มไม่ได้ “ทำไมโทรมแบบนี้ล่ะครับ?”
สีหน้าของเจี่ยงถิงเฟิงกลายเป็สับสน “ก็แค่เป็ห่วงนายเท่านั้นแหละ”
ฉินซียื่นมือเขาไปตบตัวเขาเบาๆ “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าก่อนเถอะ ไม่รู้ว่าอีกสักพักผู้กำกับจะเอาสคริปต์มาให้หรือเปล่านะครับ”
เจี่ยงถิงเฟิงขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่พอใจนัก “นายยังไม่รู้ใช่ไหม? วันนี้ไม่มีแค่พวกเราที่มาร่วมรายการนะ”
“ยังมีใครอีกเหรอครับ?” ฉินซีนิ่งไป
เจี่ยงถิงเฟิงแสดงสีหน้ารังเกียจ “ไม่รู้ว่าผู้กำกับเป็บ้าอะไร ถึงได้เชิญเหลียนเหล่ยมาเพื่อเรตติ้งของรายการ”
คิ้วของฉินซีขมวดมุ่น ในใจรู้สึกกังวลกับผู้หญิงที่เพิ่งจัดการเขามาก่อนคนนี้ แต่ในตอนนี้ฉินซีก็นึกขึ้นได้ เหลียนเหล่ยน่าจะเพิ่งถ่ายภาพยนตร์เื่หนึ่งเสร็จไป และภาพยนตร์เื่นี้ไม่น่าจะเข้าฉายเร็วขนาดนี้นี่? ทว่าหลังจากฉินซีนึกไปถึงหลงเซิ่ง เขาก็เดาว่า บางทีหลงเซิ่งอาจจะเป็นายทุนอยู่เื้ัให้เหลียนเหล่ยก็ได้...
สไตลิสต์จัดการแต่งหน้าแต่งตัวให้พวกเขาตามหัวข้อหลักของวันนี้
จุดประสงค์หลักของวันนี้คือ การโปรโมตกระบี่เย้ยยุทธจักร ดังนั้นสีหลักจึงเป็ ‘สีแดง’ และเพื่อแสดงถึงบทบาทในละครของฉินซี เขาจึงเปลี่ยนไปใส่ชุดสีแดงที่นำมาจากกองถ่ายและรัดผ้าผูกผมสีแดงไว้ ทำให้ดูงดงามสะดุดตา เมื่อยืนอยู่ภายใต้แสงไฟในห้องแต่งตัวก็ดูเปล่งประกาย เจี่ยงถิงเฟิงเองก็เปลี่ยนไปใส่ชุดเสื้อผ้าที่เข้ากัน เพียงแต่ชุดของเขาเป็สีขาวปักลายดอกไม้สีแดง ทำให้เกิดความรู้สึกเบาสบายเป็ธรรมชาติ
ผ่านไปสักพัก ผู้กำกับของรายการก็ให้คนเอาสคริปต์มาให้ ภายในระบุคำถามที่ใช้ถามในรายการไว้เพื่อให้นักแสดงได้เตรียมตัวก่อน จะได้ไม่ทำอะไรตลกๆ หลังจากที่ถูกถาม
รอจนทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อย ก็เริ่มอัดรายการ
ฉินซี เจี่ยงถิงเฟิง เถาเซียง และถังชานเดินขึ้นเวทีตามลำดับพร้อมเสียงเพลงปิดละครกระบี่เย้ยยุทธจักรที่ดังขึ้นมาจากเวที
เนื่องจากรูปลักษณ์ของฉินซีโดดเด่นที่สุด ผู้กำกับจึงปรับเปลี่ยนตำแหน่งให้ฉินซีขึ้นและลงเวทีเป็คนสุดท้าย บนเวทีถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันเบาบาง จอด้านหลังปรากฏภาพป่าไผ่สีเขียว ผ้าสีแดงที่ผูกไว้บนเหล่าต้นไผ่ปลิวไสว แดนเซอร์เริ่มขยับเข้ามาร่ายรำอยู่รอบๆ พวกเขาต่างใส่ชุดโบราณ ทำให้เกิดบรรยากาศผสานกลิ่นอายยุคโบราณขึ้น
และในตอนนี้ ฉินซีก็อาศัยสถานการณ์ทำไปตามสไตล์ของตัวเอง
การปรากฏตัวขึ้นของเขาดึงดูดความสนใจของผู้ชมด้านล่างเวทีไปตามคาด และในตอนนั้นแดนเซอร์ก็นำฉินเจ็ดสายมาวางตรงหน้าของเขา ฉินซีนิ่งไปเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าจะมี่นี้ด้วย แต่ถึงอย่างไรของก็อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ฉินซีจึงยกมือขึ้นบรรเลง ผู้ชมด้านล่างเวทีต่างแสดงสีหน้าตกตะลึง ราวกับภาพนี้ทับซ้อนกับภาพแผ่นหลังที่กำลังดีดฉินในคลิปวิดีโอ
ในขณะนั้น เจี่ยงถิงเฟิงกับเถาเซียงก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน พวกเขาแยกกันอยู่คนละฝั่งเวที ในมือของเถาเซียงเองก็ถือฉินอยู่ ใบหน้าของเธอถูกปิดบังไว้ด้วยผ้าคลุมบางๆ ส่วนเจี่ยงถิงเฟิงก็ถือเซียว[1] ไว้ในมือ ทำให้ดูเหมือนกับจะร่วมบรรเลง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ด้วยกัน ผู้ชมด้านล่างเวทีต่างก็ส่งเสียงกรี๊ดดังขึ้น
ฉินซีหยุดมือที่ดีดฉินลง นี่มันหมายความว่ายังไง? ผู้กำกับจงใจให้เขาแข่งกับเถาเซียงเหรอ? ฉินซีไม่อยากจะเป็ตัวร้ายแบบนั้น จึงลุกขึ้นทำท่าร่ายรำ แต่เจี่ยงถิงเฟิงกลับสังเกตเห็นกิริยานี้ของเขา และเดินถือเซียวเข้ามาที่ด้านหน้า จากนั้นทั้งสองก็ร่วมเต้นรำด้วยกัน
ฉินซียิ่งเวียนหัวหนักขึ้นไปอีก เจี่ยงถิงเฟิงตั้งใจจะทำอะไร? เขาเป็พระเอกก็ควรจะอยู่รอบๆ นางเอกไม่ใช่เหรอ?
แต่ในตอนนั้น เสียงกรี๊ดจากด้านล่างเวทีกลับดังขึ้นจนเกือบจะทะลุหลังคา
ฉินซีแสดงการร่ายรำเสร็จไปด้วยความงงงัน หลังจากนั้นก็ลงไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากับพวกเจี่ยงถิงเฟิง
ฉินซีสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบางดูเย้ายวนคู่กับกางเกงขายาว ส่วนเจี่ยงถิงเฟิงกลับสวมชุดสูททั่วไปดูภูมิฐาน เนื่องจากใบหน้าของเขาหล่อเหลาทำให้เมื่อใส่ชุดสูทแล้วก็ยิ่งดูเท่ คาดว่าเมื่อขึ้นไปยืนบนเวทีแล้ว ก็คงสามารถเรียกเสียงกรี๊ดจากเด็กสาวได้ไม่น้อย
เมื่อพวกเขาขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง ด้านล่างเวทีก็พากันส่งเสียงกรี๊ดขึ้นมาอีก
ฉินซีเอียงหัวไปมา จากนั้นเขาก็ได้ยินเด็กสาวด้านล่างเวทีกำลังร้องเรียกชื่อของเขา
ในตอนนั้นเอง พิธีกรชายเผยยิ้มออกมา “ยากที่จะได้เห็นทุกคนกระตือรือร้นกันขนาดนี้นะครับ ดูเหมือนเวลาปกติผมจะอยู่บนเวทีจนทุกคนเบื่อหน้าผมไปแล้ว มีเพียงตอนที่แขกรับเชิญผู้งดงามแบบนี้ปรากฏตัวขึ้นเท่านั้น ถึงจะสามารถเรียกเสียงกรี๊ดจากทุกคนได้” พิธีกรชายพูดพลางชี้มาทางฉินซี
……
[1] เซียว คือ ขลุ่ยไม้ไผ่