เมื่อจงซิงอู๋ออกมาพูดก็มีคนเชื่อมโยงเื่นี้ไปถึงเหลียนเหล่ย ก่อนที่ฝั่งตำรวจจะเปิดเผยตัวตนของคนเ่าั้ แฟนคลับของทุกฝ่ายก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน มีปัญหากันถึงขั้นทำให้ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด เหลียนเหล่ยเองก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ดีนัก แฟนคลับของเธอเป็ฝ่ายแพ้ แม้เธอจะมีแฟนคลับสาวตัวน้อยจำนวนมาก แต่เมื่อเทียบกับจงซิงอู๋ซึ่งเป็ถึงเทพเ้าและมีแฟนคลับในทุก่อายุแล้ว เธอก็ทำได้เพียงต้องก้มหัวจำยอมเท่านั้น
ในที่สุดฉินซีก็สามารถเล่นเวยป๋อต่อได้อย่างสบายใจ เขานั่งดูความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายอย่างมีความสุข อย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีใครมาด่าว่าเขาในเวยป๋ออีกแล้ว
ทว่าขณะที่ฉินซีกำลังสบายใจ เหลียนเหล่ยกลับเป็ฝ่ายอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาแทน ตอนแรกเธอยังภาคภูมิใจในแผนการเอาคืนเ้าเด็กที่กล้ามาแย่งบทบาทของตนอยู่เลย แต่ใครจะรู้ว่าความภาคภูมิใจนี้อยู่ได้เพียง 2 วัน กระแสก็พลิกกลับเพราะแถลงการณ์ของจงซิงอู๋และการโจมตีโดยไม่คาดฝันนั่น หลังจากนั้นพวกคนไร้สติบนโลกอินเทอร์เน็ตต่างก็พากันพุ่งเป้ามาด่าเธอแทน!
“คนพวกนี้บ้าไปแล้วหรือยังไง? ทำไมอยู่ๆ ถึงมาด่าฉันล่ะ? เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็ความผิดของเ้าเด็กที่ชื่อฉินซีนั่น! ถ้าไม่ใช่เพราะเขามาแย่งบทของฉันไป ตอนนี้คนที่เป็แฟนคลับของตงฟางปู๋ป้ายคงต้องมาชอบฉัน!” เหลียนเหล่ยปาโทรศัพท์มือถือไปทางกำแพงด้วยความโมโห สิ้นเสียงดังกล่าว ร่างของผู้จัดการของเธอก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเ็ปราวกับใจสลายเช่นนั้น
“โถ่… คุณหนูของฉัน! ทำไมถึงโมโหอีกแล้วล่ะ? ใครมาทำอะไรให้ไม่พอใจอีกเหรอคะ?” ผู้จัดการรีบเก็บโทรศัพท์มือถือขึ้นมา มองมือถือเครื่องนั้นที่หน้าจอแตกละเอียด ผู้จัดการก็ปวดหัวแทบตาย เหลียนเหล่ยก็นิสัยเสียแบบนี้ ไม่รู้ว่าในหนึ่งเดือนเธอทำข้าวของพังเสียหายไปเท่าไรแล้ว เงินที่ได้มาไม่พอต่อของที่เธอทำเสียหายด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะเื้ัมีนายทุนคอยสนับสนุนอยู่ เธอก็คงจะตกต่ำลงไปนานแล้ว
“เธอดูสิ ทำไมพวกคนในอินเทอร์เน็ตถึงมาด่าฉันล่ะ?” เหลียนเหล่ยทุบโซฟาด้วยความหงุดหงิด
ผู้จัดการหยิบไอแพดขึ้นมาเลื่อนอ่านคอมเมนต์อยู่สักพัก จากนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เธอรีบปลอบใจเหลียนเหล่ย “อย่าโมโหไปเลยค่ะ เดี๋ยวฉันโทรหาคุณหลงให้”
ความเกรี้ยวกราดของเหลียนเหล่ยสงบลงเล็กน้อย ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มเบาบางบนใบหน้าของเธอ “ฉันต้องทำให้ฉินซีนั่นได้เห็นดีแน่”
ผู้จัดการให้การสนับสนุนอยู่ข้างๆ “ใช่ค่ะ ใช่ๆ”
…...
เนื่องจากสถานการณ์บนอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนไป ฉินซีจึงนอนหลับสบายมากกว่าที่เคย หลังจากตื่นขึ้นมา ก็ไม่ได้เจอกับสัญญาชุดใหม่จากทางเฉินเจวี๋ย ทว่ากลับได้รับโทรศัพท์จากจงซิงอู๋ก่อน
“สวัสดีครับ อาจารย์จงมีอะไรหรือเปล่า?” ฉินซีสงสัยเป็อย่างมาก หรือจะมีข่าวใหม่อะไรอีก?
จงซิงอู๋เองก็สงสัยเช่นกัน “นายรู้จักเศรษฐีสกุลหลงของเมืองหนิงชื่อคนหนึ่งหรือเปล่า? ตอนนี้เขาย้ายมาลงทุนด้านภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ ไม่รู้ว่าเขาได้เบอร์ของฉันมาจากไหน แล้วยังให้ฉันเอาช่องทางการติดต่อนายให้เขาไปอีก นายรู้จักเขาหรือเปล่า?”
ฉินซีไม่เคยได้ยินชื่อเศรษฐีสกุลหลงมาก่อนทั้งในชาติที่แล้วและชาตินี้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ไม่รู้จักนะครับ”
จงซิงอู๋ทำอะไรไม่ได้ “เขาได้ช่องทางการติดต่อของฉันผ่านผู้ช่วยผู้กำกับของพวกฉัน ฉันปฏิเสธไปไม่ได้ เพราะยังไงฉันก็ยังต้องอยู่ในกองถ่าย ก็เลยเอาเบอร์โทรนายให้เขาไป ฉันมาเตือนนายก่อน นายระวังตัวด้วยก็แล้วกัน ถ้าเกิดมีอะไรก็โทรหาคุณเฉินหรือไม่ก็โทรหาฉันก็ได้”
“โอเคครับ ขอบคุณที่มาเตือนนะครับ”
หลังจากวางสายไป ฉินซีก็ระลึกถึงความทรงจำของตัวเองอีกครั้ง แต่ก็นึกอะไรเกี่ยวกับเศรษฐีสกุลหลงไม่ออกเลยสักนิด
ฉินซีส่ายหน้า ก่อนปล่อยไปอย่างมึนงง
“ตอนออดิชั่นเหลียนเหล่ยมาสาย ทั้งยังทำตัวหยิ่งผยอง… ฉันก็ไม่อยากจะพูดนักหรอก อยู่ในวงการบันเทิงด้วยกันทั้งนั้น แต่เพราะอีกฝ่ายบังเอิญมีความสามารถมากกว่า ก็เลยคว้าโอกาสที่ตัวเธอพลาดไป แล้วทำไมมันถึงกลายเป็การแย่งชิงไปได้? าการแย่งชิงบทบาทตงฟางปู๋ป้ายเนี่ยนะ” พนักงานของกองถ่ายกระบี่เย้ยยุทธจักรโพสต์เวยป๋อนี้ลงไป หลังจากได้รับความสนใจจากผู้คน มันถูกแชร์ออกไปอย่างแพร่หลาย
หลังจากนั้นผู้กำกับ ผู้ช่วยผู้กำกับ ผู้ตัดต่อ ช่างแต่งหน้า และเหล่านักแสดง… ต่างก็ทยอยกันออกมาแสดงจุดยืน
หลังจากที่สวี่เทามีชื่อเสียง ด้วยนิสัยของเขา เดิมทีก็ไม่ควรไปมีเื่ด้วยอยู่แล้ว เขาโพสต์เวยป๋อลงไปทันที “รู้จักใช้วิธีการป้ายสีให้คนอื่นได้ดีนี่ แต่ต่อให้เป็วิธีการที่ร้ายกาจแค่ไหนก็ไม่อาจปิดบังสายตาของทุกคนไปได้หรอกนะ เพราะทำผิดเองจึงเห็นคนรอบตัวแล้วรู้สึกขัดตาไปเสียหมด” สวี่เทากล่าวถึงเหลียนเหล่ยในโพสต์อย่างเปิดเผย
หลังจากเหตุการณ์นั้นก็ทำให้มีการวิจารณ์ในอีกมุมเกี่ยวกับเื่การแย่งบทบาทนี้ขึ้นมา มีคนจำนวนไม่น้อยเริ่มสงสัยว่าทำไมเหลียนเหล่ยต้องอยากทำให้คนเกลียดชังเด็กหน้าใหม่คนนี้ด้วย? ใจคอของเธอจะคับแคบขนาดนี้เลย? แล้วความสดใส ร่าเริง ใจกว้างในตอนแรกต่างก็เป็เพียงสิ่งที่เธอแสดงออกมาเท่านั้นเหรอ? ไม่นานเหลียนเหล่ยก็ถูกติดป้ายคนจิตใจย่ำแย่ไป
แต่ใน่หลายวันมานี้ สถานการณ์บ้าคลั่งบนอินเทอร์เน็ตก็เกิดการตีกลับ และผลดีทุกด้านก็ตกมาเป็ของฉินซี
ตอนที่เหลียนเหล่ยเห็นเวยป๋อของสวี่เทา เธอก็ย่นจมูกจนแทบเบี้ยวเพราะความหงุดหงิด เธอระบายอารมณ์รุนแรงอยู่ในคฤหาสน์ “รีบไปสิ! ไปตามตัวมาให้ฉัน! ทำไมฉันต้องยอมให้พวกเขารังแกขนาดนี้ด้วย? พวกเขาเป็ใครกัน?”
ตกกลางคืน ฉินซีก็ได้รับโทรศัพท์อีก เสียงหญิงสาวจากปลายสายดังขึ้นน้อยๆ “ไม่ทราบว่าใช่ฉินซีหรือเปล่า?” น้ำเสียงของผู้หญิงคนนั้นทั้งนิ่งแข็งและยังดูรำคาญใจ
ใบหน้าของฉินซีเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ผมคือฉินซีครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็ใครเหรอครับ?”
“เ้านายของฉันสกุลหลง อยากจะเชิญคุณมาร่วมทานมื้อค่ำ” หญิงสาวพูดเสียงเรียบ
ฉินซียิ้มเยาะในใจ จะหดหัวซ่อนหางไปทำไม? แม้แต่ชื่อเต็มก็ยังไม่กล้าบอก! เขาไม่เคยเจอ ‘นักธุรกิจร่ำรวย’ คนไหนในเมืองหนิงชื่อทำตัววางท่าขนาดนี้มาก่อน
“ขอโทษนะครับ แต่ผมไม่รู้จักเ้านายของคุณ” แม้ฉินซีจะยังคงพูดจาอย่างมีมารยาทอยู่ แต่ทางการกระทำ เขากลับวางสายไปอย่างรวดเร็ว
เพราะไม่คิดว่าฉินซีจะทำแบบนี้ นั่นทำเอาหญิงสาวถึงกับจุกจนพูดอะไรไม่ออก
ชายร่างใหญ่ในชุดสูทสีดำด้านหลังหญิงสาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ เขาหมุนแหวนทองบนนิ้ว ก่อนจะเอ่ยถาม “เขาว่ายังไง?”
หญิงสาวตอบไปด้วยความละอาย “เขา… เขา เขาตัดสายไปแล้วค่ะ”
สีหน้าของชายคนนั้นเปลี่ยนไป ก่อนจะตบลงบนพนักวางแขนของเก้าอี้อย่างรุนแรง “อะไรนะ? เขากล้าตัดสายฉันเหรอ? เธอ... โทรกลับไปอีก”
หญิงสาวกดเบอร์โทรด้วยใบหน้านิ่งแข็ง รอจนปลายสายเพิ่งดัง “ตู๊ด” ขึ้นมาก็ถูกตัดไปอย่างไร้เยื่อใย หลังจากนั้นเสียงอันไพเราะเสนาะหูจากบริการรับฝากข้อความก็ดังขึ้น “ขออภัยค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...”
สีหน้าของหญิงสาวยิ่งแข็งเกร็งขึ้นไปอีก “เขา… ไม่รับสายค่ะ”
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ของตนมาจากด้านข้าง จากนั้นก็กดเบอร์ และพิมพ์ข้อความส่งไป
เมื่อฉินซีที่กำลังดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้านได้ยินเสียงแจ้งเตือนข้อความดัง “ติ๊ง” ก็เปิดข้อความดู มันทำให้ฉินซีนึกไปถึงข้อความข่มขู่ที่พาเขาไปยังร้านอาหารจีนด้วยความเข้าใจผิดเมื่อตอนนั้นทันที พวกที่้าจะข่มขู่เขานี่… มีเพียงวิธีเดียวเองหรือยังไง
ฉินซีมองจอโทรศัพท์ด้วยสายตาที่ราวกับกำลังมองคนโง่อยู่เล็กน้อย ก่อนจะก็ปิดมันไป
ที่เขาไปตามนัดหมายเมื่อครั้งที่แล้ว นั่นเป็เพราะ้าจะรู้ว่าใครเป็คนก่อกวน แต่ครั้งนี้เขารู้อยู่แล้วว่าเป็คนสกุลหลงนั่น ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็ต้องไปตามนัดหมาย ข่มขู่ไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา? หรืออีกฝ่ายจะสามารถทำอะไรเขาได้จริงๆ?
ฉินซีคิดไม่ถึงว่า อีกฝ่ายจะหาญกล้าขนาดนั้นจริงๆ
เขาถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงเคาะประตูอย่างรุนแรง เพื่อไม่ให้เป็การรบกวนเพื่อนบ้านข้างๆ ฉินซีจึงต้องโผล่ออกมาจากผ้าห่ม และเดินไปใกล้ๆ ประตู เขามองผ่านตาแมวออกไปด้านนอก เห็นหญิงสาวอายุน้อยสวมชุดพนักงานบริษัทสีขาวยืนอยู่ หญิงสาวขมวดคิ้วมองประตูอย่างรำคาญใจ ฉินซีเพียงพิจารณาเธอคร่าวๆ ให้มั่นใจว่าไม่ใช่นักข่าวหรือแฟนคลับที่บ้าคลั่ง
จากนั้นฉินซีก็เปิดประตูออก “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่ามาหาใครครับ?”
หญิงสาวเห็นใบหน้าของฉินซีโดยไม่ทันตั้งตัว ความรำคาญใจบนใบหน้าพลันหายไป ทั้งพวงแก้มยังขึ้นสีแดงจางๆ “คุณคือฉินซีใช่ไหม?”
ในที่สุดฉินซีก็นึกออกแล้วว่าอีกฝ่ายเป็ใคร เสียงนี้ไม่ใช่เสียงของหญิงสาวที่โทรมาหรอกเหรอ? เพราะไม่ได้เยือกเย็นเจือความรำคาญใจอย่างในสายโทรศัพท์ ฉินซีจึงไม่ได้ฟังออกั้แ่แรก
สีหน้าของฉินซีเรียบนิ่งขึ้นมาทันที “ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าครับ?”
สายตาของหญิงสาวเผยประกายเล็กน้อย ก่อนจะเปิดทางให้คนด้านหลัง
ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นบริเวณทางเดิน เขาสวมชุดสูทสีดำ แต่กลับดูขัดตาเล็กน้อย มันไม่ได้ดูเหมือนพวกเ้านาย ทว่ากลับดูเหมือนนักเลงเสียมากกว่า ฉินซีเลิกคิ้วขึ้น คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้เจอกับคนคุ้นเคย เพียงแต่เป็คนคุ้นเคยในชาติก่อนเท่านั้น ไม่แปลกใจเลย สกุลหลง นักธุรกิจร่ำรวย...
ฉินซีสบตาอีกฝ่ายอย่างไร้ความเกรงกลัว ชายหนุ่มแสยะยิ้มพร้อมกับโยนก้นบุหรี่ในปากทิ้ง ก่อนจะถามฉินซี “เป็ยังไง? มาเชิญนายด้วยตัวเองแบบนี้ น่าจะให้เกียรติกันสักหน่อยนะ”
“ผมขอถามเหตุผลสักหน่อยได้ไหมครับ? ผมรู้ว่าปกติพี่หลงไม่เชิญใครไปทานข้าวง่ายๆ และหากชวนไป ก็ย่อมต้องเป็มื้อสุดท้ายของชีวิตแล้ว” ฉินซีพูดออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไป “นายรู้จักฉัน?”
ฉินซีพยักหน้า “ชื่อเสียงของพี่หลงออกจะโด่งดัง แน่นอนว่าผมต้องเคยได้ยินมาก่อนอยู่แล้ว”
สีหน้าของชายหนุ่มกลายเป็ตึงเครียด “นาย… นายไปได้ยินชื่อของฉันมาจากที่ไหน?”
หญิงสาวเดินหลบออกไปก่อนนานแล้ว เธอรู้ดีว่ามีบางอย่างที่ไม่อาจรับฟังได้
ฉินซีพูดทั้งรอยยิ้ม “ท่านทังครับ”
ท่านทัง หรือความจริงแล้วคือผู้ชายวัยกลางคนอายุ 40 กว่าปีในชุดจีนประยุกต์ที่เคยเจอที่ร้านอาหารจีนตอนที่ฉินซีหลงเข้าไป… ทังเจ๋อ ถ้าเขาจำไม่ผิด ชายสกุลหลงคนนี้ ชื่อเดิมคือหลงเซิ่ง เดิมทีเป็น้องชายข้างกายคนหนึ่งของทังเจ๋อ หลังจากนั้นด้วยความกล้าต่อยกล้าตีของเขา ทำให้เขาค่อยๆ กลายเป็อาวุธชั้นดีในมือของทังเจ๋อ เพียงแต่หลงเซิ่งเป็คนอารมณ์ร้อน ทั้งยังไม่ได้ฉลาดมีไหวพริบนัก ไม่นานเขาก็อยู่ในโลกใต้ดินได้อย่างยากลำบาก ทว่ายังดีที่เขาอยู่กับทังเจ๋อมาก่อน ดังนั้นต่อมาเขาก็ได้เงินก้อนหนึ่งไปเปิดบริษัทของตัวเอง เพียงแต่พอเปิดก็เจ๊งไปตามๆ กัน ตอนนี้ได้ยินว่าเขากำลังถ่ายละครทำเงิน และตั้งใจจะนำเงินไปลงทุนด้านภาพยนตร์และละครโทรทัศน์แทน
ความจริงขอเพียงพูดถึงทังเจ๋อต่อหน้าหลงเซิ่ง เขาก็จะเก็บคมไปมาก แม้ฉินซีจะไม่ได้รู้เื่ทางด้านนี้มากนัก แต่ก็เคยได้ยินมาว่า ทังเจ๋อคือคนที่ช่วยชีวิตหลงเซิ่งไว้ ดังนั้นเขาจึงเคารพทังเจ๋อเป็อย่างมาก เขาไม่เกรงกลัวใคร แม้แต่ตำรวจก็ยังไม่กลัว เขากลัวเพียงคนเดียวเท่านั้นนั่นก็คือ ทังเจ๋อ!
สีหน้าของหลงเซิ่งสับสนขึ้นมาไม่น้อย เขาเก็บความดุดันบนใบหน้าลง ก่อนจะกระแอมไอออกมา “ให้ฉันเข้าไปก่อน”
ฉินซีไตร่ตรองถึงอันตรายในใจสักพัก และสุดท้ายเขาก็ปล่อยให้หลงเซิ่งเข้ามา
หลงเซิ่งนั่งลงบนโซฟา ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็ถูกทิ้งไว้ด้านนอก เธอไม่กล้าส่งเสียงถามอะไร ไม่กล้าออกไปก่อน และยิ่งไม่กล้าตามเข้าไปด้านใน
“ถ้านายโทรไปหาท่านทัง ฉันจะถือว่าเื่นี้เป็เื่เข้าใจผิดและปล่อยให้มันผ่านไป” หลงเซิ่งพูด
ฉินซียังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงถามออกไป “ผมยังไม่รู้เลยว่าผมไปทำอะไรให้พี่หลงไม่พอใจ รบกวนพี่หลงช่วยบอกหน่อยได้ไหมครับ ผมจะได้รู้ว่าทำอะไรผิดไปด้วย”
หลงเซิ่งขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก “นายรู้จักเหลียนเหล่ยไหม?”
ราวกับมีหินก้อนหนึ่งกลิ้งตกลงกลางใจของฉินซี เหอะ เขาก็คิดอยู่ว่าเป็ใคร? ที่แท้ก็เป็แผนการของเหลียนเหล่ยนี่เอง!