โชคดีที่เมื่อชาติก่อนฉินซีดิ้นรนทำทุกอย่างในวงการบันเทิงมาก่อน ใบหน้าที่สวยงามนี้ก็ไม่รู้ว่าถูกคนพูดถึงทั้งต่อหน้าและลับหลังไปเท่าไร หน้าตางดงาม บางทีก็ดูเหมือนกับผู้หญิง ฉินซีจึงไม่ได้คิดว่าคำพูดเหล่านี้เป็การเย้ยหยันอีกต่อไป เขามีรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่น ซึ่งเป็สิ่งที่ใครหลายคนหวังแต่กลับไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่เขาต้องโมโห
เมื่อได้เผชิญหน้ากับการเย้ยหยันด้วยเจตนาไม่ดีของพิธีกรชาย เขาก็เผยยิ้มออกมาอย่างสุขุม “แน่นอนว่าไม่ได้งดงามดั่งดอกไม้อย่างพี่เจียวหรอกครับ” พิธีกรชายคนนี้เคยแต่งหญิงในรายการมาก่อน ทั้งยังทำหน้าตาน่ารักบอบบาง ทำให้ผู้ชมขยะแขยงในใจไปไม่น้อย ทว่าหลังจากนั้นแฟนคลับของเขาก็ตั้งชื่อเล่นให้เขาว่า ‘พี่เจียว’[1]
แน่นอนว่าพิธีกรชายไม่ชอบใจคำเรียกนี้ แต่ก็ไม่กล้าแสดงความไม่พอใจใส่แฟนคลับ จึงทำได้เพียงปล่อยให้ทุกคนเรียกแบบนี้ต่อไป ฉินซีรู้ว่าเขาไม่ชอบให้คนอื่นเรียกแบบนี้ แต่คนอื่นไม่ได้รู้ด้วย ฉินซีเรียกเขาพร้อมกับยิ้มจนตาหยี ในใจของพิธีกรชายเกิดความขยะแขยงขึ้นทันที เขาถูกฉินซีทำเอาเกือบจะลืมคำพูดไป
พิธีกรหญิงรีบเข้ามาต่อบทสนทนา บรรยากาศยังคงร้อนแรงดังเดิม ทำให้มองไม่ออกว่าในชั่วพริบตานั้นมีใครอับอายไปบ้าง
รายการยังคงดำเนินต่อไป เริ่มต้นจากพระนางร่วมพูดคุยไปด้วยกัน จากนั้นก็เป็ผู้กำกับ และฉินซีกับถังชาน ระหว่างนั้นมีการถามถึงเื่น่าสนใจในกองถ่าย เจี่ยงถิงเฟิงไม่ได้สนใจทางด้านนี้นัก เมื่อเปิดปากออกเขาก็เล่าไป แต่สิ่งที่เขาเล่าออกมากลับเป็เื่ตลกที่เกิดขึ้นระหว่างซ้อมบทกับฉินซีในกองถ่ายเป็ส่วนมาก
เมื่อพิธีกรหญิงได้ฟังถึงตรงนี้ ก็อดถามขึ้นไม่ได้ “เจี่ยงถิงเฟิงมักจะพูดถึงฉินซีบ่อยขนาดนี้ หรือจะสนใจฉินซีมากกว่านางเอกอีกเหรอคะ?”
สีหน้าของเจี่ยงถิงเฟิงกลายเป็สับสนในชั่ววินาที แต่ก็เป็เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น จึงไม่มีคนสังเกตเห็น แต่ทางฝั่งเถาเซียงกลับรู้สึกอับอายขึ้นมา อย่างไรเธอก็เป็นางเอก ถ้าแม้แต่ตัวประกอบชายคนหนึ่งยังสู้ไม่ได้ มันจะใช้ได้ที่ไหนกัน?
เพื่อหลีกเลี่ยงความอับอาย เถาเซียงจึงตัดบทเจี่ยงถิงเฟิงที่กำลังจะอ้าปากพูดทันที เธอกล่าวยิ้มๆ “ช่วยไม่ได้นี่คะ ถ้าเทียบรูปลักษณ์หน้าตาแล้ว ฉันก็สู้ฉินซีไม่ได้เลย”
ดังนั้นคำถามนี้จึงถูกข้ามไปด้วยความคลุมเครือ
ต่อมาพิธีกรชายก็เบนความสนใจไปที่ฉินซีอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ฉินซีเคยเล่นละครมาก่อนไหมครับ? ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้จะไม่เคยเห็นหน้าคุณในวงการมาก่อนเลย? คุณมีหน้าตาที่โดดเด่นขนาดนี้ ไปไหนก็คงจะสะดุดตาคนมากสินะครับ”
ฉินซีไม่คิดว่าจำเป็ต้องปกปิดตัวตนอะไร มีดาราหลายคนที่ตอนเดบิวต์มักจะชอบทำตัวให้ดูดีราวกับเปล่งแสงสีทองไปทั้งตัวได้ แต่เมื่อถูกขุดประวัติการเรียนหรือฐานะทางบ้านปลอมๆ ออกมา มันก็กลายเป็เื่ขายหน้ามากเท่าไรก็ไม่รู้ ไม่ใช่แค่ชื่อเสียงจอมปลอมหรอกเหรอ มันมีความจำเป็อะไรกัน? การที่คนธรรมดาสามารถกลายเป็ดาราดังได้ ไม่ได้ดูน่าภูมิใจเหรอ?
“ผมไม่ได้เรียนมาเฉพาะด้านน่ะครับ แค่เมื่อก่อนค่อนข้างชอบการแสดง ก็เลยมีความรู้ ความเข้าใจทางด้านนี้อยู่ หลังจากนั้นก็ได้เข้ากองถ่ายกระบี่เย้ยยุทธจักรไปด้วยความบังเอิญ ผมก็เลยรู้สึกขอบคุณผู้กำกับสวี่ที่ให้โอกาสในการแสดงแบบนี้กับผมมากๆ ครับ ถือว่าเป็การเติมเต็มความฝันหนึ่งของผมเลย” ฉินซีพูดไปพร้อมกับค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา
ใบหน้าของพิธีกรหญิงแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปอีกทาง “เห็นใบหน้าแบบนี้ ถ้าฉันเป็ผู้กำกับ ฉันก็ต้องแย่งเอาตัวกลับไปกองถ่ายก่อนเลยล่ะค่ะ”
พิธีกรชายพูดต่อ “ไม่รู้ว่ามีผู้ชมกี่ท่านที่ยังไม่เคยเห็นรูปฟิตติ้งของกระบี่เย้ยยุทธจักรนะครับ ดังนั้นวันนี้เรามาดูกันก่อนสักหน่อยเถอะครับ”
พิธีกรหนุ่มไม่อยากให้ฉินซีได้ซีนมากนัก
ไม่นานบนจอใหญ่ก็ปรากฏภาพฟิตติ้งขึ้นมา เริ่มต้นด้วยภาพนางเอกอย่างเถาเซียง เธอแต่งกายชุดผ้าไหมสีฟ้าม่วง ใบหน้าของเธอถูกบดบังด้วยผ้าคลุมบาง หยกเม็ดเล็กห้อยลงมากลางหน้าผาก เรือนผมยาวสีดำสยายอยู่ด้านหลัง พูดกันตามความจริง เมื่อเทียบกับเมื่อชาติก่อนแล้ว รูปลักษณ์นี้ก็ถือว่าสวยงามจนต้องเหม่อมองด้วยความตกตะลึง แฟนคลับด้านล่างเวทีจำนวนไม่น้อยส่งกรี๊ดออกมา
เถาเซียงเม้มปากไว้ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า เธอพึงพอใจกับรูปลักษณ์นี้ของตัวเองเป็อย่างมาก
ต่อมาก็เป็เจี่ยงถิงเฟิงในชุดสีเขียว เรือนผมยาวปลิวไสวน้อยๆ ในมือถือดาบยาว ท่าทางดูสบายใจไร้กังวล ทั้งที่เอวยังแขวนน้ำเต้าบรรจุสุราเอาไว้ มันให้ความหล่อเหลาและความรู้สึกเบาสบายอย่างบอกไม่ถูก ภาพลักษณ์นี้ถูกฝังลึกลงในใจของผู้ชม เรียกเสียงกรี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากนั้นก็เป็ภาพฟิตติ้งของฉินซี เพียงภาพฟิตติ้งของเขาปรากฏขึ้น ด้านล่างก็เต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง
ที่แท้ไม่รู้ว่าพนักงานตั้งใจหรือว่าอะไร ภาพนั้นเป็ภาพหนึ่งที่ถูกตัดมาจากตอนถ่ายทำ มันไม่ได้ถือว่าเป็ภาพฟิตติ้งที่แท้จริง ภาพนี้บังเอิญเป็ภาพตอนที่หยางเหลียนถิงก้มตัวลงจูบเรือนขายาวของตงฟางปู๋ป้ายบนเตียงกุ้ยเฟย และอีกฝั่งหนึ่งก็เป็เจี่ยงถิงเฟิงที่รับบทเป็ลิ่งหูชงยื่นมือมาเลิกม่านคลุมเตียงขึ้นพอดี
ในภาพนั้นฉินซียังคงสวมชุดสีแดงที่มักสวมเป็ประจำ เรือนผมสีดำขลับกระจายอยู่ด้านหลัง บางเส้นก็ตกลงมาบริเวณลำคอและไหปลาร้า สีขาวและสีดำตัดกันทำให้เกิดความงดงามสั่นไหวใจคน
ผิวพรรณขาวใสเผยออกมานอกเสื้อผ้า สีแดงปรากฏขึ้นเลือนราง ทำให้เกิดความเย้ายวนขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด
ภาพฉากนี้มีกลิ่นอายของศิลปะอยู่ภายใต้ความรัญจวนใจ
แม้แต่ตัวฉินซีเองก็นิ่งไป
เสียงกรี๊ดจากด้านล่างดังทะลุหลังคาไปอีกครั้ง
พิธีกรหญิงยื่นหน้าเข้าไปทำทีกรี๊ดกร๊าดด้วยความลุ่มหลง “พระเ้า! นี่คือตงฟางปู๋ป้ายตัวจริงหรือเปล่าคะ?”
เมื่อสวี่เทาเห็นว่าตัวละครที่ตัวเองถ่ายออกมาทำให้คนตะลึงในความงามได้ขนาดนี้ เขาก็อดภาคภูมิใจไม่ได้ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสวี่เทา ก่อนที่เขาจะพูดขึ้น “ตอนที่ฉินซีถ่ายทำฉากนี้ คนในกองถ่ายถูกเขาทำเอาลุ่มหลงไปจนเกือบหมดเลยครับ”
“พระเ้า ฉันเองก็จะหลงแล้วค่ะ พวกคุณล่ะ? พวกคุณเองก็จะหลงแล้วเหมือนกันใช่ไหม? นี่เป็ตงฟางปู๋ป้ายที่สวยที่สุดในประวัติศาสตร์เลย!” พิธีกรหญิงพูดพร้อมกับถามผู้ชมไปด้วย
ผู้ชมด้านล่างเองก็ช่วยส่งมาเช่นกัน พวกเขาะโเห็นด้วย “ใช่แล้ว!”
ฉินซีแสดงท่าทางเขินอายในแบบของคนหน้าใหม่ออกมา ลำคอขาวผ่องปรากฏสีแดงขึ้นนิดๆ หากตอนนี้มีคนสังเกตเห็นก็คงจะรู้สึกว่า ไม่แปลกใจเลยที่เขาสามารถแสดงบทบาทตงฟางปู๋ป้ายได้แบบนี้
พิธีกรชายคิดไม่ถึงว่าฉินซีจะได้ซีนขนาดนี้ แต่แม้สีหน้าของเขาจะย่ำแย่มากแค่ไหน เขาก็ยังต้องปกปิดมันเอาไว้ให้มากขึ้น
ราวกับสวี่เทาจะยังภูมิใจไม่พอ เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นถึงสายตาที่เฉียบแหลมของตัวเอง จึงเชิดคางขึ้นน้อยๆ รอยยิ้มบนใบหน้าเปล่งประกายจนเกือบจะทำให้ผู้คนตาลาย “ฉินซีไม่ได้มีดีแค่ตรงนี้นะ ผมจำได้ว่ายังมีรูปในกองอีกหลายรูปที่เต็มไปด้วยความสง่างาม! ถือว่าเขาเป็ตงฟางปู๋ป้ายที่สมบูรณ์แบบที่สุดในใจผมเลย!”
พิธีกรหญิงกะพริบตาปริบๆ “พูดแล้วพวกเราก็ประหลาดใจขึ้นนิดๆ เลยนะคะ ถ้าแบบนั้น พวกเรามาดูรูปอื่นของฉินซีกันเถอะค่ะ”
ฉินซีคิดไม่ถึงว่ารายการจะเตรียมภาพของเขาอีกหลายรูป เมื่อพิธีกรหญิงพูดจบ รูปอื่นในกองถ่ายก็ปรากฏขึ้นบนจอใหญ่อีกครั้ง พวกเขาเปิดภาพที่ฉินซียืนอยู่หน้าบัลลังก์ลัทธิเทพเ้าสุริยันจันทราขึ้นเป็รูปแรก ขั้นบันไดที่สูงชันแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งและอิทธิพลของเขา เขาสวมชุดคลุมสีแดงเข้มที่ทั้งหนาและหนัก แขนเสื้อกว้างใหญ่ทิ้งตัวลงข้างกาย ใบหน้าของเขาสงบนิ่งดูน่าเกรงขาม
หลังจากนั้นก็เป็ภาพที่สอง ในที่สุดบนใบหน้าเรียบเฉยก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาราวกับน้ำแข็งที่เพิ่งละลาย เขามองไปยังใบหน้าของลิ่งหูชง ทั้งสองต่างจ้องมองกันและกัน
ตอนที่ถ่ายยังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อฉินซีได้เห็นรูปของตัวเองในตอนนี้ เขาก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา
ด้านล่างเวทีเต็มไปด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าด
จากนั้นก็เป็รูปที่สาม รูปที่สี่… ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนจบ
พิธีกรสาวหัวเราะร่า “พวกเราไม่สามารถเปิดรูปทั้งหมดได้ ความสุดยอดมากมายที่เหลือยังต้องรอให้ถึงตอนที่กระบี่เย้ยยุทธจักรออกอากาศนะคะ”
แฟนคลับด้านล่างเวทีค่อยๆ สงบความตื่นเต้นลง พิธีกรหญิงเปิดรูปฟิตติ้งของนักแสดงคนอื่นต่อ หลังจากนั้นก็จบขั้นตอนนี้ลง
พวกเขาพากันไปนั่งเก้าอี้แขกรับเชิญ รอยยิ้มบนใบหน้าของพิธีกรชายเจิดจรัสขึ้นมา “ต่อไปพวกเราขอต้อนรับสมาชิกจากกองถ่าย [ความรักเทียบชานชาลา] นะครับ คนแรกคือ เหลียนเหล่ย...”
เจี่ยงถิงเฟิงนั่งอยู่ด้านข้างฉินซี เมื่อเขาได้ยินชื่อนี้ก็ขมวดคิ้วฉับ จากนั้นก็พูดเตือนฉินซีเบาๆ “นายต้องระวังตัวด้วยนะ เหลียนเหล่ยไม่ชอบใจนาย เธออาจจะเล่นลิ้นอะไรในรายการก็ได้”
ฉินซีพยักหน้า ในใจของเขาได้เตรียมการป้องกันไว้บ้างแล้ว เขาเข้าใจนิสัยใจคอของเหลียนเหล่ยแล้ว เธอมีนิสัยหุนหันพลันแล่น ไม่สนใจอะไรนอกจากความพึงพอใจของตัวเอง แม้จะเป็พื้นที่สาธารณะก็ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้นัก รออีกสักพักเธอต้องสร้างความเดือดร้อนให้เขาแน่ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่ากลัว มีอะไรก็พลิกแพลงไปตามสถานการณ์ไป อย่างไรก็อยู่หน้ากล้อง หากเหลียนเหล่ยกล้าเอาเปรียบเขา หลังจากนั้นเธอก็จะต้องถูกสังคมวิจารณ์แน่นอน
การข่มเหงคนอื่นนั้น เป็ปัญหาที่ดึงดูดความสนใจจากทุกคนได้ง่ายที่สุดในสังคมอยู่แล้ว
รอจนกองถ่ายของเหลียนเหล่ยพูดคุยเสร็จ พิธีกรก็เรียกพวกเขามารวมตัวเพื่อเตรียมเล่นเกมร่วมกัน
เกมที่จะเล่นในรอบนี้ต้องแบ่งผู้เล่นออกเป็สองทีม หลังจากนั้นก็เป่ายิงฉุบกัน คนที่แพ้จะต้องเลือกนั่งบนเก้าอี้ ้าหัวจะแขวนถังน้ำเชื่อมติดกับเชือกสามเส้น หลังจากคนแพ้เข้าไปนั่ง คนในทีมเดียวกันจะนำกรรไกรไปเลือกตัดเชือก หากถังน้ำไม่ร่วงลงมาก็ถือว่าโชคดีไป แต่หากถังน้ำร่วงลงมาก็จะลบ 1 คะแนน แน่นอนว่าจะแพ้หรือชนะต่างไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือจะต้องเปียกไปทั้งตัว
ไม่มีดาราคนไหนยินดีให้ตัวเองสะบักสะบอมขนาดนั้นต่อหน้ากล้อง
ดังนั้นหลังจากพิธีกรประกาศกติกาออกมา ทุกคนก็เริ่มกังวลใจ
มีเพียงฉินซีและสวี่เทาที่สงบนิ่งจนน่าประหลาด คนหนึ่งเพราะเป็ผู้กำกับจึงไม่ได้สนใจหากจะต้องมีสภาพน่าเกลียด ส่วนฉินซีก็เป็เพราะเดิมทีเขาไม่ได้ใส่ใจ ‘การมีสภาพน่าเกลียด’ อยู่แล้ว ก็แค่สลัดภาพของนักแสดงออกไปเล่นเกมเท่านั้น มีอะไรน่ากลัวกัน? ไม่แน่ว่าแฟนคลับอาจจะชื่นชมในตัวตนของเขาเสียอีก!
โชคไม่ดีเอาเสียเลย ฉินซีและเหลียนเหล่ยได้อยู่ทีมเดียวกัน ภายใต้แววตาของเจี่ยงถิงเฟิงปรากฏความกังวล แต่กลับต้องไปอยู่อีกทีมอย่างช่วยไม่ได้
ในรอบแรกฉินซีกับเจี่ยงถิงเฟิงเป่ายิ้งฉุบกัน เจี่ยงถิงเฟิงตั้งใจจะยอมให้ แต่ก็ไม่อาจควบคุมชะตาฟ้า เจี่ยงถิงเฟิงออกกระดาษ ส่วนฉินซีออกค้อน แค่เริ่มฉินซีก็ต้องไปนั่งบนเก้าอี้แล้ว เสียงหัวเราะของพิธีกรหญิงดังมาจากด้านข้าง “ดูเหมือนว่าวันนี้ฉินซีของพวกเราจะโชคไม่ดีเลยนะคะ!”
“ทีมเราใครจะไปตัดเชือกล่ะ?” มีคนถามขึ้น
เหลียนเหล่ยยิ้มหวานพลางกล่าว “ฉันเอง” พูดพร้อมกับหยิบกรรไกรก้าวไวๆ ไปที่ข้างตัวฉินซี เธอก้มหน้าลงมองฉินซี จากนั้นก็ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังออกมาในมุมที่กล้องถ่ายไม่เห็น หลังจากนั้นฉินซีก็เห็นเธอยกมือขึ้นตัดเชือกทั้งสามเส้นไปจนหมด
“ซ่า...”
น้ำเต็มถังราดลงมาบนตัวฉินซี
รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหลียนเหล่ย สีหน้าของเจี่ยงถิงเฟิงเปลี่ยนไป ก่อนจะก้าวขายาวๆ เข้ามายื่นมือออกไปผลักเหลียนเหล่ยออก
“เธอทำอะไร?”
“ฉินซี นายไม่เป็อะไรใช่ไหม?”
……
[1] เจียว ในที่นี้มาจากคำว่า น่ารัก น่าเอ็นดู