ภาพของหลัวเลี่ยที่นั่งอยู่หน้าต้นัดูราวกับเทพ ได้ตราตรึงอยู่ในใจของทุกคนและัทุกตัว
นั่นไม่ใช่แค่ภาพที่น่าใ แต่ยังเผยให้เห็นถึงความลึกลับของวิชายุทธ์ที่อธิบายไม่ได้
บางทีในตอนนี้พวกเขาอาจยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ และพวกเขาก็ยังไม่สามารถเข้าใจความลึกลับนี้ได้
แต่พวกเขาทั้งหมดก็รู้ว่าบางทีในอนาคตอันใกล้นี้ พวกเขาจะสามารถเข้าใจแก่นแท้ของวิชายุทธ์ และก้าวไปสู่จุดสูงสุดใหม่ได้ผ่านภาพเงาที่เคลื่อนไหวนี้
“บรรพจารย์ของสรรพสิ่ง?”
“นี่คือแนวทางของหลัวเลี่ยจริงๆ หรือ?”
“เทพผู้ให้การสั่งสอนสรรพชีวิต”
หยางเสี้ยวเสียเฝ้าดูและคิดคำดังกล่าวในใจโดยไม่รู้ตัว
เป็ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่หุบเขาสุสานัอันวุ่นวายและเสียงดังตกอยู่ในความเงียบสงบ ไม่มีใครพูด และไม่มีใครพยายามทำลายความสงบสุขอันแสนสั้นนี้ แม้แต่ัหลายตัวก็ยังหายใจน้อยลง เพราะกลัวว่าจะทำลายความสงบสุขที่หาได้ยากนี้
มีเพียงหลัวเลี่ยเท่านั้นที่นั่งอยู่ข้างหน้าต้นั การเคลื่อนไหวของเขาดูสง่างามแต่เชื่องช้าเล็กน้อย เขาแสดงความมหัศจรรย์ของวิชายุทธ์อย่างอิสระ
จิตใจของเขาถูกดึงเข้าไปในต้นั และเฝ้าดูัจำนวนนับไม่ถ้วนแสดงวิชายุทธ์ที่ลึกลับ นอกจากนี้เขายังดูดซับพลังและให้มันหลอมรวมเข้ากับเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์ของเขาอย่างต่อเนื่อง
นี่เป็การขยายขอบเขตพลังของหลัวเลี่ยด้วย
มีคนบอกว่าใครก็ตามที่ไม่ใช่ปรมาจารย์ในระดับทลายยุทธ์ จะไม่สามารถสร้างวิชายุทธ์ของระดับทลายยุทธ์ได้
เพราะมันต้องใช้ความรู้มากมาย และมีความรู้ที่เพียงพอเกี่ยวกับวรยุทธ์ ซึ่งผู้ที่มีระดับพลังยุทธ์ต่ำเกินไปก็ไม่สามารถรับรู้พลังในระดับสูงและเชี่ยวชาญสิ่งเหล่านี้ได้
ในตอนนี้หลัวเลี่ยรู้สึกว่าเขามีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในทุกด้าน
ในอดีตนอกเหนือจากวิชายุทธ์ที่หลัวเลี่ยฝึกอยู่แล้ว ในด้านพละกำลังหรือด้านอื่นๆ ของเขาก็ไม่แข็งแกร่งเท่ากับปรมาจารย์ในระดับแก่น์ แต่เขาก็ได้ความลึกลับของระฆังจักรพรรดิประจิมไท่อีช่วยสร้างเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์ จนทำให้เขาเปิดโลกได้กว้างกว่าที่เป็อยู่ และมองเห็นสิ่งใหม่ๆ มากขึ้นไปอีกขั้น จนถึงตอนนี้วิชายุทธ์ที่อยู่ในต้นัก็ซับซ้อนและลึกซึ้งมาก จนทำให้เขาได้รับความรู้มากมายขึ้นอีก
ด้วยวิธีการค่อยๆ สะสมความมหัศจรรย์เล็กๆ น้อยๆ นี้ ได้ผลักดันให้วิชาเต๋านับอนันต์ของหลัวเลี่ยก้าวไปสู่ระดับทลายยุทธ์ ราวกับว่ามันพัฒนาไปด้วยตัวมันเอง และดูเหมือนว่าหลัวเลี่ยจะเป็เพียงผู้แนะนำ แต่เคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์กลับพัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างอิสระราวกับมีชีวิต สิ่งนี้ทำให้หลัวเลี่ยรู้สึกมหัศจรรย์อย่างอธิบายออกมาไม่ได้
ในขณะที่เขากำลังสร้างระดับทลายยุทธ์ในเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์ จู่ๆ ก็มีคนเข้ามา
คนที่มาคือชางจื่อเฟิงและพรรคพวก
เมื่อพวกเขามาถึง กลุ่มหมีขนทองที่อยู่ในกลุ่มเยาวชนเทียนคงก็ลดขนาดของขบวนลงอย่างรวดเร็ว พวกมันปิดกั้น้าของยอดเขาัทมิฬ เพื่อป้องกันไม่ให้หลัวเลี่ยหลบหนี
ความเงียบได้ถูกทำลายลงแล้ว
“ช่างเป็โอกาสที่ดีอะไรเช่นนี้!”
ทันทีที่ชางจื่อเฟิงเดินเข้ามา เขาก็สนใจภาพบนยอดเขาัทมิฬทันที และเมื่อเขาเห็นว่าเป็หลัวเลี่ยอย่างชัดเจน หัวใจที่อิจฉาของเขาก็พองโตขึ้นทันทีเช่นกัน
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหุบเขาสุสานั ชางจื่อเฟิงก็รู้ว่าต้องมีบางสิ่งที่มหัศจรรย์ และเขาคิดว่ามันคงเกี่ยวข้องกับหลัวเลี่ย แต่เมื่อเขาเห็นว่าหลัวเลี่ยเป็คนเดียวที่ได้ เขาก็อิจฉาจนแทบจะร้องขอความยุติธรรมจาก์
ต้วนเหยียนเจี๋ยเองก็พูดว่า “เ้าช่างโชคดี”
เยาวชนหลายร้อยคนที่อยู่ด้านหลังของทั้งสองคนก็ไม่สามารถปกปิดความอิจฉาริษยาที่รุนแรงของพวกเขาได้ พวกเขากระจายตัวกันออกมา และตั้งใจที่จะพุ่งไปข้างหน้าเพราะอยากสังหารหลัวเลี่ย
ในเื่นี้ ทั้งหยางเสี้ยวเสียและคนอื่นๆ หรือกระทั่งเผ่าัที่ได้สติแล้วก็ไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อหยุดพวกเขา
พลังการปิดกั้นที่มองไม่เห็นไม่เพียงแค่ปิดกั้นพวกเขาเท่านั้น
ชางจื่อเฟิงตะคอก "ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น"
ทันใดนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ะโขึ้นไปในอากาศ มีลมแรงพัดเข้ามาโอบรอบตัวเขา จากนั้นเขาก็ถูกพัดขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับพายุ
ตูม!
มีพลังที่มองไม่เห็นปิดกั้นไว้ ชายหนุ่มกรีดร้องและล้มลงไปกับพื้นหลังจากได้รับแรงกระแทก
หยางเสี้ยวเสียและคนอื่นๆ หัวเราะออกมาเมื่อเห็นสิ่งนี้
"บ้าเอ๊ย!"
“พลังที่ลึกลับบนูเาัทมิฬนี้ถูกค้นพบโดยหลัวเลี่ย และเขาก็เป็คนเดียวที่สามารถขึ้นไปบนยอดเขาได้ คนอื่นๆ อย่าได้หวังเลย”
หลายคนหัวเราะเยาะเย้ย
ใบหน้าของชางจื่อเฟิงและคนอื่นๆ คล้ำลงทันที ดวงตาพวกเขาจ้องมองทุกคนอย่างเ็า พลังอันทรงพลังที่ปล่อยออกมาทำให้บางคนที่หัวเราะเงียบลงไปโดยไม่รู้ตัว และถอยหนีด้วยความกลัว
“ถ้าโจมตีหลัวเลี่ยไม่ได้ เช่นนั้นก็จัดการผู้หญิงของเขาก่อน” ชางจื่อเฟิงยกยิ้มชั่วร้าย “หลัวเลี่ยเป็ที่รู้จักในฐานะวีรบุรุษไม่ใช่หรือ เช่นนั้นข้าก็จะคอยดูว่าถ้าผู้หญิงของเขาถูกจับไปแล้ว เขาจะหนีไปตัวคนเดียวหรือไม่”
พรึ่บ!
ทุกสายตาจับจ้องไปที่เสวี่ยปิงหนิง
ต้วนเหยียนเจี๋ยเองก็โบกมือพร้อมยิ้มอย่างน่ากลัว
เยาวชนมากกว่าสิบคนที่สวมชุดสีดำและถือกระบี่ยาวสีดำก้าวออกมาจากฝูงชน ลมหายใจของพวกเขานิ่งสงบ และการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็ว่องไวและเรียบนิ่ง ราวกับมีดแหลมคมหลายสิบเล่มที่มุ่งหน้าตรงไปยังเสวี่ยปิงหนิง
นี่คือองครักษ์ชุดดำของต้วนเหยียนเจี๋ย
“ไสหัวกลับไปซะ!”
เสียงที่เ็าดังขึ้น
หยางเสี้ยวเสียยืนอยู่ข้างหน้าขวางทางองครักษ์ชุดดำจำนวนสิบห้าคน
ขณะที่เขาลงมือ หวงอวี้จากแคว้นปิงเฟิงก็ขมวดคิ้ว เขามองไปที่ต้วนเหยียนเจี๋ย ในขณะเดียวกันมือของเขาก็กำกระบี่แน่นขึ้น ในฐานะสมาชิกที่ไม่มีตัวตนของพันธมิตรทั้งแปดร้อยแคว้น ปกติแล้วเขาทำได้เพียงมองดูต้วนเหยียนเจี๋ยโดยไม่กล้าต่อต้านเท่านั้น
“หยางเสี้ยวเสียเ้าอย่ามาสอด” ชางจื่อเฟิงะโด้วยความโกรธ
หยางเสี้ยวเสียพูดอย่างเฉยเมยว่า “ข้าเป็ผู้ฝึกยุทธ์ และผู้ฝึกยุทธ์ก็มีศักดิ์ศรีของผู้ฝึกยุทธ์ หากเ้าเป็ผู้ชายก็ไปสู้กับหลัวเลี่ยเสีย การรังแกผู้หญิงไม่ใช่สิ่งที่เ้าควรทำ”
ชางจื่อเฟิงเยาะเย้ย “ก็แค่คนโง่เง่าอีกคนที่หลงในการกระทำที่กล้าหาญของหลัวเลี่ย เ้าคิดว่าเ้าคนเดียวจะหยุดพวกเราได้หรือ”
แน่นอนว่าเยาวชนมากฝีมือจำนวนหลายร้อยคนนั้นทรงพลังมาก
ลำพังหยางเสี้ยวเสียเพียงคนเดียวไม่สามารถต้านทานได้
“สู้ไม่ได้ก็สู้ไม่ได้สิ แต่อย่างไรข้าก็จะสู้” หยางเสี้ยวเสียพูดอย่างใจเย็น “แม้ว่าจะมีแค่ข้าคนเดียวก็ตาม”
“ไม่ เ้าไม่ได้อยู่คนเดียว มีข้าอยู่ด้วย”
ในที่สุดหวงอวี้ก็กดความกลัวของเขาเอาไว้ได้ เขาก้าวข้ามความกลัวนั้น แล้วเดินมายืนเคียงข้างหยางเสี้ยวเสีย
รอยยิ้มของชางจื่อเฟิงแปรเปลี่ยนเป็เ็า
ต้วนเหยียนเจี๋ยหรี่ตาลง เขาปล่อยไอสังหารออกมาอย่างรุนแรง พวกเขาไม่กล้าฆ่าหยางเสี้ยวเสีย แต่พวกเขากล้าที่จะฆ่าหวงอวี้
“ยังมีข้า!”
“เพิ่มข้าเข้าไปด้วย”
“มนุษย์นั้นช้าเร็วก็ต้องตาย ข้าเต็มใจที่จะตายเพื่อท่านอ๋องเซี่ยหลัวเลี่ย”
“ข้าก็อยากร่วมสนุกด้วย”
ทันใดนั้นผู้คนที่หวาดกลัวชางจื่อเฟิงและต้วนเหยียนเจี๋ยก็ทยอยเดินออกมาทีละคน
ในที่สุดแม้แต่ัที่ได้สติขึ้นมาก็ยังเริ่มที่จะก้าวไปข้างหน้า และล้อมชางจื่อเฟิงรวมทั้งเยาวชนหลายร้อยคน นอกจากนี้ัตัวอื่นๆ ก็ยังบินไปสกัดกั้นกลุ่มหมีบินสีทองบนท้องฟ้าอีกด้วย
“ถุย!”
ชางจื่อเฟิงถ่มน้ำลายออกมาอย่างโกรธเคือง “การกระทำที่กล้าหาญอันไร้สาระพวกนั้นกลับทำให้คนโง่จำนวนมากเต็มใจที่จะตายหรือ” ทันใดนั้นเขาก็คำรามด้วยความโกรธ “พวกเ้าคิดว่าหลัวเลี่ยจะสามารถให้อะไรพวกเ้าได้บ้าง อำนาจ? ความมั่งคั่ง? สาวงาม? ความแข็งแกร่ง? เคล็ดวิชา? หรืออาวุธ? เขาให้อะไรพวกเ้าไม่ได้เลย”
หยางเสี้ยวเสียพูดอย่างใจเย็นว่า “ในสมัยโบราณมีคนที่ไล่ตามดวงอาทิตย์เพื่อแสงสว่างเดียว ซึ่งช่างน่าเศร้าและไร้สาระ แต่มาวันนี้มีวีรบุรุษที่ปลุกความคิดอันบริสุทธิ์ของข้า ข้าอาจตายในสนามรบ แต่สิ่งที่ชีวิตและจิตใจของข้า้าคือการให้มากกว่ารับ”