ท้องฟ้าที่พระเ้าสรรค์สร้าง เช้าวันรุ่งขึ้น
รุ่งอรุณ ครอบครัวตระกูลซูตื่นนอนแล้ว ล้างหน้า แปรงฟัน ต้มบะหมี่เมื่อสุกก็รับประทานทันที ในเวลานี้ท้องฟ้าเริ่มสว่าง เสียงรถดังมาจากหน้าประตูลานบ้าน
เพื่อที่จะไปรับซูอินในวันนี้ ภาวะเศรษฐกิจของครอบครัวที่ไม่ดีมากนัก สองสามีภรรยาตระกูลซูจึงเลือกจ้างรถหนึ่งคัน
ต่อให้ลำบากก็ไม่ควรทำให้บุตรของตนต้องลำบาก โดยเฉพาะบุตรสาวที่ติดค้างกันมาหลายปี
“อันอัน เข้าไปในเมืองด้วยกันไหมลูก”
เด็กชายร่างผอมบางกำลังนั่งกินบะหมี่อยู่บนม้านั่งสี่เหลี่ยมของตนเอง ในถ้วยเหลือเพียงไข่ไก่หนึ่งฟอง เขาไม่เหมือนกับเด็กในเมืองที่ผู้ปกครองต้องใช้วิธีเกลี้ยกล่อมมากมาย แต่ก็ไม่ยอมกินข้าว เด็กชายตัวเล็กนั่งอยู่คนเดียวตรงนั้น ในมือถือตะเกียบด้วยความชำนาญ รับประทานอาหารกลิ่นหอมกรุ่น
เมื่อก่อนไข่ลวกที่ใส่ในบะหมี่มักจะเป็ของพี่สาว แบ่งให้เขาเพียงเล็กน้อย
ไม่ใช่เื่ง่ายที่พี่สาวของเขาจะไปจากที่นี่ และถึงคิวของเขาที่ได้กินไข่ลวก คงไม่ต้องพูดเลยว่าซูอันตัวน้อยจะพอใจมากเพียงใด
เขากำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อได้ยินประโยคนี้ คิ้วที่เลิกขึ้นก็ขมวดเข้าหากันทันที
มีพี่สาวคนใหม่มาอีกแล้ว…
“ไม่อยากไป!”
เสียงนุ่มของเด็กน้อยเอ่ยปฏิเสธอย่างหนักแน่น แววตาแฝงความหวาดกลัว
เมิ่งเถียนเฟินสังเกตเห็นแววตาของบุตรชาย แต่ไม่เก็บไปใส่ใจ ั้แ่เกิดมาอันอันเป็เด็กร่างกายอ่อนแอและป่วยบ่อย ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยครั้ง หลายปีก่อนมีคนในหมู่บ้านซื้อรถตู้วิ่งจากหมู่บ้านเข้าไปในเมือง เปิดเป็ธุรกิจรถรับจ้างโดยเฉพาะ ข้อดีของรถคันนี้คือสามารถขนส่งคนไปถึงที่หมาย ข้อเสียคือราคาแพงกว่านั่งรถบัสราวๆ หนึ่งถึงสองหยวน ผู้ใหญ่จึงไม่นั่ง แต่เด็กๆ อดทนไม่ไหว เมื่อลูกป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลในเมือง เธอจึงมักจะเรียกรถมารับที่หน้าประตูบ้าน
“ไม่ได้พาลูกไปฉีดยา แต่ไปรับพี่สาวกลับบ้าน”
ซูอันตื่นตระหนกจนกินต่อไม่ไหว ศีรษะเล็กๆ สั่นเหมือนกลองป๋องแป๋ง ปากเล็กๆ เลอะคราบไข่แดง
“ไม่เอา ไม่อยากไป"
เด็กคนนี้ คงกลัวการฉีดยาจริงๆ สินะ
เมื่อเห็นเขาปฏิเสธ เมิ่งเถียนเฟินจึงไม่รบเร้า เก็บถ้วยและตะเกียบก่อนนำตัวบุตรชายไปฝากพี่สะใภ้ให้ช่วยดูแล หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ขึ้นรถไปพร้อมกับซูเจี้ยนจวิน
ซูอันที่มาอยู่บ้านของคุณลุงรู้สึกสบายใจขึ้น ใน่ฤดูทำนาที่วุ่นวาย ซูเจี้ยนกั๋วและหลิวจินเซียงสองสามีภรรยาไปทำงานที่ทุ่งนา บุตรชายคนโตที่กำลังจะขึ้นชั้นมัธยมปลายอยู่ที่โรงเรียนเพื่อทบทวนบทเรียนระหว่างปิดเทอมฤดูร้อน ในบ้านจึงเหลือเพียงซูเล่อและซูอันลูกพี่ลูกน้องสองคน
ความสัมพันธ์ระหว่างลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนค่อนข้างดี ซูอันมุ่ยปากเล็กๆ ก่อนจะถามเสียงเบาด้วยความกังวลใจ
“พี่สาวคนนั้นจะนิสัยไม่ดีหรือเปล่า”
ั้แ่มีโทรศัพท์โทรเข้ามาที่บ้าน ซูเล่อได้ยินมารดาของตนเองหลิวจินเซียงเอ่ยชมซูอินบ่อยครั้ง เธอได้ยินคำพูดชื่นชมกรอกหูทุกวัน ทำให้ในใจรู้สึกเอียนและอิจฉา เป็เพราะคำพูดที่เคยฟังจากหลิงเมิ่งทำให้เธอไม่ประทับใจลูกพี่ลูกน้องคนนี้อยู่แล้ว ตอนนี้เธอยิ่งรู้สึกรังเกียจมากขึ้นอีก
เมื่อซูอันถามเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าให้ซูเล่อเปิดบทสนทนา
เมื่อฟังมาถึงตอนสุดท้าย ซูอันที่ชอบเล่นเ้ากบไขลานก็แทบจะไม่สนใจเล่นต่อ เขานั่งอยู่บนม้านั่งด้วยท่าทีน่าสงสาร
คนอื่นๆ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาสองคนคุยอะไรกัน หลังจากขึ้นรถตู้ สองสามีภรรยาตระกูลซูก็เดินทางไปยังโรงแรมที่ซูอินให้ที่อยู่ไว้
ในโรงแรม ซูอินที่เข้านอนั้แ่หัวค่ำตื่นแต่เช้าเช่นกัน
เธอหลับสนิทตลอดคืน ทำให้ตื่นมาพร้อมกับจิติญญาที่เต็มเปี่ยม แม้แต่ความรู้สึกหวาดระแวงที่จะได้ใกล้ชิดญาติพี่น้องก็หายไปเกือบหมด
จะได้กลับบ้านแล้ว!
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ซูอินตื่นเต้น ในใจรู้สึกเหมือนป๊อปคอร์นที่กำลังแตกดัง “ปุ้ง” จากนั้นรสชาติหวานและกลิ่นหอมกรุ่นก็ค่อยๆ โชยออกมา
ส่วนคนในครอบครัวจะชอบเธอหรือไม่นั้น เมื่อวานเธอยังรู้สึกระแวง แต่ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว ตนเองไม่ได้หน้าตาขี้เหร่สักหน่อย พบหน้ากันสองสามครั้งแล้ว ตอนโทรศัพท์ไปก็รักษาท่าทีมีมารยาท อีกทั้งยังซื้อของขวัญให้พวกเขาด้วย
เธอทำถึงขนาดนี้ หากยังมีคนเกลียด แสดงว่าปัญหาไม่ได้มาจากเธอแล้ว
ไม่จำเป็ต้องทำลายความรู้สึกดีๆ ของตนเองเพราะคนอื่น
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ซูอินจึงอารมณ์ดีขึ้นเป็เท่าตัว เธอลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะลงไปออกกำลังกายยามเช้าเช่นทุกวัน
ถึงแม้เธอจะตื่นนอนเร็วกว่าปกติ แต่เมื่อลงมาด้านล่างก็เห็นหลินเฉวียนตื่นแล้วเช่นกัน
“คุณอาหลิน อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
ท่ามกลางแสงสลัวยามเช้า เธอเอ่ยทักทายชายหน้าบากพร้อมเดินลงบันไดไปก่อนจะยืนอยู่ข้างสวนดอกไม้เพื่อวอร์ม
หลินเฉวียนตามมาด้วย เขาสวมกางเกงลายพรางเหมือนทุกที อันที่จริงเวลานี้ต่างหากที่เป็่เวลาออกกำลังกายจริงๆ ของเขา ก่อนหน้านี้เขาเลือกที่จะมาออกกำลังกายช้ากว่าปกติเล็กน้อยเพราะรอเด็กสาว
“วันนี้กลับบ้านแล้วหรือ”
“ใช่ค่ะ” ซูอินยิ้ม ใบหน้าของเธอเต็มอิ่ม “เมื่อวานไปรับเงินรางวัล ได้ยินพนักงานพูดว่ามีคนคนหนึ่งซื้อทีมเยอรมันเหมือนกัน ใช่คุณหรือเปล่าคะ”
หลินเฉวียนไม่ปฏิเสธ “ครั้งนี้ต้องขอบคุณเธอด้วย”
เป็เขาจริงๆ สินะ ใบหน้าของซูอินเผยรอยยิ้มกว้างขึ้น
แต่เธอก็ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม และใช้โอกาสนี้พูดเื่อื่น “ใช่แล้ว คุณอาหลินคะ เดี๋ยวฉันต้องกลับไปอยู่บ้าน ที่นู่นอยู่ในชนบท เข้าเมืองคงไม่สะดวก เื่บ้านฝากคุณช่วยเป็ธุระให้ฉันได้ไหมคะ”
“ที่ชุมชนเล็กๆ นั่นน่ะหรือ”
“ค่ะ ชุมชนเล็กๆ นั่นอยู่ใกล้กับการดูแลของรัฐบาล ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องได้รับการพัฒนาอย่างแน่นอน อีกทั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน หากมีบ้านที่นั่น ตอนเข้าเรียนมัธยมปลายก็จะเดินทางสะดวกขึ้น”
หลินเฉวียนยังสงสัยเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เด็กสาวมีเงินเพียงน้อยนิดในมือ คงไม่สามารถซื้อบ้านที่อยู่บนพื้นที่พัฒนา ทำได้แค่ซื้อบ้านเก่า สิ่งนั้นพอจะเข้าใจได้ แต่ตอนนี้เด็กสาวมีเงินหลายแสนหยวน อย่าว่าแต่ซื้อบ้านบนที่ดินที่พัฒนาแล้ว ต่อให้เป็คฤหาสน์ก็ใช่ว่าจะซื้อไม่ได้
ทำไมต้องซื้อบ้านผุๆ พังๆ นั่นด้วย
แต่เมื่อได้ยินเธอเอ่ยคำว่า “พัฒนา” หลินเฉวียนก็เข้าใจทันที
ถึงแม้ว่าพื้นที่ในเมืองผิงจะยังไม่ได้ถูกรื้อถอนเพื่อสร้างใหม่ แต่เพื่อนร่วมรบของเขาถูกส่งไปทั่วทุกพื้นที่ในประเทศ แถมบางคนยังได้อยู่ในพื้นที่เมืองใหญ่ระดับต้นๆ ที่นั่นเริ่มมีการรื้อถอนั้แ่สองปีก่อน บ้านของเพื่อนร่วมรบบางคนที่เป็สไตล์ปักกิ่งโบราณถูกเปลี่ยนเป็อาคารใหม่และสวยงาม
เมืองผิงก็คงถูกรื้อถอนในไม่ช้านี้เหมือนกัน…
เขาเข้าใจในจุดนี้ก็เพราะข่าวที่ได้รู้จากเพื่อน แต่ทำไมเด็กสาวคนนี้ถึงคิดมาถึงขั้นนี้ได้
หลินเฉวียนนึกไปถึงตระกูลหลิงทำให้เขาพอจะเข้าใจ
วิชาของครอบครัวที่สืบทอดกันมาจากครอบครัว
แต่ครู่ต่อมาเขาก็ปฏิเสธความคิดนั้น หลังจากความผิดพลาดครั้งแรก เขาได้ตรวจสอบข้อมูลของตระกูลหลิงอย่างละเอียดอีกครั้ง ในนั้นมีบันทึกชีวิตของเด็กสาวคนนี้อย่างละเอียด
สองสามีภรรยาตระกูลหลิงไม่เคยใส่ใจเธอสักนิด หลักๆ แล้วส่งเธอไปให้คุณย่าที่อยู่ในชนบทเป็ผู้ดูแล บิดามารดาเช่นนี้แม้สอนการบ้านยังไม่เคย แล้วจะสอนให้บุตรสาวลงทุนธุรกิจได้อย่างไร
เมื่อนึกถึงคะแนนที่สาวน้อยคนนี้ทำได้ดีมาั้แ่ยังเด็ก…
นั่นน่าจะมาจากพร์ความฉลาดของเธอเสียมากกว่า
และในเสี้ยวเวลานั้นจู่ๆ ในหัวของหลินเฉวียนก็เกิดความคิดมากมาย ก่อนจะไปจบที่ความคิดหนึ่ง
หรือว่าฉันจะซื้อด้วยสักหนึ่งหลัง
เมื่อนึกถึงเงินหลายแสนที่เพิ่งได้จากการซื้อลอตเตอรี่ฟุตบอล เขาก็ตัดสินใจอย่างมุ่งมั่น ซื้อ!
“ได้สิ ฉันก็ว่าจะซื้อสักหลัง จะได้ไปดูด้วยเลย”
เื่นี้ได้ตกลงกันเป็ที่เรียบร้อย ต่อไปจึงเป็การออกกำลังกายยามเช้า พวกเขาหารือกันเื่ซื้อบ้านเก่าเป็หลัก แน่นอนว่าซูอินไม่มีทางปล่อยบ้านของซุนเจี้ยนให้หลุดมือ เมื่อเื่ของพวกเขาถูกเปิดเผย ซุนลี่เหมยก็คงไม่สามารถอาศัยอยู่ที่นั่นต่อ ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องขายบ้านแน่นอน
พวกเขาพูดคุยกันอย่างมีความสุขจนออกกำลังกายยามเช้าเสร็จ ยังไม่ทันที่ซูอินจะเดินมาถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงรถดังมาจากหน้าโรงแรม
รถตู้คันหนึ่งจอดอยู่ที่นั่น ก่อนที่สองสามีภรรยาตระกูลซูจะเดินลงมา
มาเช้าขนาดนี้เลยหรือ ริมฝีปากของซูอินเผยรอยยิ้ม ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปต้อนรับ เธอก็เห็นรถคันหนึ่งมาจอดอยู่ด้านหลัง คนที่ลงจากรถเป็คนที่เธอคาดไม่ถึง
