เมื่อกลับมาถึงบริเวณคฤหาสน์ เสิ่นิก็ะโลงจากรถโดยที่ยังจอดไม่สนิท เขารีบเปิดประตูบ้านอย่างร้อนรน หมายที่จะตามหาเมิ่งฉี แต่ในห้องนั่งเล่นนั้นกลับมืดสนิท มีเพียงอู๋เหนิงเท่านั้นที่นั่งจิบไวน์อยู่บนโซฟาเพียงลำพัง
“ผมจำได้ว่าคุณบอกว่าตัวเองเป็บอดี้การ์ดมืออาชีพ แต่คุณกลับปล่อยให้นายจ้างอยู่คนเดียว แบบนี้เรียกมืออาชีพเหรอ” อู๋เหนิงหมุนวนแก้วไวน์ในมือ
“ขอโทษครับมันจะไม่เกิดขึ้นอีก เมิ่งฉีอยู่ที่ไหน” เสิ่นิไม่เถียง มันเป็ความผิดของเขาเอง
“ยังจะมีครั้งหน้าอีกเหรอ คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณก่อเื่ไว้แค่ไหน เหลียงจวินดังมากในฮ่องกง บริษัทโมเดลลิงที่เขาสังกัดอยู่ก็เป็พวกมีอิทธิพล ผู้กำกับท่านหนึ่งเคยดุเขาในกองถ่าย พอกลับถึงบ้านขาเขาก็หักแล้ว”
“ผมไม่ได้คาดหวังว่าคุณจะเป็ประโยชน์ต่อเมิ่งฉี แต่อย่างน้อยก็อย่าเป็โทษให้กับเธอเลย” อู๋เหนิงกระดกไวน์จนหมดแก้ว
“คุณจัดการเรียบร้อยแล้วเหรอ” เสิ่นิเข้าใจดี อู๋เหนิงไม่ใช่คนประเภทชอบโทษหรือเอาผิดใคร เขามักจะจัดการทุกอย่างเหมือนกับคลื่นใต้น้ำ
“ตอนที่เมิ่งฉีถูกเหลียงจวินรังแก ผมได้รวบรวมข้อมูลด้านมืดของเหลียงจวินเอาไว้แล้ว คราวนี้คุณทำให้เขาผวากลัวจริงๆ แต่ถึงมีข้อมูลสกปรกพวกนั้นอยู่ เขาก็ไม่กล้าพูดเื่ที่เกิดขึ้นวันนี้ออกไปหรอก” อู๋เหนิงถอนหายใจเบาๆ
“ขอบคุณครับ ผมเป็หนี้คุณครั้งหนึ่ง มีโอกาสจะต้องชดใช้ให้แน่” เสิ่นิยังคงถามต่อ “เมิ่งฉีอยู่ที่ไหน”
“ชายหาด” อู๋เหนิงพูดยังไม่ทันจบ เสิ่นิก็พุ่งตัวออกไปที่ประตูหลังบ้านแล้ว
เมิ่งฉีนั่งกอดเข่าอยู่บนชายหาด คลื่นสูงซัดถึงนิ้วเท้าของเธอ แต่เธอก็ไม่ขยับหนี ลมทะเลคืนนี้เย็นมาก ท้องฟ้ามีเมฆปกคลุม มืดมิดจนมองไม่เห็นหมู่ดาว
“วันนี้คุณเหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ” เสิ่นิถอดสูทบนตัวออกแล้วคลุมมันลงไปบนไหล่ของเมิ่งฉี
“ไปซะ! ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ! ผู้ชายมันก็เป็สัตว์นรกเหมือนกันหมดนั่นแหละ!” เมิ่งฉีโยนสูทลงไปบนคลื่นตรงหน้าเหมือนกับขยะ ให้น้ำซัดพามันไปยังที่ไกลๆ
“ผมไม่ใช่” เสิ่นิทอดสายตามองไปยังสูทที่ลอยไกลออกไปพลางพูดเบาๆ
“คุณไม่ใช่ผู้ชายหรือว่าคุณไม่ใช่สัตว์นรกล่ะ?!” เมิ่งฉีเหมือนเขื่อนที่กำลังจะพังทลาย เสิ่นิยังจะมาจับผิดเธอ ความโกรธ ความเ็ป ความสิ้นหวัง อารมณ์ลบๆ ทั้งหมดนั่นกลายเป็คำสบถใส่เขาไป
“พวกคุณรู้หรือเปล่าว่าอะไรคือความรัก ในสมองมีแต่ความคิดชั่วร้ายเข้าครอบงำ ชอบหาคำโกหกมาล่อลวงสาวเพื่อที่จะได้หลับนอนด้วยสัญญาอะไรก็ได้หมด อะไรคือ ‘ผมหย่าแล้ว’ อะไรคือ ‘ผมรักคุณคนเดียว’ อะไรคือ ‘นอกจากคุณแล้วผมคงรักใครไม่ได้อีก’ อะไรคือ ‘ผมยอมตายแทนคุณได้’ หลอกลวงทั้งเพ!” เมิ่งฉีร้องไห้พลางดึงสร้อยข้อมือเส้นโตโยนทิ้งไป เธอซบลงบนหน้าอกของเสิ่นิ เผยให้เห็นรอยแผลเป็อันน่ากลัวบนข้อมือ
“เห็นๆ อยู่ว่าฉันเป็คนที่ถูกทำร้าย แล้วทำไมถึงยังด่าว่าฉันเป็เมียน้อย เห็นๆ อยู่ว่าเขาโกหกตอแหล แต่คนทั้งโลกก็ยังมองว่าฉันเป็คนบาป
เห็นๆ อยู่ว่าเป็ความผิดของพวกผู้ชายอย่างคุณ ผู้หญิงอย่างเราสมควรที่จะต้องก้มหน้ารับกรรมต่อไปอย่างนั้นเหรอ
ฉันเคยคิดว่าก่อนตายจะต้องล้างมลทินให้ได้ แต่ไอ้วงการบันเทิงบ้าบอนี่มีผู้บริสุทธิ์ที่ไหนกัน มีแต่ค่านิยมที่ผิดเพี้ยน ต้องหน้าด้านหน้าทนกับเื่น่าอายเท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จได้” เมิ่งฉีร้องไห้ราวกับว่าจะสะสมน้ำตาไว้สร้างมหาสมุทร “ดังนั้นพวกคุณจึงเป็สัตว์นรกด้วยกันทั้งนั้นแหละ พออยากเื่อย่างว่า ก็พูดอะไรออกมาพล่อยๆ นี่แหละสัตว์นรก! สัตว์นรกทั้งนั้น...!”
เมิ่งฉีพูดต่อไปไม่ไหวแล้ว ผู้ชายที่เคยแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า ที่เคยแน่เหมือนกับไม้หน้าสาม พอโน้มกายไปด้านหน้ากลับกลายเป็ความอบอุ่นดุจเช่นแสงดวงตะวัน มือทั้งสองเกาะกุมไหล่ของเมิ่งฉีซึ่งกำลังสั่นเทา เขาบรรจงจูบลงบนริมฝีปากบางของเมิ่งฉี
เมิ่งฉีเคยพบผู้ชายหยาบคายไร้มารยาทแบบนี้เมื่อไรกัน ผู้ชายคนนี้ลัดขั้นตอนการหยอดคำหวาน การเอาอกเอาใจไปหมดจนสิ้น เขาช่างตรงไปตรงมา คิดจะจูบก็จูบเลย
ที่น่าแปลกก็คือ ทำไมเธอถึงไม่หลบ เพราะพละกำลังเขามหาศาลอย่างนั้นหรือ หรือเพราะจูบของเขาช่างอ่อนโยน เหมือนกับน้ำผึ้งที่ละลายอยู่กลางใจ สามารถระงับความเ็ปไปได้ชั่วขณะ
“สัตว์นรกจะจูบคุณอย่างนี้เหรอ” ในที่สุดผู้หญิงตรงหน้าก็สงบลง เสิ่นิจึงยืดตัวขึ้นอีกครั้ง
“จูบฉันทำไม” เมิ่งฉีคลำริมฝีปากตัวเอง คราบน้ำตายังคงอยู่ แต่ใบหน้ากลับแดงระเรื่อ
“เพราะว่าคุณ้ามัน ความรู้สึกที่อัดอั้นที่ถูกระบายออกมานั้น หากจัดการกับมันไม่ได้อาจจะทำให้คุณเป็โรคซึมเศร้าได้ แล้วมันก็จะกระทบกับหน้าที่การงานของผม” เมื่อเสิ่นิพูดจบ เมิ่งฉีก็ตบหน้าเขาไปหนึ่งฉาด
“เปรต! คุณไม่คู่ควรกับสัตว์นรกด้วยซ้ำ ยังไงผู้ชายคนอื่นก็ยังหาคำหวานมาเพื่อหลอกล่อ แต่คุณไม่แม้แต่จะออกแรงหลอกล่อด้วยซ้ำ!” ความโกรธของเมิ่งฉีที่เพิ่งจะสงบลงกลับพุ่งทะยานขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับพุ่งเป้าไปที่เสิ่นิ แต่ระดับความรุนแรงก็ไม่ถึงกับพังทลายเช่นก่อนหน้านี้
“ผมไม่มีวันหลอกคุณ เมื่อคุณอยากระบาย ผมจะเป็กระสอบทรายให้คุณ เมื่อคุณหิว ผมจะเป็ซาลาเปาให้คุณ เมื่อคุณอยากเที่ยว ผมจะเป็กระเป๋าเดินทางให้คุณ เมื่อคุณตกอยู่ในอันตราย ผมถึงจะเป็บอดี้การ์ดให้คุณ
ผมไม่จำเป็ต้องสนใจความชอบของคุณ เพราะผมรู้ดีกว่าคุณว่าคุณ้าอะไร
อยากร้องก็ร้องในอ้อมกอดผมนี่แหละ ตอนที่คุณอ่อนแอที่สุด คุณจะได้ไม่ต้องเป็ห่วงว่าโลกนี้จะทำร้ายคุณ เพราะคุณมีผม บอดี้การ์ดฟูลไทม์ของคุณ” เสิ่นิพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและสีหน้าที่แน่นิ่ง คำบอกรักหวานซึ้งกินใจคนฟังดูคล้ายกับคำปฏิญาณตนในการปฏิบัติหน้าที่ แต่ทำไมถึงสามารถทำให้เมิ่งฉีอ่อนระทวยทิ้งตัวลงในอ้อมแขนของเสิ่นิได้ล่ะ
“ทำไมคุณถึงน่าเบื่อ น่ารำคาญอย่างนี้ แต่ก็หนีไม่พ้น…” เมิ่งฉีฝังหน้าตัวเองลงบนอกของเสิ่นิ เป็ครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่ามีผู้ชายที่ไว้ใจได้...
เมิ่งฉีเหนื่อยมาก เธอซบอยู่บนอกของเสิ่นิและร้องไห้กระทั่งผล็อยหลับไป ท้ายที่สุดเสิ่นิก็อุ้มเธอกลับไปยังคฤหาสน์และวางเธอลงบนเตียงเ้าหญิงอันแสนนุ่ม
วันรุ่งขึ้น ในขณะที่เมิ่งฉีตื่นขึ้นมาจากฝัน สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือแสงแดดจ้าที่นอกหน้าต่าง ที่หัวเตียงมีนมแก้วหนึ่งตั้งอยู่พร้อมกระดาษโน้ต บนนั้นเขียนว่า “ดื่มสิ เผื่อจะสูงขึ้นบ้าง”
“ตาบอดี้การ์ดบ๊องนี่ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ” เมฆครึ้มที่เกิดขึ้นในใจเมื่อคืนได้จางหายไป หญิงสาวตัวน้อยอมยิ้มแล้วดื่มนมจนหมดแก้ว
วันนี้เป็วันที่สามแล้วที่เสิ่นิคอยติดตามเมิ่งฉี และเป็ก็วันที่อู๋เหนิงทนไม่ไหว เขาสั่งเมิ่งฉีั้แ่เช้าตรู่ว่าให้ปฏิเสธทุกการสัมภาษณ์ในวันนี้ เธอจะต้องซ้อมเต้นและอัดเพลงอย่างเดียวเท่านั้น และนั่นก็คือการตัดสินใจเด็ดขาดในเื่เพลงสุดท้าย
เพื่อเมิ่งฉี อู๋เหนิงได้เชิญนักแต่งเพลงที่เลื่องชื่อที่สุดในประเทศมาเป็การพิเศษ เขาตัดสินใจว่าจะไม่นอนและจะต้องอัดเพลงในห้องอัดให้เสร็จจงได้
และเพื่อป้องกันการรั่วไหลของเพลง แม้แต่คนขับรถ อู๋เหนิงก็ไม่อนุญาตให้มา เซี่ยวอี๋จึงต้องกลายมาเป็คนขับไปโดยปริยาย เสิ่นิยังคงคุ้นชินกับการนั่งที่นั่งผู้โดยสารด้านข้าง
“เฮ้ คราวหน้าใส่น้ำตาลในนมด้วยนะ จืดขนาดนั้นดื่มเข้าไปได้ยังไง” เมิ่งฉีซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลังของเสิ่นิจงใจหาเื่
“จะจำไว้” เสิ่นิอมยิ้มและตอบ
“ไปกันเถอะ” เซี่ยวอี๋ติดเครื่องก่อนจะขับไปยังจุดหมายปลายทาง
ระหว่างทาง ทุกคนต่างยุ่ง อู๋เหนิงเอาแต่โทรหาสปอนเซอร์เพื่อยืนยันกิจกรรมในภายหลัง ส่วนเซี่ยวอี๋เองก็ไม่เคยขับรถใหญ่ขนาดนี้มาก่อน เธอจึงไม่มีเวลามาคิดฟุ้งซ่าน เสิ่นิก็เอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างรถโดยไม่พูดไม่จา ส่วนเมิ่งฉีนั้นก็อยู่กับสมุดโน้ตและดินสอ เธอฮัมเพลงที่เธอแต่งขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อนพลางจับจ้องไปที่ใบหน้าด้านข้างของเสิ่นิที่นั่งอยู่ด้านหน้า มือก็จรดเขียนเพลงใหม่ลงบนสมุดโน้ต
เธอไม่เคยรู้สึกว่าเนื้อเพลงแต่งง่ายขนาดนี้มาก่อน ราวกับว่าคำพูดเ่าั้มันอยู่ในใจเธออยู่แล้ว เธอก็แค่ถ่ายทอดมันออกมาให้เป็ตัวหนังสือก็เท่านั้น
และในขณะที่รถแล่นผ่านทางพิเศษเลียบชายฝั่ง จู่ๆ เสิ่นิก็พูดขึ้นมาว่า “เซี่ยวอี๋ ลดความเร็วให้เหลือ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงหน่อย”
“สมองนายมีปัญหาหรือเปล่า ทางพิเศษกำหนดให้ขับขั้นต่ำ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่อย่างนั้นจะถูกตัดคะแนน” เซี่ยวอี๋ไม่เข้าใจ
“เชื่อผม ลดความเร็ว” น้ำเสียงของเสิ่นิหนักแน่น เซี่ยวอี๋ไม่ได้ถามต่อ เธอค่อยๆ ชะลอความเร็วลง รถทางด้านหลังทยอยพากันขับแซงรถตู้เต่าั์คันนี้ไป และเมื่อแซงไปปาดข้างหน้า คนขับหลายคนต่างก็พากันชูนิ้วกลางให้เสิ่นิอย่างเป็มิตร คนไหนสนิทหน่อยก็ถึงขั้นถามหาแม่
เสิ่นหมิ่งทำเมินและมองลอดผ่านกระจกหลังไป
“เฮ้ นายจะให้ขับช้าลงทำไม เราต้องรีบไปให้ทันเวลานะ!” อู๋เหนิงวางสายและกล่าวด้วยความกังวล
“มีรถคันหนึ่ง...มันตามเรามาั้แ่เราออกจากซอยคฤหาสน์แล้ว” กระทั่งตอนที่เมิ่งฉีส่งสัญญาณให้เซี่ยวอี๋ชะลอความเร็ว รถคันนั้นก็ชะลอความเร็วตามไปด้วย ไม่มีทีท่าว่าจะขับแซง
ต้องทราบก่อนว่านั่นคือรถแท็กซี่ เวลาเป็เงินเป็ทองสำหรับเขา แต่เขากลับไม่ขับหลีกหรือแซงรถคันอื่นเลย ป้ายทะเบียนที่ติดอยู่ตรงด้านหน้าและด้านหลังก็มีแผ่นดิสก์บังตัวเลขสองตัวสุดท้ายเอาไว้อยู่ หากตำรวจจราจรตรวจพบละก็ การกระทำเช่นนี้คงถูกหัก 12 แต้มแน่ๆ
“เซี่ยวอี๋ รักษาความเร็วเอาไว้ก่อน พอผมให้สัญญาณค่อยเร่งนะ” เสิ่นิพูดพลางปีนข้ามไปยังเบาะที่นั่งท้ายสุดของรถ
“เสิ่นินายจะทำอะไรน่ะ” เมิ่งฉีตื่นเต้นแทนเขาอย่างบอกไม่ถูก
“ป้องกันอันตรายก่อนที่มันจะเกิดขึ้น วางใจได้ ไม่เกิดเื่หรอก” เสิ่นิจับคันโยกประตูหลังเอาไว้ ก่อนจะะโร้องว่า “เร่งความเร็ว!”
เซี่ยวอี๋เหยียบคันเร่งมิด รถตู้คันใหญ่วิ่งราวกับหมาป่า ความเร็วถูกเร่งจาก 30 เป็ 50 และแท็กซี่ปริศนาคันนั้นก็เร่งความเร็วด้วยเช่นกัน
แต่จู่ๆ เสิ่นิก็เปิดประตูด้านหลังออกและกระโจนลงไปจากรถตู้ เขากระโจนลงไปเกาะฝากระโปรงรถแท็กซี่คันนั้นเหมือนกับซูเปอร์แมน ฝากระโปรงเหล็กยุบตัวลง หัวรถลากไปกับพื้น ท้องรถขูดไปกับผิวถนนจนเกิดประกายไฟ ล้อหลังแทบจะยกลอยจากพื้น
รถที่ขับผ่านไปผ่านมาคิดว่าพวกเขากำลังถ่ายทำภาพยนตร์กันอยู่ เสิ่นิยกฝากระโปรงรถขึ้น เขาจ้องคนขับรถผ่านที่ปัดน้ำฝน ผู้ชายคนนั้นสวมหน้ากากรูปใบหน้ามนุษย์ ซึ่งรูปนั้นก็คือรูปใบหน้าของเมิ่งฉี
ในรถคันนั้นประดับไปด้วยตุ๊กตาเมิ่งฉี เครื่องเสียงก็กำลังเล่นเพลง บุปผารำพัน ซ้ำไปมา
“จอดให้ผมลง” เสิ่นหมิ่งทุบกำปั้นลงบนกระจกหน้าของแท็กซี่ ใครจะรู้ว่าชายคนนั้นกลับเร่งความเร็วขึ้นอย่างน่าใ ก่อนจะเบรกอย่างกะทันหันเพื่อโยนเสิ่นิซึ่งเกาะอยู่ที่หน้ากระโปรงรถออกไป และเมื่อเสิ่นิหล่นลงไปบนพื้นพร้อมกับฝากระโปรงรถ ฝากระโปรงรถก็ขูดกับผิวถนนจนเกิดประกายไฟ แท็กซี่คันนั้นขับแซงและปาดหน้ารถตู้ไป
“เสิ่นิ!” เซี่ยวอี๋ะโร้องพร้อมกับหยุดรถตู้
“เครื่องยนต์ไม่เลวนี่ คราวหน้าไม่โชคดีอย่างนี้แล้วนะ” เสิ่นิพูดอย่างไม่เป็มิตรพร้อมกับจ้องไปที่แท็กซี่คันนั้น