อาจารย์นักแต่งเพลงผู้โด่งดังได้เดินทางมาถึงห้องอัดในเมืองหลินไห่แล้ว ความเป็ศิลปินของเขาแผ่กระจายไปทั่วทุกอณู ที่ว่าเมิ่งฉีจะร้องเพลงอะไรนั้น แม้แต่เสิ่นเมิ่งและเซี่ยวอี๋ก็มิอาจรู้ได้ อู๋เหนิงทำซะอย่างกับว่านี่เป็ความลับระดับชาติ เสิ่นินั่งรออยู่ตรงหน้ารูปปั้นโลหะขนาดใหญ่กลางห้องโถง
เซี่ยวอี๋หายออกไปครึ่งชั่วโมงก่อนจะกลับมา เธอนั่งลงข้างเสิ่นิ “ฉันติดต่อเพื่อนร่วมชั้นที่อยู่กระทรวงคมนาคมแล้ว พวกเขาจะช่วยตรวจสอบให้ ป้ายทะเบียนไม่ชัด มียานพาหนะต้องสงสัยอยู่ 5 คัน แต่ไม่มีทางสอบสวนเพิ่มเติมได้ เพราะพวกเขาไม่ใช่พนักงานสอบสวน และคนคนนั้นก็ยังไม่ได้ก่อเหตุ ดังนั้นจึงไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลของพลเรือนคนนั้นได้ แต่สามารถลงทัณฑ์ได้ เว้นเสียแต่ว่าฉันจะไปหาเพื่อน และ ‘บังเอิญเห็นเข้า’ อย่างนั้นก็นับว่าไม่เป็ไร”
“เพื่อนร่วมชั้นน่าจะติดต่อกันมากกว่านี้นะ ไปสิ” เสิ่นิพูดพลางยิ้ม
“ล้อเล่นหรือเปล่า ฉันไปแล้วใครจะดูนาย บอกไว้ก่อนเลยนะ หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของฉันก็คือจับตาดูนาย ไม่ใช่ไปไล่ตามจับแฟนคลับโรคจิตนั่น” เซี่ยวอี๋พูดด้วยสายตาที่ดูิ่
“เอาโทรศัพท์มาให้ผม” เสิ่นิคว้าหยิบโทรศัพท์เซี่ยวอี๋ไปเรียบร้อยแล้วในขณะที่เขากำลังพูด เขาพิมพ์ URL อย่างชำนาญ ก่อนจะดาวน์โหลด APP “จับผี”
“ทำอะไรน่ะ อินเทอร์เน็ตของฉันจะหมดแล้ว”
“นี่เป็ APP เฉพาะที่ใช้ในโครงการนิรวาน ที่จริงทุกคนที่เข้าร่วมโครงการจะต้องกลืนเครื่องติดตามตัวที่เรียกว่า ‘พยาธิตัวกลม’ ลงไปในท้อง มันจะปล่อยหนามยึดติดกับผนังกระเพาะอาหาร ต่อให้ตายก็ไม่มีทางหลุด
สัญญาณของมันแรงมาก สามารถค้นหาได้โดยดาวเทียมทั่วโลก สามารถควบคุมความแม่นยำได้ในระยะหนึ่งเมตร รหัสติดตามมีแค่ผม และพันเอกสองคนเท่านั้นที่รู้ สำหรับเหล่านิรวานแล้ว สิ่งนี้สำคัญยิ่งกว่าชีวิต” แต่เสิ่นิกลับกรอกรหัสนั่นลงในไป APP ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้กับเซี่ยวอี๋
ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอก็คือแผนที่อิเล็กทรอนิกส์สามมิติ จุดสีเขียวแสดงถึงตำแหน่งของเสิ่นิ นอกนั้นก็เป็ค่าต่างๆ มากมาย รวมถึงอัตราการเต้นของหัวใจ ดัชนีหมวกไต และสมรรถภาพร่างกาย
“เื่สำคัญขนาดนี้ นายมาบอกฉันทำไม” เซี่ยวอี๋ตกตะลึง ถึงเธอจะไม่เคยอยู่ในสนามรบมาก่อน แต่เธอก็รู้ว่ารหัสผ่านบอกพิกัดของตัวเองโดยละเอียดนั้นสำคัญมากแค่ไหน หากข้อมูลนี้รั่วไหลออกไปถึงมือศัตรู ร้อยทั้งร้อยก็ต้องตกเป็เหยื่อถูกล่าจนตายแน่ๆ
“เพราะผมเชื่อใจคุณ และสิ่งที่ผม้ามากที่สุดในตอนนี้ก็คือขอให้คุณเชื่อใจผมเหมือนกัน ผมจะไม่หนี จะไม่หลบ ผมโหยหาที่จะมีชีวิตอยู่ในเมืองธรรมดาๆ นี่มากกว่าใครทั้งนั้น คุณช่วยไปสืบหาข้อมูลของคนคนนั้นให้หน่อยได้ไหม” เสิ่นิกล่าวด้วยความจริงใจ
“ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ...ไม่มีข้อยกเว้น ทำไมรู้สึกเหมือนถูกนายหลอกใช้อยู่เรื่อยเลย” เซี่ยวอี๋ถอนหายใจพร้อมกับลุกขึ้นยืน เธอได้แต่ไปกระทรวงคมนาคมด้วยตัวเอง
เซี่ยวอี๋ออกไปได้ไม่นาน เวลาก็ยังไม่ถึงสิบเอ็ดนาฬิกาดี เมิ่งฉีเดินออกมาจากห้องอัดด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า ก่อนจะนั่งลงข้างๆ เสิ่นิ
“พักกลางวันเหรอ อยากหาอะไรทานไหม” เสิ่นิเห็นท่าทางของเมิ่งฉีว่าเหมือนจะไม่สบาย
“ไม่ได้พักกลางวัน แต่เสร็จแล้ว”
“เร็วจัง” เสิ่นิประหลาดใจ ทั้งที่อู๋เหนิงกะจะใช้เวลาตั้งหนึ่งวันเต็ม
“ฉันอยากร้องเพลงของตัวเอง แต่คุณอาไม่ยอม เถียงไปก็แพ้ เพลงที่เขาเลือก แค่เอามาเปลี่ยนทำนอง ร้องสองรอบก็เรียบร้อยแล้ว...ฉันเป็นักร้องมืออาชีพ เื่แบบนี้มันไม่ได้ยาก” เมิ่งฉีถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แต่จู่ๆ เธอก็ะเิเสียงหัวเราะขึ้นมา “แต่ก็ดีแล้วที่เสร็จเร็วๆ ฉันจะได้ออกไปเที่ยว ไปกับฉันสิ!”
“ไปโซนขายของผู้หญิงอีกเหรอ บอกไว้ก่อนนะว่าฝีมือการพรางตัวของคุณน่ะห่วยมาก ถ้าแฟนๆ จับได้ล่ะ คุณคงต้องกลายร่างเป็เจไดแล้ววิ่งหนีตายอีกแน่” เสิ่นิกุมศีรษะด้วยความกังวล
“วางใจเถอะน่ะ เห็นฉันโง่ขนาดนั้นเลยหรือไง ใครเขาจะไปที่เดิมซ้ำสอง ฉันเตรียมที่เจ๋งๆ เอาไว้แล้ว! ที่ที่เป็ตัวของตัวเองได้ และไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาเจอเข้า!” เมิ่งฉียิ้มเ้าเล่ห์ ก่อนจะพาเสิ่นิวิ่งไปยังประตูทางออก
และทั้งหมดนี่ ก็อยู่ในสายตาของอู๋เหนิงซึ่งกำลังเดินออกมาพร้อมอาจารย์นักแต่งเพลงผู้โด่งดัง
“ว่ากันตามตรงนะ เธอร้องเพลงเพราะมาก แต่ถ้าแค่ดัดแปลงเพลงนิดๆ หน่อยๆ คงจะเอาชนะชาเขียวไม่ได้ คุณควรจะให้เธอร้องเพลงใหม่” อาจารย์พูดอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา
“ผมรู้ แต่สำหรับดารา แพ้ชนะนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือจะทำอย่างไรให้ได้รับประโยชน์สูงสุด” อู๋เหนิงวางแผนการทุกอย่างเอาไว้แล้ว
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เสิ่นิก็พาเมิ่งฉีไปยังสถานที่ที่ซ่อนตัวอันน่าพิศวง ที่แท้มันก็คือชายหาดชื่อว่า “หุบเขามุ้งมิ้งแสนสุข”
ที่นี่เป็สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดแห่งเดียวของเมืองหลินไห่ แม้ว่าวันนี้จะไม่ใช่วันหยุด แต่นักท่องเที่ยวในนั้นก็ไม่น้อย ก่อนจะลงจากรถ เมิ่งฉีสวมใส่หน้ากากเวนิสซึ่งประดับไปด้วยคริสตัล การสวมหน้ากากในสถานที่บันเทิงเช่นนี้ไม่ได้เป็ที่ดึงดูดสายตามากนัก
วันนี้เมิ่งฉีสวมชุดเดรสเกาะอกสีฟ้าคราม กระโปรงจีบยาวคลุมเพียงหนึ่งในสามของท่อนขา ่ล่างเป็ถุงน่องสีดำสลับขาว ใส่คู่กับรองเท้าหัวมนคู่หนึ่ง ผมยาวประบ่าถูกมัดเป็หางม้าสองข้างด้วยหนังยางรัดผมสีดำเรียบ
“ผมว่าคุณก็ไม่เด็กแล้วนะ ยังอยากเล่นของพวกนี้อยู่เหรอ” เสิ่นิขมวดคิ้ว
“ฉันไม่เด็กแล้วนะ! ฉันเป็สาวแล้ว! เป็สาวแล้ว!” เมิ่งฉีเหวี่ยงกำปั้นเข้าที่กะโหลกด้านหลังของเสิ่นิ “ก็แค่อยากเล่นจะทำไม ถ้าไม่ได้กัดฉันคงไม่มีความสุขสินะ!”
“ก่อนอื่นเลยขอบอกไว้เลยว่าคุณห้ามห่างจากผมเกิน 5 เมตร ที่นี่ผู้คนพลุกพล่าน” หลังจากเสิ่นิเจอเื่เมื่อเช้าไป เขาก็ได้ยกระดับมาตรฐานในการรักษาความปลอดภัยของตัวเองขึ้นโดยอัตโนมัติ
“ได้ ฉันเข้าห้องน้ำฉันก็จะพาคุณไปด้วย พี่บอดี้การ์ดจอมเข้ม” เมิ่งฉียิ้มพลางจับข้อมือของเสิ่นิ ก่อนจะลากเขาตรงไปยังทางเข้าหุบเขาแสนสุขประหนึ่งคู่รักกัน
เมิ่งฉีไม่เคยมาสวนสนุกขนาดใหญ่แบบนี้มาก่อน หลังจากกลายเป็บุคคลที่มีชื่อเสียง เธอก็หลีกเลี่ยงสถานที่เช่นนี้ แต่เพราะตอนนี้เธอมีเสิ่นิอยู่ข้างกาย เธอจึงรู้สึกว่าเธอสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างสบายใจ ไม่ว่าจะเกิดเื่อะไรขึ้น เมิ่งฉีรู้ว่าเสิ่นิจะต้องปกป้องเธอและพาเธอหนีไปได้อย่างปลอดภัย
สำหรับเมิ่งฉีแล้ว วันนี้เป็วันหยุดพักผ่อน แต่สำหรับเสิ่นิ เขายังคงทำงานต่อไป สวนสนุกเป็สถานที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับการจู่โจม ที่นี่พลุกพล่าน มีความซับซ้อน ถนนแตกแยกไปเป็แขนง เสิ่นิเองก็เคยลอบสังหารเป้าหมายในสถานที่แบบนี้...
แต่ตอนนี้ เขาเรียกสมาธิได้เพียง 12 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เขาต้องคอยระวังสังเกตทุกคนที่เดินผ่านไปผ่านมา เมิ่งฉีไม่ให้ความร่วมมือเลยสักนิด เมื่อเธอเห็นอะไรน่าสนุก เธอก็รีบพุ่งเข้าใส่ รถไฟเหาะก็ดี ไวกิงก็ดี ล้วนแต่เป็จุดรวมตัวของคนเยอะๆ ทั้งนั้น
ยากที่จะจินตนาการถึงผู้หญิงที่มีความกล้าหาญสูงเกินความสูงของตัวเอง เธอนั่งรถไฟเหาะ 4 รอบติดโดยไม่พักไม่เบรกอะไรทั้งสิ้น
“อ๊า!!!” รถไฟเหาะพุ่งลงในแนวดิ่ง เมิ่งฉีกรีดร้องและหลับตาอยู่ภายใต้หน้ากาก แต่เสิ่นิที่นั่งข้างๆ กลับไม่กะพริบตาเลยแม้แต่นิดเดียว
“เฮ้ คุณตายหรือยังน่ะ เสียวขนาดนี้คุณไม่ร้องเลยหรือไง สงสารเหล่าบรรดาเ้าหน้าที่นี่เหลือเกิน!” หลังจากขึ้นและลงมาจากรถไฟเหาะแล้ว เมิ่งฉีก็ฟาดแขนของเสิ่นิไปในขณะที่พูด
“ถ้าคุณเคยโดนโยนลงทะเลด้วยความสูง 50 เมตรโดยที่ไม่สวมเสื้อชูชีพละก็ เชื่อผมเถอะ เื่แบบนี้จะไม่สามารถทำให้คุณหลั่งอะดรีนาลีนได้ตลอดชีวิต” เสิ่นิพูดหน้าตาเฉย
“ประหลาดแท้คุณบอดี้การ์ด...อ๊ะ! มีตุ๊กตาด้วย!” เมิ่งฉีพบ ‘สนามรบ’ แห่งใหม่อีกแล้ว
ที่หน้าซุ้มเกม “ยิงเป็ด” เ้าของร้านแต่งตัวเป็ “คนหัวล้าน” เพื่อโปรโมตเกม โดยให้ใช้ปืนแก๊ปลูกเหล็ก ยิงเป็ดป่า 16 ตัวที่วิ่งผ่านไปผ่านมาในระยะ 5 เมตร หากยิงถูกครึ่งหนึ่งก็จะได้รับตุ๊กตาไป
“เถ้าแก่ รอบละเท่าไรคะ” เมิ่งฉีกระตือรือร้นที่จะลอง
จ่ายไป 20 หยวนก็ได้ลูกะุเต็มแม็ก ฝีมืออย่างเมิ่งฉีคือสามารถยิงได้ด้วยมือเดียว แต่ใครจะรู้ล่ะว่าการหดตัวของะุนั้นสั่นะเืเสียจนทำให้มันหักโค้ง เสียงปืนในมือทำเอาเมิ่งฉีใจนต้องหลับตา เห็นได้ชัดว่าปืนของเล่นนี้ไม่ได้อยากให้คนดีใจที่ได้รางวัล มีที่ไหนใส่อุปกรณ์เสริมเข้าไปแบบนี้
“แขนคุณเบาเกินไป อย่ายิงด้วยมือเดียว” เสิ่นิถอนใจและประคองเมิ่งฉีจากทางด้านหลัง เขาดึงมืออีกข้างหนึ่งของเธอไปจับด้ามปืน ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูจนเมิ่งฉีหน้าแดงใจเต้น “อย่าหลับตาเวลายิง แม่คุณหนูใหญ่ของผม มองตรงไปยังเป้าหมาย ให้เห็นวิถีของเป้าอย่างชัดเจน ตอนยิงคุณกลั้นหายใจได้ เพื่อให้ร่างกายนิ่งที่สุด ลองดู”
มีผู้เชี่ยวชาญให้แนะนำแบบนี้ พอเสิ่นิปล่อยมือ เมิ่งฉีก็เหนี่ยวไก นัดเดียวก็โดนเ้าเป็ดเข้าไปเต็มๆ
“ฉันยิงโดนแล้ว!” เมิ่งฉีะโโลดเต้นด้วยความดีใจ แต่ที่เหลืออีก 14 นัด เธอกลับยิงถูกอีกเพียง 2 นัด เธอจึงได้มาแค่รางวัลปลอบใจ...ซึ่งนั่นก็คือกระดาษทิชชูหนึ่งห่อ
“โกง! หลอกเงินกันชัดๆ!” เมิ่งฉีภายใต้หน้ากากโยนทิชชูลงพื้นด้วยความโมโห แม้แต่เธอที่ไม่รู้เื่ปืนก็ยังรู้ตัวว่าถูกหลอก ด้านหลังของปืนได้ถูกออกแบบมา ให้ะุมีความดันอากาศไม่เพียงพอ โบยบินสองสามเมตรก็ตกลงไปกองแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ 99% ก็คงจะได้แต่กระดาษทิชชูกลับไป
“ไม่ต้องโมโห มันก็แค่เกม คุณอยากวิ่งหน้าตั้งแบบตอนที่ไปชอปปิงที่โซนผู้หญิงอีกหรือไง” เสิ่นิตบไหล่เมิ่งฉีและดึงเธอมาไว้ข้างกาย พร้อมกันนั้นเขาก็หันไปหาเถ้าแก่หัวโล้น “อีกรอบหนึ่ง เถ้าแก่”
เมื่อเปลี่ยนะุใหม่แล้ว เสิ่นิก็ยกปืนลมขึ้นด้วยมือเดียว รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายวับไปกับตาในขณะที่เล็งเป้า เมิ่งฉีที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกว่าเขาเท่มากอย่างกับหลุดออกมาจากในภาพยนตร์ และเพียงรวดเดียว ปัง! ปัง! ปัง! เสียงปืนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็ดทั้ง 16 ตัวก็ล้มเกลี้ยง กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาไปไม่ถึงเก้าวินาที
“ล้อเล่นหรือเปล่า” เถ้าแก่หัวล้านใฉี่แทบแตก ั้แ่เขาเปิดร้านมาได้ 3 ปี เขาไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดเช่นนี้มาก่อนเลย ขนาดพี่ชายในเครื่องแบบที่ยิงได้ 12 นัดนั้นก็นับว่าสุดยอดแล้ว ได้ยินว่าเขาเป็มือปืนในกองทัพด้วย แต่เสิ่นิตรงหน้านี่มันอะไรกัน เขาเป็าาสไนเปอร์อย่างนั้นเหรอ
“ฮ่าๆ ยืนนิ่งอยู่ทำไม! ฉันจะเอาตัวนั้น ตัวที่ใหญ่ที่สุด!” เมิ่งฉีก้าวไปด้านหน้าและเตะขาเถ้าแก่หัวล้านเข้าอย่างแรง และแล้วกระต่ายน้อยที่ขนาดสูงกว่าเมิ่งฉีตัวหนึ่งก็ได้ขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเสิ่นิ
พวกเขาพบม้านั่งที่หันไปทางทะเล ชายหญิงหนึ่งคู่พร้อมด้วยกระต่ายตัวโต ช่างเป็ภาพครอบครัวที่แสนสุขสันต์
“คุณมีทักษะการยิงปืนที่ยอดเยี่ยม ปืนห่วยอย่างนั้นก็ยังยิงโดนซะหมดคุณเคยเป็ทหารมาก่อนเหรอ อยู่หน่วยรบพิเศษหรือเปล่า” ในมือเมิ่งฉีถือไอศกรีม เธอดันหน้ากากขึ้นเล็กน้อย ตื่นเต้นจนไม่สามารถปิดปากได้
“ไม่ใช่ทหารหรอก แต่อยู่ในสนามรบมา 10 ปี เคราะห์ดีที่รอดชีวิตกลับมาได้” เสิ่นิยกไอศกรีมขึ้นมาเลีย
“คุณเคยฆ่าใครหรือเปล่า” เมิ่งฉีถามอย่างจริงจัง
“เคย แต่เท่าที่ผมรู้ก็เป็คนเลวทั้งนั้น” เสิ่นิเอ่ยเสริมจนเมิ่งฉีหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
“งั้นก็ดี ฉันรู้ว่าคุณเป็คนดี ไม่ทำเื่เลวร้ายหรอก” เมิ่งฉีพูดขึ้นด้วยความประหม่าอีกครั้ง “คุณกับพี่เซี่ยวอี๋เป็แฟนกันเหรอ”
“ไม่ใช่ ผมรู้จักเธอก่อนหน้าที่จะรู้จักคุณเพียงหนึ่งวันเท่านั้น เธอไม่เลวเลย เธอเป็ผู้ช่วยที่ดีได้ ตอนนี้ก็น่าจะนับว่าเราเป็หุ้นส่วนและเพื่อนกันแล้ว” เสิ่นิไม่ได้ปกปิดอะไร
“อือ งั้นก็ดี” ในขณะที่เมิ่งฉีปลอบใจตัวเอง เธอก็หันไปมองไอศกรีมสีดำที่อยู่ในมือของเสิ่นิ “ของคุณรสอะไร อร่อยไหม”
“รสกาแฟ หวานไปหน่อยน่ะ”
“ขอฉันชิมหน่อย” โดยที่ไม่รอให้เสิ่นิได้พูดอะไร เมิ่งฉีก็โน้มตัวไปด้านหน้าและแลบลิ้นน้อยๆ โผล่ออกมาเลียไอศกรีม เสิ่นิหน้าแดงไปหมด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้