“หากไม่ใช่เพราะเื่ที่เกิดในวันนี้ ข้าคงไม่รู้ว่าจางหงอี้ที่ถูกลดขั้นจะไร้ประโยชน์ถึงขั้นเลี้ยงหมาป่าไว้ข้างกาย? กลับไปเมืองหลวงเมื่อใด ข้าจะสอบสวนการทำงานของเ้า ทำให้ศีรษะของเ้าย้ายบ้านดูสักที ดีหรือไม่?”
หนิงโม่พ่นคำเย้ยหยันออกมาแบบแผลงๆ
จางหงอี้เหงื่อตกและรีบโบกมือ “มิกล้า”
ที่สองปีมานี้เขาต้องตั้งใจวางแผนรัดกุมมาโดยตลอด ล้วนเป็เพราะกุนซือเฉียนเป็คนเก่าคนแก่และปักถิ่นฐานที่นี่มานานกว่ายี่สิบปี เป็คนเ้าเล่ห์สับปลับยิ่งนัก
มิเช่นนั้นเขาคงไม่ต้องเสียเวลาถึงสองปี กว่าจะโค่นต้นไม้ใหญ่ต้นนี้พร้อมกับถอนรากถอนโคนได้ แต่ใครจะคาดว่า เพียงสองวันที่เขาเดินทางไปที่อื่น ตระกูลเฉียนจะอยู่ไม่สุขเช่นนี้
หากไม่ใช่เพราะจางหงเหวินน้องชายของเขาส่งจดหมายด่วนมาบอกเื่ราวที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวัน เดาว่าตอนนี้ศีรษะของสองพี่น้องตระกูลเฉียนคงหล่นพื้นไปเรียบร้อยแล้ว
โชคดีที่หนิงโม่ไม่ได้สร้างปัญหาให้เขา เมื่อเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยปรากฏตรงประตู ใบหน้าของเขาก็เคลือบด้วยน้ำแข็งหนึ่งชั้น
“ดีที่หนนี้ไม่มีเื่ร้ายแรงเกิดขึ้น มิเช่นนั้น เ้าคงยากที่จะหลุดพ้นความรับผิดชอบ!”
“ขอรับๆ นายน้อยกล่าวได้ถูกต้อง” จางหงอี้ยังคงกล่าวอย่างสุภาพนอบน้อม
หนิงโม่ส่งเสียงฮึ่มอย่างเ็า ทว่าชั่วพริบตาก็เปลี่ยนเป็สีหน้าอ่อนโยนฉับพลันพร้อมคำนับอีกฝ่าย
“ถ้าอย่างนั้น ใต้เท้าจาง คนรากหญ้าอย่างข้าขอตัวลา”
จางหงอี้ตื่นใกับการเปลี่ยนสีหน้าอันรวดเร็วของเขา “?”
ตกลงว่าจะมาไม้ไหนกัน? เปลี่ยนสีหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกตำรา? เขาส่งสายตาไปทางเยี่ยนชีอย่างไม่กระจ่าง เยี่ยนชีตบไหล่เขาอย่างเข้าอกเข้าใจ
“จนปัญญา เ้านายของข้าอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ชอบเปิดเผยสถานะต่อหน้าคนภายนอก” หลังจากนั้นเขาก็เชิดคางไปทางประตู
“เ้าคงเข้าใจสินะ?”
เขาจงใจเน้นคำว่า ‘คนภายนอก’
จางหงอี้เหลือบมองผู้หญิงที่ยืนอยู่ประตู จากนั้นก็เข้าใจแจ่มแจ้งในทันใด และยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ!”
......
หลังจากส่งเทพองค์โตอย่างหนิงโม่จากไป จางหงอี้ก็ถอนหายใจโล่งอก แต่กลับพบว่ายังมีบุคคลหนึ่งอยู่ตรงนี้
“อาจารย์โจว? เหตุใดยังไม่ไปอีก?”
โจวฉี่เซียนที่ถูกจับมาพร้อมกันกำลังหาวอย่างเกียจคร้านจนน้ำตาซึม “ข้ามาดูความสนุกสนาน คิดไม่ถึงว่าจะเกือบดวงอาภัพไปด้วยแล้ว”
จางหงอี้มองเขาอย่างล้ำลึก เขาน่ะหรือมีนิสัยชอบความสนุกสนาน? ชาวเมืองต่างก็บอกว่าอาจารย์โจวนิสัยแปลกประหลาด ไม่ชอบไปมาหาสู่กับผู้คนไม่ใช่หรือ?
ทว่าจางหงอี้ยังมีเื่หารือกับเขาอีก
“อาจารย์โจว ตอนนี้ตำแหน่งกุนซือที่ว่าการว่างลงแล้ว ได้ยินว่าอาจารย์โจวสมัยก่อนเคยเป็ถึงซิ่วไฉอันดับหนึ่ง ไม่ทราบว่าอาจารย์ยินดีจะมารับตำแหน่งที่...”
“คนรากหญ้าขอปฏิเสธ” โจวฉี่เซียนขัดคำพูดของเขา ก่อนที่จะบิดี้เีและทุบหลัง ขณะก้าวออกจากที่ว่าการยังเอ่ยวาจาประหลาดทิ้งท้าย
“เฮ้อ… อายุมากแล้ว ยังต้องรีบกลับไปนอน”
จางหงอี้ “...”
อย่างน้อยกุนซือก็เป็เ้าหน้าที่ทางการและได้รับเบี้ยหวัดจากราชสำนัก มั่นคงกว่าการสอนตำราไม่ใช่หรือ?
อาจารย์โจวผู้นี้ช่างประหลาดนัก
ระหว่างทางกลับบ้าน ไออุ่นจากลมหายใจแทบกลายเป็น้ำแข็ง เสิ่นม่านนั่งบนเกวียน เดิมทีนางมีอาการง่วง แต่ขณะนี้กลับไม่ง่วงแม้แต่น้อย สายตาของนางเลื่อนไปที่หนิงโม่เป็พักๆ
ในที่สุดนางก็กลั้นไม่ไหวและส่งเสียงเรียกหนิงโม่
“ข้ารู้จักเ้ามานาน แต่ยังไม่รู้ว่าตกลงเ้าคือใครกันแน่”
ทันทีที่นางถาม เยี่ยนชีที่ทำหน้าที่สารถีอยู่ด้านหน้าก็อดไม่ได้ที่จะหูตั้งและแอบฟัง เขาเองก็อยากรู้ว่าเพราะเหตุใดเ้านายจึงปิดบังเสิ่นม่าน
หนิงโม่ไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เขาเพียงปรายตามองนางแวบหนึ่ง
“ท่านพ่อข้าเป็ขุนนางในเมืองหลวง”
โอ้ ที่แท้ก็รุ่นสองของตระกูลขุนนางนี่เอง
เสิ่นม่านเดาว่า เมื่อครู่ตอนอยู่ในที่ว่าการ ความสามารถของเขากับเยี่ยนชีคงจัดการบดขยี้เฉียนิเจี๋ยจนไม่เหลือซาก นางคิดอยู่แล้วเชียวว่าหนิงโม่มีที่มาไม่ธรรมดา
“รูปโฉมภายนอกเ้าดูดีเช่นนี้ ตำแหน่งขุนนางที่บ้านคงไม่กระจอกสินะ?”
คิ้วของหนิงโม่ย่นเป็สามขีด “รูปโฉมข้าดูดี แล้วเกี่ยวอะไรกับตำแหน่งขุนนางที่บ้านข้าด้วย?”
เสิ่นม่านเลิกคิ้วขึ้นและอธิบายอย่างจริงจัง “เ้าไม่เข้าใจหรือ รูปโฉมมีเสน่ห์ของเ้าเช่นนี้ หากที่บ้านไม่มีตำแหน่งใหญ่โต เกิดถูกคุณหนูตระกูลใหญ่พบเจอเข้าคงมิวายถูกลักพาตัวไปเป็นายบำเรอกันพอดี?”
“คิก...” เยี่ยนชีที่กำลังแอบฟังเกือบบังคับเกวียนลงทุ่งนา คำกล่าวที่ฟังดูเพี้ยนๆ แต่กลับถูกต้องแม่นยำยิ่งนัก
“อะแค่กๆๆ ...” หนิงโม่สําลักคำพูดของนางจนเกือบหมดสติ
ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยกมือขึ้นแจกมะเหงกให้นางเต็มแรง ทำเอาเสิ่นม่านกุมศีรษะร้องโอ๊ย
เมื่อเห็นนางเ็ป ความโมโหของหนิงโม่ก็ลดหายไปกว่าครึ่ง เขากำมือป้องปากจากนั้นกระแอมเบาๆ
“ไม่ได้ยิ่งใหญ่เช่นที่เ้าคิด ท่านพ่อข้าเป็เพียงขุนนางขั้นเจ็ด”
เพียงแค่ประโยคธรรมดา ไม่มีการเติมแต่งแต่อย่างใด ตอนที่เขาพูด แววตาเหม่อลอย นิ้วมือแตะบนปีกจมูก ปลายเล็บเป็สีชมพูจางๆ โหนกแก้มของเขางดงาม หน้าผากมีปอยผมปรกอยู่เล็กน้อย ขับให้โครงหน้าของเขาดูผ่อนคลายเป็พิเศษ
ความงามดั่งภาพวาด แม้ว่าจะนั่งอยู่บนเกวียน แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็น มีสายลมพัดโชยจนทำให้คนตัวแข็งและสมองทื่อ เขาขยับไปทางผ้าคลุมเกวียนและเอนตัวลงนอน กิริยาท่าทางสูงสง่าส่งให้เสียงเอี๊ยดอ๊าดของเกวียนถึงกับไพเราะเสนาะหู
เสิ่นม่านผู้คลั่งหนุ่มหน้าหล่อเห็นภาพนี้เข้าถึงกับไม่อาจถอนสายตาไปไหนได้
เฮ้อ นางอยากเป็โจรูเาจริงๆ จะได้ลักพาตัวหนิงโม่ขึ้นเขาไปเสียเลย ถึงตอนนั้นแม้เขาจะแหกปากร้องจนเส้นเสียงขาดก็เปล่าประโยชน์
น่าเสียดายที่นางไม่สามารถเอาชนะหนิงโม่ได้ กับเยี่ยนชีก็เพียงสูสีเท่านั้น
เสิ่นม่านถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย อาการคลั่งคนหล่อของนางหนักขึ้นเรื่อยๆ สมัยก่อนอย่างมากนางก็คิดเพียงอยากแต๊ะอั๋งเขาบ้างเป็ครั้งคราว และบูชาเขาไว้ในบ้านก็เพียงพอ แต่ตอนนี้กลับเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นอยากไว้เป็ของตนเอง
อืม ลักพาตัวกลับไปเก็บสะสมไว้ แล้วเชยชมทุกวันดั่งแจกันก็ไม่เลว
หนิงโม่ไม่ได้สังเกตเห็นเจตนาชั่วร้ายของนางและถามว่า “เ้ามองข้าทำไม? บนหน้าข้ามีบุปผาหรือไร?”
เสิ่นม่านส่ายหน้า “ไม่ ไม่เกี่ยวกับเ้า” จิตใจของข้าสกปรกเอง
หนิงโม่ “...” เ้าแทบจะจ้องข้าตาเป็มันอยู่แล้ว
เขาเบือนหน้าหนีอย่างมีมาด แต่ริมฝีปากกลับยกโค้งขึ้น “อย่าคิดว่าคืนนี้ข้าช่วยชีวิตเ้า แล้วคิดจะถวายตัวให้ข้า ข้าไม่ชอบเ้า”
เสิ่นม่านปากไวตอกกลับ “ข้ารู้ เ้าชอบเยี่ยนชี วางใจได้ ตัวข้าไม่เคยดูิ่บุรุษอย่างพวกเ้า ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่จำเป็ต้องเขินอาย ข้าเปิดกว้างนัก! ไม่เหยียดพวกเ้าแน่นอน!”
“โครม!”
เกวียนส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เสิ่นม่านที่ไม่ทันระวังตกลงไปหงายเก๋งเหมือนสุนัขอยู่บนกองดินโคลน ศีรษะของนางทิ่มลง ใบหน้าเปื้อนไปด้วยโคลน เยี่ยนชีสะดุ้งใรีบเข้าไปช่วยดึงนางออกมาจากโคลนและอธิบายรัว
“แม่นางเสิ่น วัวมันะโลงทุ่งนาเอง ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้เ้าตกลงไปนะ” เขามีหรือจะกล้าบอกว่า เขาใจนเผลอบังคับวัวพุ่งเข้าทุ่งนา?
เสิ่นม่านเช็ดโคลนบนหน้า จากนั้นมองดูเกวียนที่ล้อข้างหนึ่งยกลอยขึ้นกลางอากาศ ท้ายที่สุดก็ทอดสายตาไปทางหนิงโม่ที่ยังคงยืนตระหง่านรับลมโดยไม่ได้รับาเ็แม้แต่น้อย
นางไม่พอใจ “ให้ตายสิ แล้วทำไมเขาไม่เป็ไร?”
หนิงโม่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ข้าก็ต้องไม่เป็ไรอยู่แล้ว”
หึ อย่าปากดีเร็วเกินไป!
เสิ่นม่านพุ่งเข้าไปตะครุบเขาทันที นางโถมตัวกอดหนิงโม่และจับเขากดจนล้มลงพื้น
-----
