ด้านหลังบ้านของครอบครัวหูฉางกุ้ย อยู่ติดกับูเาหลายต่อหลายลูก ต่อกันยาวเหยียดไม่ขาดตอน สิ่งปลูกสร้างตั้งอยู่ตีนเขา ที่นี่เป็จุดสิ้นสุดของหมู่บ้านวั้งหลิน ละแวกใกล้เคียงมีบ้านคนอาศัยอยู่สี่ครัวเรือน ท่าทางไม่ค่อยคึกคักนัก บ้านที่ใกล้บ้านเธอที่สุดห่างออกไปเป็ระยะทางสี่สิบถึงห้าสิบเมตร
ตอนสร้างบ้านครั้งแรก หูฉางกุ้ยเลือกสถานที่ห่างไกลความเจริญนี้เป็พิเศษ หลีกเลี่ยงที่ที่คนเยอะ เพื่อให้พ้นจากการซุบซิบนินทาต่างๆ ของคนในหมู่บ้าน
เท้าของเจินจูยังเจ็บอยู่เล็กน้อย เธอเดินออกจากลานบ้านอย่างเชื่องช้า มองสภาพการณ์รอบๆ เป็ครั้งคราว
นอกประตูลานบ้านมีถนนเล็กๆ สองเส้น เส้นหนึ่งทะลุไปในหมู่บ้าน เส้นหนึ่งไปทางหลังเขา เจินจูไม่คิดเดินเข้าไปในหมู่บ้าน จึงใส่กลอนประตูลานบ้านให้เรียบร้อย ก้าวเดินช้าๆ ไปยังทางเล็กหลังเขา
ตามข้างทางมีพุ่มไม้เตี้ยๆ เจริญเติบโตปนกันไป ดอกไม้ป่าจำนวนหนึ่งที่ไม่รู้จักชื่อผลิบานอย่างเงียบๆ เธอไม่ได้เดินไปทางป่าเขาเนินสูง แต่ทว่าเลี้ยวผ่านทางหน้าเขาไปยังถนนเส้นเล็กอีกทางหนึ่ง ทางเส้นเล็กนี้ทะลุไปยังลำธารสายเล็ก ในูเา น้ำที่ครอบครัวหูใช้ล้วนหาบมาจากต้นลำธารนี้ ธารน้ำจากูเาเล็กๆ แห่งนี้เกิดจากการไหลทะลักของน้ำพุใต้ดิน คุณภาพน้ำหวานบริสุทธิ์ ครอบครัวไม่กี่ครัวเรือนในละแวกนี้ล้วนมาเอาน้ำจากที่นี่กันทั้งนั้น
ชายป่าในเขา มีเสียงแม่น้ำลำธารสายเล็กไหล ในป่าสงบเยือกเย็นนัก ลมอ่อนๆ พัดผ่าน ใบไม้ก็เกิดเสียงเสียดสีกันดังขึ้น เจินจูเดินเรื่อยเปื่อยผ่านไป ลำธารช่างใสสะอาดยิ่ง เธอเอียงกายนั่งลงบนก้อนหินริมลำธารสายเล็ก กอบน้ำลำธารขึ้นมาตบใบหน้าเบาๆ ลำธารเย็นจัดหลังจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เจินจูชะโงกหน้ามองดูผิวน้ำ สายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ สะท้อนรูปลักษณ์ของสาวน้อยผิวคล้ำร่างผอมบางคนหนึ่ง ใบหน้ารูปไข่ คิ้วใบหลิว แววตาใสสะอาด จมูกสูงโด่ง
เจินจูแอบยินดีในใจเงียบๆ เครื่องหน้าเด็กสาวออกมาไม่เลวเลย แม้ตอนนี้อาการป่วยยังไม่ทุเลาดี แต่เธอเชื่อว่าหลังบำรุงร่างกายไปสักระยะแล้ว จะสามารถโตเป็คนงามได้แน่
เด็กสาวคนไหนจะไม่สนใจรูปลักษณ์ของตนเองเล่า เธอไม่คาดหวังให้ตนเองเป็สาวงามล่มเมืองผู้ยิ่งใหญ่ แค่สามารถมีหน้าตางดงามเรียบร้อยเช่นนี้ได้ เธอก็พอใจแล้ว เพียงแต่... เธอลูบผมที่ยุ่งเหยิงของตนเองแล้วเกิดอาการคันอย่างช่วยไม่ได้ ต้องหาเวลาสระผมเสียแล้ว
เหลือบตามองไปทางป่าเขาที่อยู่ไม่ไกลนัก เป็เพราะอยู่ใน่ปลายฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้บนต้นต่างพากันทยอยร่วงเต็มูเา บนเนินลาดจึงเป็ผืนสีทอง ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านต้นไม้ใบไม้แห้งล่วงลงเต็มูเา กลิ่นอายหน้าหนาวสายหนึ่งลอยมาตามลม
เจินจูอดสั่นเทาไม่ได้ คิดขึ้นได้ว่าหมู่บ้านวั้งหลินพื้นที่ค่อนมาทางภาคเหนือ ฤดูหนาวมีหิมะขาวโพลนและลมหนาวเย็นถึงกระดูก ั้แ่หิมะตกไปจนถึงสองสามเดือนที่หิมะละลายในปีถัดไป ครอบครัวที่เช่านาทำกินในหมู่บ้านส่วนใหญ่ล้วนแต่รออยู่ในบ้าน รอจนเริ่มฤดูใบไม้ผลิหลังหิมะละลายแล้วจึงจะออกมายุ่งอยู่กับงานอีกครั้ง
นึกขึ้นได้ว่าหน้าหนาวใกล้มาถึงแล้ว แต่ฟืนข้ามฤดูหนาวของครอบครัวหูยังไม่ได้ตระเตรียมไว้เลย แม้ว่าด้านหลังบ้านจะเป็ต้นไม้ป่าเขาที่ไม่มีที่สิ้นสุดผืนใหญ่ก็ตาม แต่ก็ต้องฟันลงมาตากแดดให้แห้งจึงจะสามารถใช้ได้ เธอกวาดสายตามองต้นไม้ทั่วเขาหนึ่งรอบ แล้วมองแขาขาเล็กๆ ของตนเอง... ช่างเถอะ งานเช่นนี้เก็บไว้ให้ท่านพ่อทำแล้วกัน
เจินจูหยัดกายขึ้นกำลังคิดจะมุ่งหน้าเดินทางกลับ ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงในพงหญ้าไม่ไกลจากข้างหลังดังสะท้อนขึ้น เธอผงะใ คงไม่ใช่งูนะ! หันศีรษะไปดู มีกระต่ายป่าสีขาวเทาตัวหนึ่งกำลังตั้งอกตั้งใจเล็มหญ้าในพงหญ้าเตี้ย
“กระต่าย!” สายตาเจินจูเป็ประกายวาววับ ลำคอกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว ครอบครัวเธอไม่ได้เจอเนื้อมาเป็เวลานานพักหนึ่งแล้ว แต่สองมือของเธอว่างเปล่าไม่มีอาวุธ จะจับมันอยู่ได้อย่างไรกัน?
หันมองไปรอบๆ ไม่พบสิ่งของที่เป็ตัวช่วยได้ เจินจูร้อนใจเล็กน้อย อีกเดี๋ยวกระต่ายคงจะวิ่งไปแล้ว มองดูกระต่ายป่าที่กำลังเล็มหญ้าป่าอ่อนจากไกลๆ ทันใดนั้นเธอก็เกิดความคิดวาบขึ้น ไม่ใช่ว่าในมิติช่องว่างของเธอก็มีหญ้าหรือ แล้วยังเป็หญ้าจิติญญาที่มีกลิ่นหอมโชย ลองใช้มันมาล่อกระต่ายดูล่ะกัน
ในใจคิดได้เช่นนี้จึงค่อยๆ เดินไปยังหน้าผาหินที่เว้าเข้าไป ภายในใจคิดภาพมิติ ก่อนจะเดินเข้าไปในมิติช่องว่าง ลงมือเด็ดใบหญ้าสงบจิตไม่กี่เส้นอย่างฉับไวแล้วกลับออกมา เจินจูนั่งยองๆ ด้วยความนุ่มนวลแ่เบา เคลื่อนไปด้านหน้าไม่กี่ก้าวอย่างระมัดระวัง เอาใบหญ้าจิติญญาวางไว้ข้างหน้า แล้วเฝ้าตอรอกระต่าย [1]
“หนึ่ง สอง สาม สี่…” เธอนับอย่างใจเย็น ภายในใจนับเงียบๆ “สี่สิบเจ็ด…สี่สิบแปด…สี่สิบเก้า…” ขณะที่เจินจูยิ่งนับก็ยิ่งช้าลง กระต่ายยกหัวขึ้นมองไปรอบๆ หลังจากรู้ทิศทางของกลิ่นที่แน่นอนแล้ว จึงะโเข้ามาทางเธอ เจินจูไม่ลังเลใจ เอื้อมมือออกไปคว้าหูกระต่ายและดึงเข้ามาจับไว้แน่นทันที
“ฮ่า ฮ่า…” เจินจูยิ้มอย่างมีความสุข ปกติกระต่ายป่าจะวิ่งเร็วมาก หากไม่ใช้หญ้าจิติญญาดึงดูดมันก็คงจับไว้ไม่ได้ เธอลองหิ้วกระต่ายที่ดิ้นไม่หยุดขึ้นมา หนักอยู่ทีเดียว คาดว่าน่าจะหนักสองกิโลถึงสองกิโลครึ่งได้
เจินจูเก็บหญ้าจิติญญาขึ้นมา ยกกระต่ายขึ้นเดินอย่างสบายใจ มุ่งไปทางบ้านด้วยความร่าเริง เธอออกมาได้สิบห้านาทีแล้ว แม้ว่าสถานการณ์ลักเล็กขโมยน้อยหมู่บ้านวั้งหลินจะมีไม่มาก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มี บ้านของพวกเธอมีเพียงหมูหนึ่งตัวและไก่สิบกว่าตัวที่มีค่า
“อาศัยอยู่ในที่เปลี่ยวขนาดนี้ ในบ้านต้องเลี้ยงสุนัขสิจึงจะถูก นี่ไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย” เธอเดินไปคิดไป แต่ครอบครัวนี้ แค่คนก็กินไม่อิ่มแล้วจะเอาอาหารที่ไหนเลี้ยงสุนัขกันเล่า เจินจูถอนหายใจ
กลับมาถึงบ้าน หาตะกร้าไผ่สานที่จะนำมาขังกระต่ายไว้ได้ บนตะกร้าไผ่สานวางม้านั่งไม้กดทับไว้ เช่นนี้ก็ไม่กลัวว่ามันจะดิ้นหลุดหนีไปได้แล้ว
มองสีท้องฟ้าเพื่อกะเวลา ไม่รู้ว่ามื้อเที่ยงหลี่ซื่อจะกลับมาหรือไม่? ตนเองควรลงมือทำมื้อเที่ยงหรือไม่? แต่เตาดินแบบเก่านี้เธอใช้ไม่เป็ เจินจูย่นหัวคิ้วเป็ทุกข์ เจินจูคนเดิมเพียงแค่เป็ลูกมือช่วยในครัวเท่านั้น ตนเองลงมือทำอาหารจะดูน่าเหลือเชื่อเกินไปหรือไม่ เด็กสาวรู้สึกว้าวุ่นใจ
“ท่านพี่ ท่านยืนทำอะไรในลานบ้านหรือ?”
เจินจูเงยหน้ามอง ผิงอันแบกตะกร้าผักป่ามองเธออยู่ตรงประตูลานบ้าน ด้านหลังยังมีเด็กผู้ชายผอมๆ ดำๆ รูปร่างสูงกว่าผิงอันเล็กน้อยตามมา แบกตะกร้าแบบเดียวกันไว้บนหลัง เสื้อผ้ารัดรูปสีเทาทั้งตัวมีรอยปะแล้วปะอีก เป็เจิ้งเอ้อร์หนิวเพื่อนที่ผิงอันพร่ำถึงอยู่ตลอดนี่เอง
ครอบครัวเจิ้งเอ้อร์หนิวอยู่ตรงข้ามกับครอบครัวหูร้อยกว่าเมตร ในบ้านเขามีคนมาก เด็กสาวสามคน เด็กชายสองคน ชีวิตความเป็อยู่ก็ผ่านไปอย่างลำบากยากแค้น
ว่ากันว่าญาติที่ห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ เจิ้งซวงหลินบิดาของเจิ้งเอ้อร์หนิวเป็คนซื่อๆ ตรงๆ เข้ากันได้ดีกับหูฉางกุ้ย ทั้งสองครอบครัวล้วนใช้ชีวิตอย่างยากจน ในยามปกติมักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผิงอันและเอ้อร์หนิวเองก็ขึ้นเขาด้วยกันบ่อยๆ ระหว่างทั้งคู่นับได้ว่ารู้จักกันเป็อย่างดี เพียงแค่หลี่ซื่อไม่สามารถพูดได้ นางจึงไม่ค่อยสื่อสารกับจางซื่อมารดาของเอ้อร์หนิวมากนัก
“ผิงอัน เอ้อร์หนิว พวกเ้ากลับมาแล้ว เหนื่อยหรือไม่ เข้ามาพักสักประเดี๋ยวเถิด” เจินจูยิ้มพลางกวักมือเรียกคนทั้งสอง
ผิงอันดันประตูบ้านเปิดออก วางตะกร้าลง แล้วล้วงเข้าไปในกองผักป่า ควานหาไข่นกเล็กๆ ออกมาสามฟอง ยกยิ้มกล่าว “ท่านพี่ ให้ท่าน”
“เ้าปีนขึ้นไปบนต้นไม้หรือ?” ในป่าเขามีพวกนกจำนวนมาก แต่รังนกส่วนใหญ่ล้วนอยู่บนกิ่งไม้สูง แม้ว่าเด็กผู้ชายในหมู่บ้านจำนวนมากจะมีฝีมือปีนป่ายต้นไม้ั้แ่เด็ก ทว่าผิงอันตัวเล็กและอ่อนแอกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน จึงไม่มีความชำนาญในการเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วเช่นนี้
“มิใช่ ...เป็รังนกที่ข้าพบ เป็เอ้อร์หนิวที่ปีนขึ้นไปล้วงมา ไข่นกหกฟอง พวกเราแบ่งคนละครึ่ง” ผิงอันกล่าวอธิบาย
เอ้อร์หนิวที่อยู่ด้านข้างควักไข่นกออกมา ยื่นมือส่งให้แล้วกล่าวกับนาง “พี่เจินจู เมื่อวานท่านตกลงไปแรงมาก ไข่นี่ให้ท่านเอาไว้บำรุง”
“เอ่อ ขอบใจเ้านะ เอ้อร์หนิว แต่ว่า เมื่อวานข้าไม่ได้ตกลงไปแรงมากเท่าไร เ้าดูข้าตอนนี้สิ ไม่ใช่ว่าสบายดีแล้วหรือ? เ้าเก็บไข่นกไว้ กลับบ้านแล้วให้ท่านแม่เ้าต้มให้ทานเถิด” เจินจูซาบซึ้งในความรู้จักคิดของเ้าหนุ่มน้อยในใจ
เจิ้งเอ้อร์หนิวกำลังจะอ้าปากกล่าว ผิงอันที่อยู่ด้านข้างกลับเบิกตากลมดิกกล่าวขึ้น “อา มีกระต่าย!” พอกล่าวเสียงดังจบก็ะโไปที่หน้าตะกร้าไผ่สาน
“ท่านพี่ กระต่ายมาจากที่ใดกัน?” เขาถามเสียงดังอย่างตื่นเต้น
เจินจูเดินเข้าไปหาหัวเราะ ตั้งใจพูดอย่างภูมิใจ “พี่สาวเ้าจับมาน่ะสิ”
“เป็ไปไม่ได้ กระต่ายวิ่งเร็วมาก ท่านจะจับได้อย่างไร?” เขาถามเสียงดัง
“เอ่อ เ้ากระต่ายตัวนี้ค่อนข้างงุ่มง่ามเล็กน้อย กำลังกินหญ้าโง่ๆ ข้าแค่โผเข้าไปก็จับได้แล้ว” เธอใช้คำพูดหลอกลวงหลอกล่อเหล่าเด็กน้อย
ผิงอันกะพริบตางงงวยเล็กน้อย “เอ๋ เป็เช่นนี้เองหรือ?”
เขานั่งลงแล้วโคลงตะกร้าซ้ายขวาเพื่อกะน้ำหนักกระต่ายดู
“ผิงอัน กระต่ายตัวนี้กินจนอ้วนพีวิ่งได้ไม่ไว ดังนั้นจึงถูกพี่สาวเ้าจับไว้กระมัง” เอ้อร์หนิวนั่งยองๆ และให้เหตุผลอย่างประหลาดใจ
“ฮ่าๆ ” เจินจูได้ยินก็อดหัวเราะไม่ได้ กล่าวเสริม “เอ้อร์หนิวกล่าวได้ถูกต้อง กระต่ายกินจนอ้วนพีแล้วเลยวิ่งไม่ไหว พวกเ้าป้อนผักป่าให้มันกินได้ อย่าเปิดตะกร้าไผ่สานออกเล่า แม้มันจะอ้วนก็ยังวิ่งได้อยู่นะ”
เธอเดินจากไปแล้วหัวเราะไปด้วย เมื่อเดินมาถึงครัวกอบผลพุทราจีนสองกำที่ชุ่ยจูเอามาให้ใส่ลงไปในถ้วย ใช้กระบวยตักน้ำล้างจนสะอาด เรียกพวกเขาเข้ามา “ผิงอัน เอ้อร์หนิว มาล้างมือกินผลพุทราจีนกันเถิด”
เด็กหนุ่มสองคนกลับไม่ขยับเคลื่อนไหว ยังคงใช้ผักป่าแหย่กระต่ายอยู่ เจินจูเห็นท่าทางนั้น จึงประคองผลพุทราจีนแล้วเดินมานั่งข้างๆ ดูพวกเขาแทน
“พี่เจินจู ท่านดวงดีเสียจริง ปกติกระต่ายวิ่งไวมาก พวกข้าเคยเห็นบนเขา แต่ไม่เคยจับไว้ได้เลย ฟังที่อาเหล่าเกินพูด วิธีที่ใช้จับเป็กระต่ายมีเพียงใช้ชุดกับดักเท่านั้น” เอ้อร์หนิวป้อนอาหารกระต่ายไปด้วยพูดไปด้วย
อาเหล่าเกินที่เขาพูดคือนายพรานละแวกใกล้เคียง เข้าไปล่าสัตว์ในูเาบ่อยๆ มักจะได้สัตว์เล็กสัตว์น้อยกลับมาด้วยจำนวนหนึ่งอยู่เป็นิจ มีสัตว์ที่ถูกล่าก็หมายความว่ามีเนื้อทาน นี่จึงทำให้เด็กเล็กบริเวณใกล้เคียงอิจฉา มีไม่กี่ครอบครัวในหมู่บ้านวั้งหลินที่จะได้ทานเนื้อเป็ประจำ ดังนั้นทุกครั้งที่พวกเด็กๆ เห็นเขา ก็จะรุมล้อมถามคำถามเกี่ยวกับการล่าสัตว์ไม่หยุด โดยคาดหวังว่าโตไปแล้วจะมีโอกาสเข้าไปล่าสัตว์ในูเาบ้าง
นายพรานหมู่บ้านวั้งหลินมีไม่มาก ูเาลึกไม่มีที่สิ้นสุด และป่าไม้เก่าแก่ที่ไม่รู้จักเต็มไปด้วยอันตราย ยิ่งเข้าไปในป่าต้นไม้ยิ่งงอกงาม ต้นไม้เก่าแก่สูงตระหง่านบดบังเมฆกำบังแดด แม้แต่นายพรานที่มากประสบการณ์ก็ยังหลงทางบ่อยๆ คนธรรมดาเข้าไปในหุบเขาลึกจะไม่สามารถแยกทิศทางได้ และไม่สามารถออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นในป่าไม่ได้มีเพียงสัตว์ป่าที่ดุร้าย ยังมีงูพิษ มดแมลง อากาศที่เป็พิษ หนองน้ำลึก เป็ต้น ไม่ว่าแบบไหนล้วนทำให้คนกลัวจนใจเต้น เด็กน้อยในหมู่บ้านมักถูกตักเตือนั้แ่เล็ก ทำได้เพียงขยับกายภายในบริเวณใกล้เคียงูเาลูกสองลูกเท่านั้น เข้าไปอีกก็ถือเป็พื้นที่อันตรายแล้ว
กระต่ายจับยากหรือ? เจินจูหัวเราะในใจ เพียงแค่ใช้หญ้าจิติญญาไปล่อลวงที่ข้างโพรงกระต่าย คาดว่าคงจะจับได้ทั้งโพรงเลย
ปัญหาตอนนี้คือจะอธิบายอย่างไรดีว่าผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่ง เหตุใดจึงสามารถจับกระต่ายที่วิ่งรวดเร็วได้? เฮ้อ กระต่ายตัวเป็ๆ ทั้งๆ ที่สามารถจับได้ตามอำเภอใจ แต่กลับทำไม่ได้ ช่างทำให้เ็ปรวดร้าวเสียจริง
เจินจูเกาศีรษะคิดอย่างกลุ้มใจ
เชิงอรรถ
[1] เฝ้าตอรอกระต่าย เป็การเปรียบเปรยถึงคนที่ไม่คิดลงแรงหรือพยายามทำอะไร และหวังให้ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาดี