ในยามค่ำคืนเช่นนี้ด้านหน้ามีเงาของคนชุดดำะโลอยผ่านไปอย่างรวดเร็วแม้ว่าเซียวมี่จะตามติดไม่ลดละแต่จนท้ายที่สุดก็ยังคงทิ้งระยะห่างไว้อยู่่หนึ่งไม่สามารถตามได้ทัน ทำให้นางรู้สึกโมโหและร้อนใจเป็อย่างยิ่ง
และยิ่งไล่ตามเท่าไร ก็ยิ่งห่างไกลจากเมืองหลวงมากยิ่งขึ้นเสมือนว่าคนผู้นั้นตั้งใจจะล่อเซียวมี่ให้ออกมา
เซียวเอินที่ไล่ตามมานั้นก็มีสีหน้าเขียวคล้ำเขารู้สึกได้ถึงความอันตรายที่ใกล้เข้ามาแล้ว
ถ้าหากเขาคาดเดาไม่ผิดน่าจะเป็คนของวังหลวงที่เตรียมจะลงมือกับสกุลเซียวแล้ว
บางทีอาจเป็เพราะการออกหน้าของเหลยอวี๊เฟิงทำให้ฮวาหรูเสวี่ยบันดาลโทสะแล้วก็เป็ได้
สตรีผู้นั้นสามารถทำได้ทุกอย่าง
เซียวเอินรู้สึกร้อนรนในใจฝีเท้าก็เร่งเร็วขึ้นไม่น้อย เพียงชั่วพริบตาเดียวเขาก็ได้ะโข้ามร่างของเซียวมี่ไปแล้ว จากนั้นมือขวาของเขาก็คว้าเอาดาบยาวที่คล้องอยู่ที่เอวออกมาแล้วดึงมันออกจากฝักและแทงตรงไปทางคนชุดดำที่อยู่ด้านหน้าทันที
คนชุดดำที่แต่เดิมวิ่งหนีรวดเร็วดุจสายลมก็นิ่งค้างไปเช่นกันเขามิได้หันกลับมาแต่กลับใช้สุดกำลังในการเบี่ยงตัวหลบดาบที่หมายจะปลิดชีวิตของตนได้อย่างหวุดหวิดจากนั้นเขาก็ออกแรงเหวี่ยงตัวเองไปทางด้านซ้ายและเผชิญหน้าเข้ากับเซียวเอิน
และในจังหวะที่คนผู้นั้นหมุนตัวกลับมาเซียวเอินก็เกิดอาการตกตะลึง เขาค่อยๆ เก็บดาบในมือกลับที่เดิมเซียวมี่ที่ตามมาช้ากว่าก้าวหนึ่งก็มองไปที่คนเบื้องหน้าด้วยสายตาที่คาดไม่ถึงเช่นกัน
“ป๋ายหลี่ม่อ...”
สีหน้าของเซียวมี่ก็เขียวคล้ำมากยิ่งขึ้นนางเอ่ยออกมาสามคำอย่างไม่สบอารมณ์พลางก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง “ดึกดื่นเช่นนี้มาที่จวนสกุลเซียวของข้า ท่านมีแผนการอะไร?”
ในใจของนางคิดว่าเป็คนของวังหลวงมาโดยตลอดเมื่อครู่ก็มีใจคิดอยากจะลงมือสังหารทิ้งตอนนี้ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของตนกลับเป็ป๋ายหลี่ม่อ แน่นอนว่านางไม่อาจทำใจยอมรับความจริงนี้ได้
ป๋ายหลี่ม่อสวมชุดสีดำสนิทเขามิได้เอาผ้าปิดหน้า อีกทั้งยังมองไปทางเซียวมี่และเซียวเอินด้วยสีหน้าเรียบเฉย “มิผิด เป็ข้าเองการไปหายามดึกดื่นนั้นเป็ความผิดของผู้น้อยเองแต่ว่ามีคำพูดบางอย่างที่ข้าจำเป็ต้องเอ่ยออกมา”
เซียวเอินได้ถอยไปยืนด้านข้างเซียวมี่แล้วมือของเขายังคงวางอยู่บนดาบยาวที่คาดอยู่ข้างเอว เตรียมพร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อ
เขาจะต้องคุ้มครองความปลอดภัยของฮูหยินเฒ่าอยู่ทุกเมื่อ
“พูดมา”เซียวมี่เองก็ได้มีสีหน้ากลับมาเป็ปกติแล้วพลางเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าจริงจัง
ป๋ายหลี่ม่อกระตุกมุมปากขึ้นเขารู้สึกนับถือสตรีอายุเกินหลักร้อยผู้นี้จากใจจริง นางสามารถทำให้สกุลเซียวมาถึงทุกวันนี้ได้ถือว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ
อีกทั้งนางยังเป็ถึงขุนนางเก่าแก่ของสองรัชสมัย
“เื่ที่ชิงชวนหยวนในวันก่อนคิดว่าฮูหยินเฒ่าคงจะรู้อยู่แล้ว”ป๋ายหลี่ม่อแบมือทั้งสองของตนออกเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้มีเจตนาร้ายแม้แต่น้อย
พลางเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แ่เบา
“แล้วอย่างไร?” เซียวมี่นั้นหาได้มีความรู้สึกดีๆต่อชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้านี้ ตอนนี้ยิ่งไม่คิดจะตีสีหน้ายินดีให้กับเขาน้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นของนางเองก็ราบเรียบเป็อย่างมาก ไม่มีอารมณ์แฝงอยู่แม้แต่น้อย
เมื่อเห็นเซียวมี่มีท่าทีเช่นนี้สีหน้าของป๋ายหลี่ม่อก็ย่ำแย่ลงแต่ว่าเขาก็ยังคงพยายามควบคุมอารมณ์ของตนไว้และแสดงท่าทีประหนึ่งคนที่กำลังมีปรารถนาดีมามอบให้ “การที่ผู้น้อยมาก็เพียงแค่อยากจะบอกว่า หากราชสำนักของแคว้นป่ายฮวาจะไร้คุณธรรมถึงเพียงนี้เหตุใดฮูหยินเฒ่าจึงจำเป็ต้องยึดหลักคุณธรรมถึงเพียงนี้กัน”
“ฮ่าๆๆ”เซียวมี่ฟังออกถึงเหตุผลการมาของป๋ายหลี่ม่อแล้วนางแหงนหน้าขึ้นส่งเสียงหัวเราะออกมา ทว่าสีหน้ากลับเ็าเป็อย่างมาก “หากมิใช่ท่าน สกุลเซียวมีหรือจะเดินมาถึงจุดนี้ได้?”
ตอนแรกเป็เขาที่มาเสนอเื่ถอนหมั้นมิเพียงแต่เป็การดูถูกเหยียดหยามสกุลเซียวอีกทั้งยังคิดจะทำให้เซียวซู่ซู่ขายหน้าต่อผู้คนทั่วแผ่นดินอีกด้วย
ผลสุดท้าย กลับทำให้เซียวซู่ซู่มีชื่อเสียงโด่งดังเพียงแต่ว่าการเป็เช่นนี้ กลับเป็เพียงการนำแผนการชั่วร้ายของคนที่มีเจตนาไม่ดีมามากขึ้นเท่านั้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ป๋ายหลี่ม่อก็หลุบตาของตนลงต่ำ มิได้เอ่ยตอบในทันที
เดิมเขาแค่แยกย้ายกันดำเนินการกับหนานกงม่อ
ซึ่งในขณะที่หนานกงม่อเข้าไปค้นหาข่าวสารเกี่ยวกับมหาปุโรหิตที่วังหลวงทางป๋ายหลี่ม่อก็มีหน้าที่มาพูดโน้มน้าวสกุลเซียวให้ร่วมมือกับแคว้นอ้าวอวิ๋น
เพราะว่าเขาได้ข่าวแล้วว่าสกุลเซียวได้มีสำนักเหลยคอยช่วยเหลือแล้ว
อำนาจเช่นนี้หากไม่นำมาใช้ก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว
แต่คิดไม่ถึงว่าเซียวมี่กลับมีท่าทีเช่นนี้ได้
ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่รู้ว่าจะเอ่ยตอบเช่นไรกลับไปดี
เป็ความจริงว่าเื่ทุกอย่างนั้นล้วนเกิดจากเขาป๋ายหลี่ม่อ
เมื่อคิดถึงเซียวซู่ซู่แม้ว่าเขาจะเป็คนที่ไม่ได้ลุ่มหลงในสาวงามแต่กลับรู้สึกชื่นชอบสตรีที่งดงามดุจเซียนหญิงที่มาจุติบนโลกนี้ผู้นั้นจากใจจริง
ความรู้สึกเสียใจในการกระทำของคนยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวเขาไม่จากไปไหน
ทว่า จุดประสงค์ที่เขามาแคว้นป่ายฮวานั้นมิใช่เพราะเซียวซู่ซู่เพราะฉะนั้นเขาจึงจำเป็ต้องปล่อยมือจากเื่ของนาง
และยึดเื่ของแคว้นเป็หลัก
“หากฮูหยินเฒ่าคิดอยากจะลงโทษผู้น้อยก็ยินดีรับโดยไม่กล่าวโทษออกมาแม้แต่ประโยคเดียว” ป๋ายหลี่ม่อนั้นได้มีท่าทีถ่อมตนเป็อย่างมาก “เพียงแต่ว่าฮูหยินเฒ่าก็น่าจะเข้าใจว่าราชสำนักจะต้องไม่ปล่อยสกุลเซียวไปแน่”
“ท่านทำอะไรลงไป?”สีหน้าของเซียวมี่เปลี่ยนไปในทันที
นางหรี่ตาของตนลงขณะจ้องไปทางป๋ายหลี่ม่อ
“มิได้ทำอะไร เพียงแค่นัดฮูหยินเฒ่าออกมาปรึกษาเื่บางอย่างเท่านั้น” สีหน้าของป๋ายหลี่ม่อกลับไปเรียบเฉยดังเดิม มุมปากกระดกขึ้นเป็รอยยิ้มจางๆเป็รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย
“ต่ำช้า”เซียวเอินเองก็มีสีหน้าเครียดขึ้น
พวกเขาทั้งสามได้พูดคุยกันอยู่ที่นี่เป็เวลานานแล้วแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรกัน แต่ว่าในสายตาของคนภายนอกพวกเขาก็ดูเหมือนกำลังปรึกษาหารือเื่บางอย่างกันจริงๆ
เดิมตอนเช้าเซียวมี่เพิ่งจะขอถอนตัวออกจากตำแหน่งไป ตอนนี้ก็มาปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้อีกการที่ราชสำนักจะไม่กำจัดสกุลเซียวนั้นเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้แล้ว
“อย่าด่วนดีใจไป” มิเสียแรงที่เซียวมี่เป็ถึงบุคคลที่โด่งดังและมีชื่อเสียงเพียงไม่นานนางก็สามารถกลับมามีสีหน้าสงบได้ดังเดิม “หากว่าข้าจับท่านไปส่งให้ที่วังหลวงจะเกิดอะไรขึ้นกัน?”
นางเอ่ยขึ้นพลางเลื่อนมือไปจับบนดาบยาวที่คาดอยู่ตรงเอวเป็ที่เรียบร้อยแล้วเพื่อเตรียมพร้อมจะลงมือได้ทุกเมื่อ
สกุลเซียวออกจากเมืองอวิ๋นไม่ได้เพราะฉะนั้นพวกเขายังคงไม่ถือเป็หนามยอกอกของราชสำนักอย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่อาจเป็ได้
ก่อนที่เซียวซู่ซู่จะไปแข่งขันที่สำนักเหลยสกุลเซียวของพวกเขาก็ยังถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย
“ช่างเป็ยายแก่หัวรั้นจริงๆ” ป๋ายหลี่ม่อมีสีหน้าเขียวคล้ำ เห็นได้ชัดว่าโทสะของเขาได้ะเิออกมาแล้ว
แต่เซียวมี่และเซียวเอินก็ไม่ได้สนอะไรมากพวกเขาต่างก็พุ่งตัวไปด้านหน้าเป็ที่เรียบร้อยแล้ว ในเมื่อป๋ายหลี่ม่อไม่มีคุณธรรมมาก่อนเช่นนั้นพวกเขาก็ไม่จำเป็ต้องมีมารยาทกับเขาอีก ต่อให้สกุลเซียวจะหักหน้ากับทางราชสำนักแล้วจริงๆพวกเขาก็จะไม่ทำเื่ขายแผ่นดินอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้นวันนี้ถือว่าป๋ายหลี่ม่อนั้นได้คิดผิดมหันต์แล้ว
จะผิดก็ผิดที่เขามองสกุลเซียวผิดไป
“ช้าก่อน”ในขณะที่ดาบของเซียวมี่และเซียวเอินปะทะกับป๋ายหลี่ม่อนั้นก็มีเสียงทุ้มต่ำะโขึ้น
เสียงนั้นดังขึ้นตามมาด้วยลมแรงระลอกหนึ่ง
บีบให้เซียวเอินและเซียวมี่ต้องก้าวถอยอย่างต่อเนื่อง
เพียงดูจากลมแรกที่พัดมาเมื่อครู่ก็รู้ได้แล้วว่าฝีมือของผู้ที่มานั้นเก่งกาจเป็อย่างมากบางทีต่อให้เซียวมี่และเซียวเอินร่วมมือกันก็อาจจะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาก็เป็ได้
คิดไม่ถึงจริงๆว่าหนานกงม่อจะมีฝีมือแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
หลังจากที่หนานกงม่อยืนนิ่งบนพื้นแล้ว เซียวมี่และเซียวเอินก็ล้วนจ้องมองไปทางเขารอฟังประโยคถัดไปที่เขาจะเอ่ยขึ้น
“เื่ของวันนี้ก็ทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเสียแล้วกัน” หนานกงม่อยืนอยู่ข้างกายป๋ายหลี่ม่อก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางชี้นิ้วไปทางที่อยู่ห่างไกลออกไป “คนของราชสำนักได้หายไปหมดแล้ว”
หายไปสองคำนี้หมายความว่าอย่างไรนั้น คนที่อยู่ในที่นี้ล้วนเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
ป๋ายหลี่ม่อยังคงยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงอีกทั้งยังไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อยเขาทำเพียงแค่หันไปมองหนานกงม่อแวบหนึ่งก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
“เหอะ”
เซียวมี่สบถออกมาคำหนึ่ง
“แต่ว่าการที่ฮูหยินเฒ่าปกป้องเชื้อพระวงศ์ของแคว้นป่ายฮวาถึงเพียงนี้เคยคิดหรือไม่ว่าฮ่องเต้หญิงหาได้คิดจะปกป้องผลประโยชน์ของสกุลเซียว?” หนานกงม่อดูเหมือนจะมีท่าทีสุขุมมากกว่าป๋ายหลี่ม่อ
เขาเพิ่งจะกลับออกมาจากวังหลวงดูเหมือนจะได้อะไรดีๆ กลับมาไม่น้อย
เซียวมี่ไม่ได้เอ่ยตอบ เื่เช่นนี้มีหรือที่นางจะไม่รู้
ต่อให้สร้างคุณประโยชน์ต่อแคว้นเยอะเพียงใดหากมีความผิดแม้แต่นิดเดียวก็จะสูญเสียทุกอย่างไปได้
อีกทั้งฮวาหรูเสวี่ยยังเป็คนที่เพื่อผลประโยชน์แล้วสามารถทำได้ทุกวิถีทางโดยไม่สนใจสิ่งใดอีกด้วย
ปีนั้นสกุลเซียวได้มีชื่อเสียงและคุณความดีเหนือกว่ากษัตริย์ฮวาหรูเสวี่ยก็ได้เห็นแก่หน้าของฮ่องเต้องค์ก่อนจึงไม่ลงมือกับสกุลเซียวแต่ว่าความอดทนของนางก็ได้ถึงขีดสุดแล้ว สถานการณ์เช่นตอนนี้นางจะต้องไม่ปล่อยสกุลเซียวไว้อย่างแน่นอน
แต่การที่นางคิดจะทำอะไรนั้นเซียวมี่ยังคงเดาไม่ออก
“คุณหนูเล็กสกุลเซียวยังมีเวลาอีกสองเดือนจึงจะถึงพิธีปักปิ่นใช่หรือไม่” อยู่ๆ หนานกงม่อก็โพล่งออกมาประโยคหนึ่ง “แม้ว่าสกุลเซียวจะไม่มีอำนาจทหารแล้ว แต่ก็ยังคงมีชื่อเสียงโด่งดังคิดว่าคงจะมีคนใหญ่คนโตจำนวนมากมาแสดงความยินดีกระมัง”
ไม่จำเป็ต้องเอ่ยออกมาอย่างชัดเจนเขาก็รู้ว่าเซียวมี่สามารถเข้าใจได้ทันที
จากนั้นเขาก็เดินไปพยุงป๋ายหลี่ม่อโดยไม่ไปสนใจเซียวมี่และเซียวเอินอีก “พวกเราไปเถิด”
แล้วจึงะโเหาะจากไปท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด