ถ้ำเชลยนั้นยังคงดูเหมือนวันวาน ด้านนอกยังคงเป็ผืนทรายที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ไม่เคยมีหญ้างอกเงย ทว่าหินทะเลทรายนั้นกลับมีมากมาย เมื่อมองจากไกลๆ ก็เห็นหินวาววับเหล่านี้สะท้อนสู้แสง
เมื่อเข้ามามองใกล้ๆ ก็จะเห็นว่ามันยังคงวาววับเช่นเดิม ทว่าด้านในถ้ำกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
ถ้ำทรงกากบาท
เส้นทางเข้าถ้ำแต่ละเส้นล้วนเต็มไปด้วยกับดัก หากเผลอไผลไปย่อมจะต้องร่างแหลกสลายิญญาดับสูญอย่างแน่นอน มีเส้นทางเพียงสายเดียวที่ยังปลอดภัยอยู่ ทว่าหากอยากจะเข้าไปด้วยเส้นทางปลอดภัยก็จำเป็ต้องวุ่นวายสักหน่อย ทั้งยังต้องมีป้ายคำสั่งจากนายท่านสามจึงจะเข้าไปได้
ทว่าก็มีคนหนึ่งที่เป็ข้อยกเว้น
เฉินโย่วคือข้อยกเว้นนั้น นับั้แ่นางเป็ผู้ใหญ่บ้านน้อยของหมู่บ้านไป๋กู่ ไม่ว่าจะเข้าออกที่ใดก็ไม่จำเป็ต้องมีป้ายคำสั่ง
ยามนี้เฉินโย่วที่อ่านตำรามาแล้วตลอดบ่าย ทั้งยังกินอิ่มแปล้ แถมยังนอนกลางวันไปอีกตื่นหนึ่ง ร่างน้อยๆ สวมกระโปรงสีแดงตัวน้อย บนร่างสะพายกระเป๋าหนังงูไว้ เท้าคู่น้อยเหยียบย่ำลงไปบนพื้นพร้อมกับรองเท้าหนังที่นางสวมอยู่ จากนั้นจึงะโขึ้นไปนั่งบนหลังเ้ามืด แล้วจึงพากันเดินเอื่อยเฉื่อยมาจนถึงปากถ้ำ
ปากถ้ำมีชายชราตาเดียวคนหนึ่งเฝ้าอยู่ เขากำลังนอนอาบแดดอยู่บนผ้าห่มขาดๆ อย่างเกียจคร้าน ข้างกายมีขยะกองระเกะระกะอยู่กองหนึ่ง
ขยะเ่าั้มีทั้งเสื้อผ้า อาหาร และไหน้อยใหญ่
จวบจนบัดนี้สภาพของเขาจึงไม่ต่างจากขอทานข้างถนนเท่าใดนัก
เพียงแต่ชายชราตาเดียวนี้ก็นับว่าเก็บกวาดได้สะอาดดี แม้จะมีตาเพียงข้างเดียว ทั้งดวงตาข้างนั้นยังปิดอยู่ ส่วนมือข้างหนึ่งหดเก็บไว้แนบกาย มืออีกข้างก็คอยกอดกองขยะนั้นไว้
หากไม่สังเกตก็ย่อมไม่อาจเห็นว่า ในกองขยะนั้นมีตะบองสีดำเล่มหนึ่งซ่อนอยู่
ชายชรานั่งพิงหินก้อนหนึ่งที่นูนออกมาจากผนัง ขอเพียงเขาออกแรงกดสักหน่อย หินก้อนนี้ก็จะจมลงไป ประตูถ้ำก็จะเปิดออก
เส้นทางเข้าถ้ำสายนี้สามารถเปลี่ยนเป็เส้นทางที่ไม่อาจเดินได้ในทันที กับดักทุกประเภทล้วนสามารถโผล่มาในเวลาเดียวกันได้ ทว่ายามที่ชายชราตาเดียวเห็นว่าเป็เด็กหญิงกำลังขี่ม้าสีนิลมาทางตน มุมปากเหี่ยวๆ นั้นก็พลันยกขึ้น
ยามเขายิ้มใบหน้าก็ยิ่งดูดุร้ายขึ้น ด้วยเพราะฟันโตสองซี่ด้านหน้าที่ยื่นออกมา
ใบหน้าชราที่ทั้งตาบอดและฟันยื่นดูไปแล้วช่างน่ากลัวนัก
ทว่าเฉินโย่วกลับะโลงจากหลังม้าอย่างเริงร่า แล้วจึงหยิบลูกกวาดที่ทำจากนมก้อนหนึ่งออกมาส่งให้ชายชรา
“ท่านลุงตาเดียว ข้าอยากเข้าไปหาท่านอาจารย์ของข้า” เฉินโย่วเองก็หยิบลูกกวาดนมใส่ปากเช่นกัน ฉะนั้นยามที่ยังมีลูกกวาดอยู่ในปาก เสียงที่กล่าวออกมาจึงฟังไม่ชัดนัก
“วันนี้ตอนบ่ายเ้าไม่ต้องเรียนมารยาทแล้วหรือ” ชายชราก็โยนลูกกวาดนมเข้าปากตามเด็กหญิงเช่นกัน อมอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ทั้งกลิ่นนมและความหวานก็อบอวลไปทั้งปาก ทันใดก็รู้สึกว่าร่างกายตนนั้นมีเรี่ยวแรงขึ้นมา
เฉินโย่วส่ายหน้าไปมา
“ตอนบ่ายท่านน้ามีธุระ จึงให้ข้าออกไปเล่นคนเดียว”
“เช่นนั้นก็ไปเถิด แล้วอย่าวิ่งซนเล่า เดี๋ยวจะหลงทางเอาได้” ชายชราตาเดียวโบกมือให้นางเข้าไป
เฉินโย่วจึงขึ้นหลังม้าแล้วส่งสัญญาณให้เ้าม้าออกเดินเข้าไปในถ้ำ
ด้านนอกถ้ำชายชราฟันยื่นคนเดิมก็เอนหลังพิงกับก้อนหินแล้วฉีกยิ้มให้กับดวงอาทิตย์ ริมฝีปากของเขานั้นไม่อาจซ่อนฟันซี่โตได้มิด โดยเฉพาะยามที่มีลูกกวาดอยู่ในปาก ทำให้เขาดูราวกับคนพิลึกคนหนึ่ง
เฉินโย่วบนหลังเ้ามืดยังคงออกย่ำเข้าไปในถ้ำ
ตลอดเส้นทางล้วนแต่เรียบร้อย ไม่วิ่งซน เ้ามืดก็ว่าง่ายนัก ไม่ต้องบังคับเส้นทางมันก็พาเด็กหญิงเดินเลี้ยวไปเจ็ดครั้งเดินอ้อมอีกแปดครั้งก็มาถึงส่วนลึกของถ้ำแล้ว
กำลังใกล้จะถึงอีกถ้ำหนึ่งแล้ว ด้วยูเาลูกนี้ส่วนใหญ่มีถ้ำที่ทะลุถึงกันได้ ด้านในยังมีสระลึกอยู่สระหนึ่ง พี่อู่เคยบอกว่าลูกปัดกระดูกเขาก็เจอมันอยู่แถวนี้ แต่ยามนี้กลับไม่มีแล้ว แม้แต่กระดูกก็ไม่มีเช่นกัน มีเพียงแต่น้ำเย็นเฉียบเท่านั้น
ทั้งน้ำเหล่านี้ก็ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด ทว่าไม่ว่าจะใช้มากเท่าใด น้ำก็ดูจะไม่ลดเสียที รอบๆ สระน้ำมีสิ่งของครอบไว้อยู่
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ก็ได้ยินเสียงดังะเืขึ้นมา
“ตึงตัง ตึงตัง” เสียงนี้เมื่อผนวกกับเสียงสะท้อนในถ้ำ ก็ยิ่งทำให้เสียงนั้นดังขึ้นยิ่งกว่าเดิม
เมื่อเฉินโย่วเดินไปถึงด้านหน้า ก็เห็นว่าท่านอาจารย์ของตนกำลังโค้งตัวก้มอยู่ มือข้างหนึ่งกวนอยู่ในอ่าง
“น้ำยังเยอะไปหน่อย เอาส่วนผสมมาเพิ่มที”
อาสวินยืนอยู่ด้านข้างคอยจดบันทึกอย่างตั้งใจ ส่วนนายท่านสามก็กำลังยืนมองเครื่องจักรนั้นทำงาน ทว่าสิ่งที่เรียกว่าเครื่องจักรนั้นความจริงแล้วก็ดูเรียบง่ายนัก เป็เพียงเครื่องสูบลมตัวใหญ่เท่านั้น ทั้งในถ้ำยังมีช่องลมจึงทำให้ลมนั้นยิ่งโหมแรง
เมื่อก่อนยามเข้ามา เสียงจากช่องลมนี้ก็ฟังคล้ายกับสัตว์ป่าตัวหนึ่งกำลังคำรามอย่างบ้าคลั่งก็ไม่ปาน ทั้งที่ความจริงแล้วเป็เพียงแค่ลมที่พัดแรงเท่านั้น
ปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะลักษณะของถ้ำ ยามลมโหมกระหน่ำเข้ามาก็ทำให้เกิดเสียงราวกับพายุ ทว่าตอนนี้กลับโดนเครื่องสูบลมั์ขวางทางไว้เสียแล้ว เครื่องสูบลมั์นั้นมีไว้เพื่อขับเคลื่อนเครื่องทุบหินให้ทำงาน เครื่องนั้นค่อยๆ ทุบลงไปบนหิน
ข้างสระน้ำนั้นยังมีกองไฟที่กำลังลุกโชนเรียงไว้เป็แถว
ด้วยเดิมทียามเข้าใกล้กับสระน้ำแห่งนี้แล้วก็จะรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงกระดูก จึงได้กองไฟที่ก่อไว้ช่วยคลายหนาว แต่เมื่ออยู่ไปสักพักก็ยังคงรู้สึกไม่สบายอยู่ดี
เ้าม้าสีนิลยามโผล่เข้ามาในถ้ำนั้นก็ราวกับภูตผีที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาก็ไม่ปาน
นายท่านสามเองก็ใเช่นกัน เพียงแต่เมื่อเห็นว่าบนหลังเ้าม้านั้นมีเด็กหญิงนั่งอยู่ก็ถอนหายใจออกมา
เ้าม้าตัวนี้หยิ่งยโสนัก คนอื่นอย่าได้คิดฝันว่าจะได้ขี่หลังมัน พวกเขายิ่งไม่ต้องพูดถึง กระทั่งอาลู่มันก็ยังไม่ยอมให้ขี่ แต่ละวันของมันจึงเอาแต่ทำตัวเชื่องตามหลังเด็กหญิงต้อยๆ
นายท่านสามเมื่อเห็นเด็กหญิงจึงเดินไปอุ้มนางขึ้นมา “เ้ามาได้อย่างไร ตอนบ่ายไม่ใช่ว่าต้องเรียนมารยาทหรือ”
เฉินโย่วเมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้ก็รู้สึกหดหู่นัก ท่านลุงตาเดียวเมื่อครู่นางนับว่าไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก จึงไม่ได้โอดครวญอันใด ทว่ากับท่านลุงสามนับว่าต่างออกไปแล้ว
ใบหน้าอ้วนๆ พลันทำปากยู่แล้วเอ่ยขึ้น “คนในหมู่บ้านล้วนรู้กันหมดแล้วว่าข้าต้องเรียนมารยาท คิดจะโดดเรียนสักหน่อยก็แทบจะทำไม่ได้”
นายท่านสามที่อุ้มเด็กหญิงอยู่ก็รู้สึกว่าเด็กหญิงเริ่มตัวหนักขึ้นอีกแล้ว ในใจก็นึกสงสัยว่าเด็กหญิงนั้นตัวหนักถึงเพียงนี้ ไฉนอู๋เลี่ยงจึงยังอุ้มไหวกันนะ
“โดดเรียนอันใดกัน บนเขาลูกนี้เด็กเล็กที่เล็กเสียยิ่งกว่าเ้าก็ล้วนแต่ฟันยังไม่งอก เดินก็ยังไม่ได้ เช่นนั้นหากไม่จับตาดูเ้าแล้วจะให้จับตาดูใครกันเล่า” ชายหนุ่มตอบขึ้นพร้อมรอยยิ้ม อีกมือหนึ่งก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยเช็ดหน้าให้เด็กหญิง
เ้าเด็กนี่เมื่อครู่น่าจะแอบกินลูกกวาดมา บนปากจึงได้มีคราบน้ำตาล
หากอู๋เลี่ยงมาเห็นเข้าย่อมปวดหัวอีกเป็แน่ นางโตถึงเพียงนี้แล้วแต่ยามกินอะไรก็ยังคงเลอะไปทั้งหน้าอยู่เรื่อย
เฉินโย่วเงยหน้าให้ท่านลุงสามของนางเช็ดอย่างว่าง่าย จากนั้นจึงได้กล่าวขึ้น “น้าหลัวกำลังมีโทสะอยู่ ข้าเลยจะมาขอให้ท่านอาจารย์ช่วย”
“เ้าไปยั่วโทสะน้าหลัวเข้าอีกแล้วสิท่า”
เฉินโย่วเมื่อถูกถามเช่นนั้นก็รีบส่ายหน้า
“ไม่ใช่ข้า ข้าน่ะเรียบร้อยยิ่งนัก แต่เป็พวกแกะต่างหาก พวกแกะเยอะขนก็แยะ น้าหลัวไม่รู้จะทำเช่นไร จึงได้โกรธขึ้นมา”
ราชครูเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงมาก็หันไปบอกข้อมูลกับอาสวินแล้วล้างมือครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปหาเด็กหญิง
ด้วยเพราะเคล็ดลับการสร้างอาวุธแบบแคว้นจิงนั้นมีคนกล่าวว่าต้องใช้เื บ้างก็กล่าวว่าต้องใช้เืั ตามตำนานเล่าว่าบรรพบุรุษของแคว้นจิงคือโม่กาน ปรมาจารย์แห่งการหลอมอาวุธ เขาได้หลอมดาบที่ทรงพลังที่สุดในใต้หล้าขึ้นมา ยังไม่ทันจะเสร็จดีก็มีเสียงร้องฮือๆ ดังขึ้นมา
ทว่าปรมาจารย์โม่กานกลับรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล ดาบเล่มนี้ราวกับกำลังร่ำไห้ ทั้งที่เขาก็ใช้วิธีการทั่วไปในการตีมันขึ้นมา ไม่คาดคิดว่ามันจะผิดพลาดได้
เมื่อเป็เช่นนั้นเขาจึงะโเข้าไปในเตาหลอม แล้วใช้เืเนื้อของตัวเองในการหลอมดาบนี้ขึ้นมา สุดท้ายปรมาจารย์โม่กานก็จากไป ทว่าดาบเล่มนั้นก็เสร็จสมบูรณ์แล้วเช่นกัน
ต่อมาดาบเล่มนี้ก็ได้กลายมาเป็ต้นตระกูลของอาวุธในแคว้นจิง นับแต่นั้นมาอาวุธในแคว้นจิงก็มีพลังลึกลับบางอย่าง
เื่ราวเหล่านี้เล่าลือสะพัดไปทั่วดินแดน กระทั่งยังมีคนอีกไม่น้อยที่ยอมะโลงเตาหลอมเพื่อสร้างอาวุธเช่นแคว้นจิง ทั้งที่ความจริงแล้วพวกเขาย่อมไม่มีทางสร้างอาวุธอย่างแคว้นจิงได้
หากว่าวิธีการง่ายดายเช่นนั้นอาวุธของแคว้นจิงคงไม่หายากถึงเพียงนี้
จวบจนราชครูได้เห็นเคล็ดลับเ่าั้ เขาก็แทบจะป่าวประกาศออกมาว่าเื่โดดเข้าเตาหลอมอะไรนั่นเป็เื่โป้ปดหลอกลวงทั้งเพ
ของเหลวในการหลอมอาวุธนับว่าซับซ้อนอย่างยิ่ง
“คารวะท่านอาจารย์เ้าค่ะ” เฉินโย่วเมื่อเห็นว่าท่านอาจารย์กำลังเดินมาหาตน ก็รีบลงจากอ้อมกอดของท่านลุงสามแล้วคารวะท่านอาจารย์ของตนอย่างรู้มารยาท
ราชครูเมื่อเห็นท่าทางรู้มารยาทของเด็กหญิงก็แทบจะะโออกมา
“ตอนบ่ายไม่ต้องเรียนมารยาทรึ”
เฉินโย่วส่ายหน้าไปมา
“น้าหลัวบอกว่าขนแกะสะสมไว้มากพอแล้ว จึงให้ข้ามาถามท่านอาจารย์ว่าจะจัดการกับมันอย่างไรดี”
ราชครูพลันนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มขื่นๆ กล่าวขึ้น “อืม บรรพบุรุษข้ายังมีตำราอีกเล่มหนึ่ง”